หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 643 วิชาแห่งศาสตร์มืดอีกรูปแบบ!
บทที่ 643 วิชาแห่งศาสตร์มืดอีกรูปแบบ!
เสียงที่ดังขึ้นในหัวไม่ใช่กลอนไร้สาระ แต่พูดถึงพลังเทพทั้งหก!
พลังเทพไม่ใช่มนต์คาถาธรรมดาทั่วไป แต่เป็นพลังที่ใช้ประโยชน์จากกฏธรรมชาติและพลังแห่งจักรวาล มีเพียงผู้ฝึกตนแกร่งกล้าเท่านั้นที่จะมีพลังเทพในครอบครอง พลังเทพที่สืบทอดกันมานั้นยิ่งแกร่งกล้ามากขึ้นไปอีก
เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับหวังเป่าเล่อที่จะสามารถใช้พลังเทพทั้งหกจากดวงจิตเทพได้ เหมือนเช่นตอนอยู่ในนิมิตมืด เขาได้ศึกษาคาถาและพลังเทพมากมาย แต่ก็ไม่สามารถฝึกได้เพราะมีระดับการฝึกตนไม่ถึงขั้นซึ่งเป็นข้อจำกัดอันยิ่งใหญ่
แม้จะยังไม่สามารถก้าวผ่านข้อจำกัดนั้นไปได้ แต่ชายหนุ่มก็พบวิธีใช้งานพลังดังกล่าวผ่านอาวุธเวท เขาผนึกพลังเทพทั้งหกไว้ในลูกประคำแต่ละลูกผ่านการผสานดวงจิตเทพเป็นวิญญาณวุธ ลูกประคำเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางที่จะช่วยให้หวังเป่าเล่อก้าวข้ามข้อจำกัดเรื่องพลังปราณ เมื่อมีลูกประคำเป็นสื่อกลางและวิญญาณวุธเป็นตัวเร่ง ชายหนุ่มก็สามารถปลดปล่อยพลังเทพเหล่านี้ได้โดยใช้พลังปราณที่น้อยลง
ถึงจะช่วยลดลงไปบ้างแต่ก็ถือว่ายังต้องใช้พลังปราณมากอยู่ดี สำหรับหวังเป่าเล่อแล้วถือว่าเป็นจำนวนที่มากเช่นกัน แต่ก็ยังพอรับได้ไว้!
อารมณ์มากมายฉายขึ้นบนสีหน้าชายหนุ่มขณะก้มมองกำไลตรงข้อมือ เขาสัมผัสได้ถึงพลังและวิญญาณวุธทั้งหกที่กักเก็บอยู่ภายใน พลันดวงตาก็ฉายแสงผิดแปลก
แต่ละลูกมีพลังเทพอยู่!
หวังเป่าเล่อไม่ได้คาดว่าจะเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะดูอย่างไร นี่ก็เป็นการหลอมที่แสนสมบูรณ์แบบ เขารู้ว่ากำไลเส้นนี้มีความสำคัญอย่างไรด้วยความรู้ด้านอาวุธเวทที่มีและการที่หลอมมันขึ้นมาเองกับมือ กำไลนี้ไม่ได้ใช้เพื่อปลดปล่อยพลังเทพทั้งหก หากใช้เพียงแค่นั้น ผ่านไปมีกี่ครั้งก็จะกลายเป็นของไร้ประโยชน์ หลังจากใช้ซ้ำๆ ลูกประคำจะค่อยๆ แตกออกและกลายเป็นเถ้าธุลี พลังเทพก็จะปลิวหายไปกับสายลม
กำไลนี้จะช่วยเปิดโอกาสให้ข้าได้ศึกษาพลังเทพที่สถิตอยู่ ข้าสามารถศึกษาได้เรื่อยๆ จนกว่าจะเชี่ยวชาญและทำให้กลายเป็นพลังของข้าโดยแท้จริง!
ชายหนุ่มสูดหายใจลึกและหันมองรอบๆ ฝูงหนอนสีแดงยังคงดิ้นไปมาทั่วบริเวณ แต่หลังจากสวมกำไลข้อมือแล้ว พวกมันก็ดูจะมุ่งร้ายน้อยลงไปมาก เหมือนว่าจะยอมจำนนต่อพลังของเขา
หวังเป่าเล่อตระหนักว่าที่แห่งนี้น่าจะเป็นหนึ่งในจุดปลอดภัยที่หาได้ยากในดินแดนกองศพนี้
เขาแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่ได้รีบร้อนจากที่แห่งนี้ไป ชายหนุ่มมองกำไลอีกครั้ง ก่อนจะหลับตา ปล่อยจิตให้เปลวไฟสีดำนำทางเข้าไปในลูกประคำทรงดาวห้าแฉกลูกแรก
วิสัยทัศน์เบื้องหน้าพลันเลือนราง พอแจ่มชัดขึ้นอีกครั้งก็เห็นฟากฟ้าเปลี่ยนเป็นยามค่ำคืน ท่ามกลางหมู่ดาวพร่างพราวมีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่อยู่ดวงหนึ่ง
การต่อสู้เปิดฉากขึ้นบนดาวเคราะห์ ชายหนุ่มเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนนั้น ดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นของสำนักแห่งความมืด คนจากตระกูลไม่รู้สิ้นมากมายกำลังปะทะกับศิษย์สำนักแห่งความมืดอย่างเร่าร้อน!
บนฟากฟ้ามืดสนิทเหนือดาวเคราะห์ มีหัตถ์ขนาดใหญ่ยักษ์กำลังก่อตัวขึ้น บนมือปรากฏตัวอักขระอยู่ทั่ว นิ้วมือแต่ละนิ้วเหมือนจะขังอสูรร้ายหน้าตาโหดเหี้ยมเกินบรรยายเอาไว้ หัตถ์ยักษ์เหยียดยื่นแหวกสวรรค์ คว้าเอาดาวเคราะห์มาไว้ในมือ!
ดาวเคราะห์สั่นไหวรุนแรง เหล่าผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นตัวแข็งทื่อ ขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้แม้แต่น้อยขณะวิญญาณเริ่มหลุดออกจากร่าง ดวงวิญญาณของพวกเขามารวมตัวก่อเป็นแม่น้ำแห่งความมืดไหลผ่านสรวงสวรรค์ ผ่านห้วงอวกาศ ตรงไปยังหัตถ์ยักษ์!
นี่คือหัตถ์ดึงวิญญาณ!
หวังเป่าเล่อสั่นสะท้านไปถึงทรวง เขาสะดุ้งลืมตาขึ้น หายใจถี่รัวขณะจ้องลูกประคำห้าแฉกที่มีพลังหัตถ์ดึงวิญญาณบรรจุไว้ภายใน ไม่สามารถหยุดใจที่เต้นถี่รัวไว้ได้ วิชาหัตถ์ดึงวิญญาณเป็นวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณอีกรูปแบบหนึ่ง จริงๆ แล้วหากดึงพลังของวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณออกมาอย่างเต็มที่น่าจะมีผลลัพธ์เหมือนกัน
ชายหนุ่มได้ศึกษาเกี่ยวกับวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณจากบันทึกมากมายในนิมิตมืด แต่กลับไม่เคยเห็นวิชาหัตถ์ดึงวิญญาณเลย ไม่นานก็ตระหนักว่าแต่ละฝ่ายในสำนักมืดนั้น แม้จะมีรากฐานเหมือนกัน ในแต่ละในฝ่ายก็ได้มีการพัฒนาพลังเทพเฉพาะเป็นของตนเอง
วิชาหัตถ์ดึงวิญญาณนี้เป็นพลังเทพของฝ่ายหนึ่งในสำนักแห่งความมืด!
เขาไคร่ครวญต่ออยู่เนิ่นนาน จากนั้นก็ปล่อยจิตให้ผสานเข้ากับลูกประคำห้าแฉกดวงที่สอง พลังเทพที่สถิตอยู่ในลูกประคำนี้มีชื่อว่า…นิมิตหมุนวน!
ชายหนุ่มนึกสงสัยความหมายของชื่อ พอลืมตาขึ้นอีกครั้งหลังจากได้เห็นวิชานิมิตหมุนวนก็ได้ข้อสรุปคล้ายๆ กับวิชาหัตถ์ดึงวิญญาณ นิมิตหมุนวนคือนิมิตมืดในอีกรูปแบบหนึ่ง
ไม่ได้ครอบคลุมเหมือนนิมิตมืด แต่ก็มีรายละเอียดมากและตรงจุดกว่า โดยเฉพาะตอนใช้ในการต่อสู้ วิชานี้ทำให้คนติดอยู่ในนิมิตมายาได้ในทันที คนนั้นจะไม่สามารถแยกแยะภาพฝันกับความจริงได้และกลายเป็นหุ่นเชิดให้คนอื่นควบคุม!
แสงสว่างวาบขึ้นในตาหวังเป่าเล่อขณะปล่อยจิตเข้าสู่ลูกประคำห้าแฉกอีกสองลูกที่เหลือ แต่ละลูกบรรจุวิชาหมื่นภัยพิบัติและวิชาพันชีวิตเอาไว้ ทั้งสองเป็นวิชาทรงอำนาจที่ทำให้ผู้คนต้องสั่นกลัวถึงขั้วหัวใจ โดยเฉพาะวิชาหมื่นภัยพิบัติที่เหมือนจะเป็นคำสาปใช้ร่ายก่อนเริ่มสู้!
ผู้ถูกสาปจะกลายเป็นศัตรูกับทุกสิ่งไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง อาจจะโดนหินทับระหว่างเดินเล่นหรืออาจคลุ้มคลั่งไประหว่างทำสมาธิ
หมื่นภัยพิบัติที่ว่าคือการต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติมากมายจากสิ่งรอบตัว!
วิชาพันชีวิตมีอิทธิฤทธิ์ตามชื่อ เป็นวิชาขั้วตรงข้ามของวิชาหมื่นภัยพิบัติและเป็นวิชาเดียวที่สามารถใช้กับตนเองได้ โดยจะช่วยเพิ่มพลังชีวิตได้ถึงพันชีวิตระหว่างต่อสู้ หรือก็คือช่วยกันการโจมตีรุนแรงถึงตายได้หนึ่งพันครั้ง แต่เมื่อใช้จริงอาจจะได้ผลลัพธ์ต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
ไม่มีอะไรแน่นอน หากเป็นตามที่ว่าจริง ศิษย์พี่ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักแห่งความมืดคงไม่ถูกฟันขาดเป็นสองท่อนเช่นนี้… หวังเป่าเล่อก้มมองกะโหลกที่ตนนั่งทับอยู่ พยายามข่มความตื่นเต้นเมื่อได้ทราบถึงวิชาพันวิญญาณและสงบใจลง จากนั้นก็เริ่มปล่อยจิตเข้าไปในลูกประคำดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ พลังเทพที่สถิตด้านในคือวิชาพรากจุติเกิดและวิชาห้าโทษทัณฑ์!
ไม่นานเขาก็ต้องล้มเลิกความพยายามไป พลังเทพทั้งสองนั้นเหนือชั้นกว่าพลังเทพอีกสี่อยู่มาก ความยากลำบากตอนหลอมก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ชายหนุ่มยังไม่พร้อมที่จะเรียนรู้ทั้งสองวิชาเพราะไม่สามารถสัมผัสอะไรได้เลยจากลูกประคำสองลูกสุดท้าย
หลังจากเงียบอยู่พักใหญ่ หวังเป่าเล่อก็ถอนใจและเลิกล้มความตั้งใจไป จากนั้นก็หันมองรอบๆ แม้จะเป็นสถานที่แสนปลอดภัย แต่เขาก็เลือกที่จะจากซากเมืองแห่งนี้ไป
ชายหนุ่มก้มหัวคำนับกะโหลกยักษาและซากเมืองที่ตั้งอยู่ด้านบนก่อนจะกลับออกไป หนอนสีแดงมากมายยังดิ้นอยู่ในอากาศขณะหวังเป่าเล่อพุ่งขึ้นฟ้าและทะยานจากไป
ภารกิจของยังเป็นภารกิจเดิม ชายหนุ่มออกตามหาแท่นสังเวยต่อ เหมือนครั้งนี้โชคจะเข้าข้าง หลังจากท่องโลกได้สองสามวัน จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็หยุดชะงักกลางอากาศ รีบหันไปมองด้านหนึ่ง เขาสัมผัสได้ถึงผืนดินที่สั่นไหวและได้ยินเสียงโซ่กระทบกัน ลมหายใจหนักพัดขึ้น รุนแรงเหมือนดังพายุ พุ่งมาอย่างดุดันจากสุดขอบฟ้า
หวังเป่าเล่อไม่ลังเลใจ เกราะจักรพรรดิลักอัคคีพลันปรากฏขึ้น เขาถอยออกไปและจ้องอยู่จากไกลห่าง ผืนดินไหวรุนแรงขึ้น เสียงโซ่กระจ่างชัดในหู พายุหลายลูกโหมกระหน่ำบนฟ้า ร่างใหญ่ยักษ์สูงชะลูดพลันปรากฏตัวจากสุดขอบฟ้า!
มันไม่ใช่อสูรที่เขาเคยเจอก่อนหน้า ร่างกลมเริ่มปรากฏเด่นชัดในสายตาหวังเป่าเล่อ ดวงตาพลันเบิกกว้างเมื่อเห็นได้ชัดว่าเป็นตัวอะไร
อสูรเขี้ยวดารา!
อสูรเขี้ยวดาราเบื้องหน้าตัวใหญ่ยักษ์กว่าราชันอสูรที่หวังเป่าเล่อเคยพบ ร่างกายของมันส่งกลิ่นอายความตายพวยพุ่งออกมา ชายหนุ่มไม่ทราบได้ว่ามันตายมานานเท่าใดแล้ว แต่เปลวไฟรอบตัวมันยังคงลุกโชติช่วง ห้วงอากาศบิดเบี้ยวเมื่อมันเคลื่อนผ่าน นำพาความตายและอุณหภูมิร้อนระอุติดตัวไปตามทาง!
รอบตัวมีโซ่ล่ามไว้เหมือนวานรยักษ์ ปลายโซ่ล่ามติดกับท่อนไม้ มันลากท่อนไม้ไปตามทางเหมือนกับลา หากชะลอฝีเท้าแม้แต่นิดจะโดยแส้ที่มองไม่เห็นลงทัณฑ์!
หวังเป่าเล่อหยุดหายใจไป ต้องรีบถอยหนีเมื่อต้องเผชิญหน้ากับไอร้อนระอุ ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังท่อนไม้ด้านหลังอสูรเขี้ยวดารา ท่อนไม้ยาวสุดลูกลูกตา ชายหนุ่มรู้ว่ามีความเป็นได้สูงที่ตรงปลายอีกด้านของท่อนไม้…จะมีแท่นสังเวยอยู่!