หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 672 ต้องห้าม!
สำเร็จ! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นเมื่อได้ยินเสียงนั้น หัวใจเริ่มเต้นรัว เขาดีใจยิ่งกว่าตอนที่ปลดผนึกวังลำดับแรกได้สำเร็จ เพราะวังแรกเขาสามารถเข้าไปได้ด้วยสิทธิ์ที่ตนมี ส่วนวังลำดับสองนั้น…
เป็นเพราะความพยายามของข้า! ชายหนุ่มเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจขณะมองชั้นน้ำแข็งรอบวังลำดับสองทลายลงพื้น จากนั้นลำแสงสีฟ้าก็พวยพุ่งจากวังขึ้นสู่ฟากฟ้า!
คลื่นพลังวิญญาณสั่นคลอนผืนฟ้าและผืนดิน แรงสั่นสะเทือนนั้นรุนแรงกว่าตอนที่ปลดผนึกวังลำดับแรกได้ แม้ร่างกายของเขาจะอยู่ในขั้นจุติวิญญาณแต่ก็ยังถูกส่งกระเด็นถอยหลังไปหลายร้อยเมตร ชายหนุ่มรอให้พลังปะทะรุนแรงราวกับเป็นคลื่นยักษ์ที่สาดซัดไปทั่วพื้นที่จางลง จากนั้นจึงเริ่มเดินเข้าไปใกล้ด้วยความตื่นเต้นที่เอ่อล้นอยู่ในใจ
ไม่นานเขาก็หยุดอยู่หน้าวัง มองเห็นบานประตูเปิดแง้ม มีแสงสีฟ้าพวยพุ่งออกมาจากภายใน หวังเป่าเล่อผุดยิ้มสุขใจ ก่อนจะก้าวเข้าไปด้านในด้วยความตื่นเต้นและความคาดหวัง
ความรู้สึกแสนคุ้นเคยพัดผ่านร่าง เมื่อวิสัยทัศน์แจ่มชัดขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มก็พบว่าตนได้มายืนอยู่ตรงบริเวณที่แสนคุ้นตา ด้านในของวังนี้มีความคล้ายคลึงกับวังลำดับแรก ทั้งรูปปั้นและสถาปัตยกรรมภายในล้วนคุ้นตาทั้งสิ้น แตกต่างตรงที่ครั้งนี้ ไข่มุกตรงหน้าส่องแสงสีฟ้า
ด้านล่างไข่มุกมีร่างหนึ่งนั่งอยู่ ไม่ใช่ผู้อาวุโสคนเดิมจากวังลำดับแรก แต่เป็นชายวัยกลางคนสีหน้าเรียบเฉย
ชายคนนั้นเหลือบมองหวังเป่าเล่อ แต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนตอนที่ผู้อาวุโสคนก่อนมองมา ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกเหมือนกำลังโดนมองชนิดทะลุปรุโปร่ง แต่กลับหวาดผวาอยู่ภายใน ชายเบื้องหน้าเหมือนจะครอบครองพลังน่าพรั่นพรึงบางอย่างอยู่ หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว รีบก้มหัวทักทาย
“สวัสดีศิษย์พี่ ศิษย์น้องมีนามว่าหวังเป่าเล่อ!”
ชายผู้นั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับ เพียงแค่จ้องมองมาด้วยสายตาเย็นชา หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าเขากำลังมองมาที่ตนเอง หรือมองทะลุผ่านไปถึงแขนกระดูกอาวุธเทพที่เก็บกลับไปแล้ว ความเงียบทำให้ชายหนุ่มเริ่มเป็นกังวล ในหัวคิดไปต่างๆ นานาด้วยความร้อนใจ ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะพูดขึ้น
“วังแห่งนี้…จะพาผู้ฝึกตนก้าวข้ามอุปสรรคทุกอย่างเพื่อบรรลุขั้นการฝึกตน ถ้าเจ้าสามารถผ่านการทดสอบไปได้ด้วยขั้นปราณของเจ้าในปัจจุบัน เจ้าก็สามารถอาศัยวังแห่งนี้เป็นที่บรรลุไปขั้นจุติวิญญาณได้!”
“สำนักวังเต๋าไพศาลมีบันทึกวิญญาณจุติเก้าร้อยสามสิบแปดชนิดซึ่งเก็บรวบรวมมาตั้งแต่ครั้งกาลนาน ถ้าเจ้าผ่านการทดสอบไปได้ เจ้าจะสามารถเลือกวิญญาณจุติได้หนึ่งชนิดโดยวัดจากผลการทดสอบของเจ้า!” ชายวัยกลางคนอธิบายเสียงเย็นชา ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เสียงของเขาแตกต่างจากเสียงที่หวังเป่าเล่อได้ยินด้านนอก แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันในแง่ของความไร้อารมณ์และวิธีพูดที่เหมือนหุ่นยนต์
หวังเป่าเล่อรู้อยู่แล้วว่าชายวัยกลางผู้นี้เป็นเพียงภาพมายาเหมือนผู้อาวุโสที่วังลำดับแรก แม้จะมีความเชี่ยวชาญด้านอาวุธเวท แต่เขาก็ไม่รู้ว่าวังทั้งสามมีกลไกในการทำงานอย่างไร บอกได้เพียงว่าทั้งผู้อาวุโสและชายวัยกลางคนน่าจะเป็นวิญญาณวุธ
เสียงของชายวัยกลางคนดังก้องขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังใคร่ครวญ
“วิญญาณจุติที่เจ้าจะมีสิทธิ์เลือกขึ้นอยู่กับความสามารถและดวงชะตาของเจ้า ถ้าเจ้าสามารถทนรับพลังวิญญาณของข้าได้จนนับถึงสิบ เจ้าจะมีสิทธิ์เลือกวิญญาณจุติดวงใดก็ได้ที่ไม่ใช่สิบดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดในบันทึกของเรา!
“ถ้าเจ้าทนได้จนข้านับถึงยี่สิบ เจ้าจะมีสิทธิ์เลือกวิญญาณจุติที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสิบ ถ้ายังทนจนนับได้หกสิบ เจ้าจะมีสิทธิ์ตัดสินใจว่า…จะรับวิญญาณจุติดวงดาราซึ่งเป็นวิญญาณจุติในตำนานเพียงหนึ่งเดียวที่สำนักวังเต๋าไพศาลมีอยู่ไปหรือไม่!”
วิญญาณจุติดวงดาราหรือ หวังเป่าเล่อตาเบิกกว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขานึกทบทวนข้อมูลเกี่ยวกับวิญญาณจุติที่เคยอ่านเจอในสำนักวังเต๋าไพศาลทันที
วิญญาณจุติที่สามารถพบได้ในสำนักวังเต๋าไพศาลนั้นมีมากมายหลายชนิด ขั้นจุติวิญญาณถือเป็นขั้นสำคัญ การบรรลุจากขั้นกำเนิดแก่นในไปขั้นจุติวิญญาณเหมือนเป็นการสร้างชีวิตที่สองขึ้น ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงผู้ฝึกตนไปอย่างมาก
กุญแจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้คือคุณภาพของวิญญาณจุติ!
ยิ่งมีคุณภาพดีเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของผู้ฝึกตนมากขึ้นเท่านั้น หวังเป่าเล่อพบว่าถ้าตัดเรื่องเคล็ดวิชากับสมบัติเวทออกไปและพิจารณาความสามารถของผู้ฝึกตนแล้ว ระดับพลังปราณถือเป็นตัววัดพื้นฐาน คุณภาพของวิญญาณจุติของผู้ฝึกตนจะช่วยทวีคูณระดับพลังปราณเพื่อเพิ่มพูนความสามารถในการต่อสู้ของผู้ฝึกตน
พลังที่จะปลดปล่อยในการต่อสู้จึงจะแตกต่างกันไปตามระดับพลังปราณที่ได้รับการทวีคูณ คุณภาพของวิญญาณจุติจึงส่งผลต่อพลังของผู้ฝึกตน!
คุณภาพของวิญญาณจุติมีผลต่อการหลอมรวมกับกฎธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินความแข็งแกร่งในการต่อสู้และอนาคตของผู้ฝึกตน ที่สำคัญที่สุดคือ…หวังเป่าเล่อจำได้ว่าในบันทึกของสำนักวังเต๋าไพศาลได้กล่าวถึงเรื่องหนึ่งเอาไว้!
มีวิญญาณจุติหายากห้าชนิดกระจายอยู่ในอารยธรรมนับไม่ถ้วนในจักรวาล ทั้งห้าดวงถือเป็นตำนาน สำนักวังเต๋าไพศาลดั้งเดิมได้มาหนึ่งดวงเพราะโชคช่วย แต่ในบันทึกของสำนักวังเต๋าไพศาลปัจจุบันบอกไว้ว่าวิญญาณจุติในตำนานได้สูญหายไปแล้ว!
หวังเป่าเล่อเคยถามแม่นางน้อยเกี่ยวกับวิญญาณจุติดังกล่าว แต่นางก็บอกเขาว่าอย่าหวังเกินตัวมากนัก เห็นได้ชัดว่านางไม่น่าจะรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
เป็นเหตุให้ชายหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินชายวัยกลางคนพูดถึงวิญญาณจุติดวงดาราซึ่งเป็นวิญญาณจุติในตำนาน เขาระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นก่อนที่ชายวัยกลางคนจะทันได้พูดจนจบ
“ข้าเลือกวิญญาณจุติดวงดารา!” ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงเป็นประกาย เขากลัวว่าอาจจะได้รับโทษจากการโกงเข้ามา จึงรีบท่องคาถาในหัวทันทีที่ประกาศออกไปเช่นนั้น!
ชายหนุ่มตัดสินใจแล้วว่าจะไม่หวังพึ่งความพยายามของตนเองอีก เพราะเชื่อว่าได้พยายามอย่างหนักแล้วจนมาอยู่ในจุดนี้ได้ ทุกอย่างที่มีในปัจจุบันเป็นผลจากเลือด หยาดเหงื่อ และหยดน้ำตาของตัวเอง การช่วยเหลือจากภายนอกเป็นครั้งคราวนั้นไม่ได้ขัดต่อหลักการของเขาแต่อย่างใด
หวังเป่าเล่อท่องคาถาด้วยความตื่นเต้น ฟากฟ้าเริ่มร้องคำราม วังเริ่มสั่นไหวเมื่อพลังจากลึกสุดของจักรวาลพุ่งตรงลงมา กระบี่สำริดเขียวโบราณสั่นสะเทือน พลังเข้ากดทับชายวัยกลางคนที่อยู่ภายในวัง!
ชายวัยกลางคนเบิกตากว้าง ไม่ได้ดิ้นรนหรือสู้กลับ เขาหลับตา ขยายจิตสัมผัสวิญญาณออกไป ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง ชายวัยกลางคนทำสีหน้าแปลกประหลาด ขณะมองหวังเป่าเล่อและพยักหน้าให้
“เจ้าผ่านการทดสอบ!”
ชายหนุ่มเป็นกังวลใจอยู่นานจนกระทั่งได้ยินประโยคดังกล่าว ภายในเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขากำลังจะพูดอะไรออกไป ตอนนั้นเองชายวัยกลางคนก็มองตรงมาด้วยสายตาลุ่มลึก
“สมกับที่เป็นคนที่เข้ามาได้ด้วยพลังของศิษย์แห่งเต๋า ข้าขอชื่นชมความกล้าหาญของเจ้า ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกล้าเลือกวิญญาณจุติในตำนาน ซึ่งเป็นวิชาต้องห้ามที่แทบไม่มีใครเคยฝึกสำเร็จเลย!”
“ว่าอย่างไรนะ” หวังเป่าเล่อที่กำลังกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจนิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำว่า ‘วิชาต้องห้าม’ รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา ก่อนจะทันได้ถามรายละเอียดอะไร ชายวัยกลางคนก็ยกมือขวาขึ้นชี้ตรงมาทางชายหนุ่ม
“เจ้าจะได้สิ่งที่ตนเองต้องการ เข้าสู่ขั้นตอนการบรรลุตนได้!” ชายวัยกลางคนพูด ไม่เปิดโอกาสให้หวังเป่าเล่อได้ต่อรองหรือนึกเสียดายที่เลือกไปเช่นนั้น แสงสว่างพุ่งจากปลายนิ้วตรงไปกลางหน้าผากหวังเป่าเล่อทันที!
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนเกิดการระเบิดขึ้นในหัว วิสัยทัศน์พลันเลือนราง เริ่มรู้สึกเหมือนเท้าลอยขึ้นจากพื้น ก่อนจะถูกแสงสว่างนำพาขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์!
เขาพุ่งทะลุฟากฟ้าเข้าสู่ห้วงอวกาศและปรากฏตัวอีกครั้งในฟากฟ้ามายาไม่คุ้นตา ดวงดาวส่องแสงเป็นประกายอยู่รอบตัว ยังไม่ทันที่สติจะกลับมาครบสมบูรณ์ ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับวิธีหลอมวิญญาณจุติดวงดาราก็ถาโถมเข้าใส่สมอง!
ข้อมูลเกี่ยวกับวิญญาณจุติแล่นเข้าสมองทำให้เขาเข้าใจเรื่องวิญญาณจุติมากขึ้น ขณะที่ความรู้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกมากมายๆ ก็ถาโถมเข้ามาในใจ สุดท้ายชายหนุ่มก็ได้แต่ร้องโหยหวนด้วยความทุกข์ระทมออกมา
“ข้าไม่อยากฝึกวิชานี้แล้ว! ข้าพลาดไป…ข้าคิดผิด คิดผิดจริงๆ ข้าไม่อยากศึกษาวิชานี้แล้ว แม่นางน้อย ศิษย์พี่ ช่วยข้าด้วย…”
วิญญาณจุติดวงดารา หนึ่งในห้าวิญญาณจุติในตำนานจากทั่วทั้งจักรวาลที่สำนักวังเต๋าไพศาลได้ครอบครองโดยบังเอิญ สำนักวังเต๋าไพศาลรู้ซึ้งดีว่าความยากของการสร้างวิญญาณจุติชนิดนี้อยู่ในระดับใด และได้ตีตราให้มันเป็นวิชาต้องห้าม!
ทฤษฎีบอกไว้ว่าผู้ฝึกตนต้องแยกแก่นในทองคำออกมาและนำไปปะทะกับดาวเคราะห์ที่หลอมรวมกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ หากผิดพลาด แก่นในจะพังทลายและผู้ฝึกตนก็ต้องพบกับความตาย หากสำเร็จก็จะสร้างวิญญาณจุติดวงดาราขึ้นได้
………………………………..