หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 675 ตราบเท่าที่มีดวงดารา!
หวังเป่าเล่อเกาหัวและหันมองรอบๆ ไม่ว่าจะร้องขอสักเพียงใดก็ไม่มีการตอบกลับจากศิษย์พี่ที่ชอบแอบเฝ้าดู เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าศิษย์พี่ที่บังเอิญเจอกันได้จากไปแล้วหรืออย่างไร…
ไม่มีทาง เขาไปแล้วจริงๆ หรือ ชายหนุ่มกะพริบตา พยายามเรียกหาศิษย์พี่อีกสองสามครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับ เขาถอนใจ ศิษย์พี่ของตนน่าจะจากไปแล้ว ถึงแม้จะยังอยู่ ก็ดูเหมือนว่าไม่น่าจะมาปรากฏตัวต่อหน้าหวังเป่าเล่อ
“เช่นนั้นก็ได้ หวังเป่าเล่อผู้นี้พึ่งพาความสามารถของตนเองมาโดยตลอด คงจะเป็นชะตาลิขิตเอาไว้ไม่ให้ข้าใช้ทางลัดหรือคอยพึ่งพาผู้อื่น” หวังเป่าเล่อพูดพึมพำ พยายามปลอบใจตนเอง เขาไม่ได้สนใจเสียงแค่นจมูกเบาๆ ของแม่นางน้อยที่ดังขึ้นหลังจากตนพูดจบ
ชายหนุ่มมาถึงจุดที่สามารถเพิกเฉยต่อคำดูหมิ่นของแม่นางน้อยที่โพล่งออกมาด้วยความริษยา นอกจากนี้หวังเป่าเล่อยังเป็นคนมองโลกในแง่ดี แม้จะถอนใจให้กลับสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่เขาก็ก้าวข้ามความรู้สึกนั้นได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ หลังจากตรวจสอบระดับการฝึกตนของตัวเอง
ขั้นจุติวิญญาณ! หวังเป่าเล่อแสนสุขใจ ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาพบว่าตนเองนั้นแข็งแกร่งขึ้นกว่าตอนอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในมาก ความแตกต่างนั้นเกินจะบรรยายได้ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกตื่นเต้นหนักขึ้นเรื่อยๆ
ข้าควรจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นบทเรียน ไม่มั่นใจในตัวเองเกินไป ข้าควรฟังอีกฝ่ายให้ครบถ้วนก่อนจะตัดสินใจอะไรลงไป ชายหนุ่มนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวังศิษย์แห่งเต๋าและหาข้อสรุปอย่างจริงจัง เขายังไม่ได้เริ่มคิดหาทางเข้าไปในวังลำดับสาม หากแต่นั่งขัดสมาธิลงและเริ่มปรับสมดุลพลังปราณของตนเอง
เมล็ดดูดกลืน ดอกบัวสีเขียว และฝักกระบี่ได้กลับสู่ร่างกายเขาครบหมดแล้ว ตอนนี้มีร่างเล็กจิ๋วบนดอกบัวสีเขียวเพิ่มขึ้นมา เป็นร่างมนุษย์โปร่งใสส่องแสงแจ่มจรัส รูปร่างของมัน…ดูอ้วนท้วน ดูแล้วเหมือนหวังเป่าเล่อกำลังนั่งหน้าขรึมอยู่บนดอกบัวสีเขียวไม่มีผิด
ฝักกระบี่นั้นหดลงไปมาก มันหมุนวนรอบวิญญาณจุติ ปลดปล่อยพลังรัศมีน่าพรั่นพรึง เมล็ดดูดกลืนเปล่งแสงคล้ายคลึงกัน มันหมุนรอบตัวเองตามจังหวะการหายใจของชายหนุ่ม
ราวกับว่าเขาคือศูนย์กลางทุกอย่าง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้อำนาจของเขา!
หัวใจของชายหนุ่มเต้นถี่รัว รู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งได้ขึ้นเป็นผู้ปกครองสิ่งมีชีวิตทุกตน เมื่อพลังปราณสมดุลแล้ว เขาก็เริ่มศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับวิญญาณจุติดวงดาราที่ไหลหลากเข้าสู่หัวก่อนหน้านี้
ผ่านไปพักใหญ่กว่าหวังเป่าเล่อจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง ความตื่นเต้นในแววตายังไม่หายไปไหน แต่กลับเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ขณะที่พลังปราณในกายกลับมาอยู่ในสภาพสมดุล หลังจากศึกษาข้อมูลมากมายในหัวก็ได้พบความรู้ใหม่ที่ทำให้หัวใจเต้นระส่ำ
วิญญาณจุติดวงดารา…แข็งแกร่งขนาดนี้เลยหรือ ชายหนุ่มหายใจถี่รัว ยังคงตกอยู่ในอาการไม่อยากเชื่อแม้จะยืนยันกับข้อมูลในหัวอยู่หลายครั้ง ที่วิญญาณจุติดวงดาราได้ชื่อว่าเป็นวิชาต้องห้ามไม่ได้มาจากความยากในการฝึกเพียงอย่างเดียว แต่มาจากความแข็งแกร่งของมันด้วยเช่นกัน!
วิญญาณจุติดวงดารานั้นเกิดจากการชนกันกับดาวเคราะห์ ทำให้มีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่วิญญาณจุติอื่นไม่มี อาจจะชัดเจนกว่าถ้าจะเรียกมันว่าคุณสมบัติภายใน
ด้วยคุณสมบัติภายในนี้…ทำให้ยิ่งผู้ฝึกตนเข้าใกล้ดาวเคราะห์มากเท่าใดก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น โดยจะได้รับการเสริมพลังจากหมู่ดาวเคราะห์ บางคนอาจเถียงว่าผู้ครอบครองวิญญาณจุติดวงดารานั้นสามารถดูดซับพลังจากดาวเคราะห์ได้…สรุปก็คือ ผู้ฝึกตนที่มีวิญญาณจุติดวงดาราจะเก่งกาจในการสู้รบเมื่อมีดาวเคราะห์อยู่ใกล้ๆ
จริงๆ แล้ว…พลังที่ได้เสริมมานั้นจะเพิ่มพูนขึ้นตามขนาดและความพิเศษเฉพาะตัวของดาวเคราะห์ จากข้อมูลที่หวังเป่าเล่อได้มาพบว่า…การเสริมพลังนั้นไร้ซึ่งขีดจำกัด ขีดจำกัดเพียงอย่างเดียวคือขนาดของดาวเคราะห์ที่ได้อยู่ใกล้!
ตามทฤษฎีแล้ว หากมีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ไร้ขอบเขตและไม่สามารถทำลายลงได้อยู่จริง หวังเป่าเล่อก็จะมีสถานะใกล้เคียงกับความเป็นอมตะแค่เพียงอยู่ใกล้ๆ ดาวเคราะห์ดวงนั้น
นี่คือพลังของหนึ่งในห้าวิญญาณจุติในตำนาน วิชาต้องห้าม…วิญญาณจุติดวงดารา!
เยี่ยมไปเลย! หวังเป่าเล่อใจเต้นถี่รัว หายใจติดขัด แทบทำใจเชื่อไม่ได้ว่าจะดวงดีถึงเพียงนี้ ต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งถึงจะตระหนักได้ว่าตนแข็งแกร่งขึ้นเพียงใด เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้าและหัวเราะเสียงดัง ในใจรู้สึกฮึกเหิม ความเหนื่อยยากทั้งหมดที่ทุ่มเทไปได้ผลตอบแทนกลับมาอย่างคุ้มค่า
“สวรรค์ช่างยุติธรรม โลกใบนี้อาจจะเต็มไปด้วยคนที่ได้อะไรมาโดยไม่ต้องพยายาม หรือไม่ก็คนที่บังเอิญได้ดิบได้ดีเพราะโชคช่วย แต่…โชคชะตาก็ไม่ได้ละทิ้งผู้ที่ตรากตรำอย่างหนัก!”
แม่นางน้อยเห็นใบหน้าผยองและสิ่งที่ชายหนุ่มพล่ามออกมาก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก นางถอนใจด้วยความเหนื่อยอ่อน
“เอาที่สบายใจ…”
หวังเป่าเล่อไม่สนใจคำประชดของแม่นางน้อยและลุกยืนขึ้น เขายืดอกเอามือไพล่หลัง จ้องมองไปยังวังลำดับสุดท้ายด้วยความภาคภูมิ สายตาของชายหนุ่มฉายแววเฉียบขาด พลังแกร่งกล้าปะทุออกจากร่างของเขาในทันใด
มันเป็นพลังที่เหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน พลังขั้นจุติวิญญาณก่อให้เกิดพายุที่กรีดร้องอยู่รอบตัว แสงดวงดาวกระพริบวับวาวอยู่ภายในพายุ พลังวิญญาณกล้าแกร่งเพิ่มพูนขึ้นขณะหวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังปราณเต็มขั้น ปราณวิญญาณอัดแน่นขึ้น ก่อนจะก่อตัวเป็นเงามายาวิญญาณจุติของหวังเป่าเล่อ!
ร่างมายาที่ปรากฏขึ้นสั่นสะเทือนผืนฟ้าและผืนดิน ลมกรรโชกหวีดร้องขณะที่พายุพัดหมุนรอบชายหนุ่มที่กำลังรวบรวมพลัง แสงพลันสว่างวาบในดวงตาของหวังเป่าเล่อ เขาร้องคำรามและพุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เขาพุ่งตัวแหวกอากาศ ทิ้งเงาร่างไว้เบื้องหลังขณะมุ่งหน้าตรงไปทางวังลำดับสาม เมื่อเข้าไปใกล้ ชายหนุ่มก็ร้องคำรามพร้อมปล่อยหมัดตรงไปและปลดปล่อยแขนกระดูกอาวุธเทพ
“แหลกไปซะ!”
เสียงกัมปนาทดังก้องไปทั่วบริเวณ ตามมาด้วย…เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของหวังเป่าเล่อที่ถูกส่งกระเด็นขึ้นฟ้า ปลิวไปด้านหลังก่อนจะกระแทกลงพื้น พื้นดินสั่นสะเทือนจากการกระแทกจนเกิดเป็นหลุมขึ้นมา
ความเงียบเข้าปกคลุมพื้นที่ หวังเป่าเล่อใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าจะตะกายขึ้นมาจากหลุมได้ เขาดูสลดใจขณะจ้องตรงไปยังวังตรงหน้าที่ไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย ชายหนุ่มหมุนข้อมือที่เจ็บระบบพร้อมกับถอนใจ
ข้ามั่นใจในตนเองเกินไป…
หวังเป่าเล่อนวดข้อมือและจ้องวังลำดับสามด้วยความขุ่นเคืองใจ หากกลับออกไปเฉยๆ คงจะเสียโอกาสที่ยิ่งใหญ่ไป สิ่งที่ได้มาจากวังทั้งสองแห่งนั้นช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ดังนั้นรางวัลที่ได้จากวังลำดับสามคงจะยอดเยี่ยมไม่แพ้กันหรืออาจจะดีกว่าก็เป็นได้
ข้าจะเข้าไปได้อย่างไรกัน…ข้ามีคุณสมบัติไม่ถึง… ชายหนุ่มคิดพิจารณา เขาเข้าไปในวังลำดับแรกได้เพราะมีคุณสมบัติเหมาะสม ส่วนวังลำดับสองก็ได้แขนกระดูกของหลี่อู๋เฉินเมื่อชาติที่แล้วช่วยเบิกทาง
แสดงว่าแม้แต่ศิษย์แห่งเต๋าก็ยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะเข้าไปได้ มีเพียงคนที่มีสถานะสูงกว่าศิษย์แห่งเต๋าถึงจะเข้าไปได้อย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อคิด ตามความเข้าใจของเขา มีเพียงผู้อาวุโสเท่านั้นที่มีสถานะสูงกว่าศิษย์แห่งเต๋า แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นแค่ผู้อาวุโสธรรมดาก็ยังถือว่ามีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะเข้าไปได้ อย่างน้อยต้องเป็นผู้อาวุโสระดับสูง หรืออาจจะต้องผู้อาวุโสสูงสุดเท่านั้นถึงจะเหมาะสม
แล้วข้าจะไปหาสิทธิ์ที่ว่ามาจากไหน ชายหนุ่มถอนใจด้วยความเหนื่อยอ่อน ใจหนึ่งก็จะอยากยอมแพ้ ทันใดนั้น ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็สว่างวาบขึ้น ในหัวเริ่มตรึกตรองไม่หยุดขณะภาพสิ่งต่างๆ ปรากฏขึ้น ภาพสุดท้ายที่เห็นเป็นภาพของศพยักษ์แผ่พลังแกร่งกล้าที่นอนอยู่กลางทะเลโลหิต!
หวังเป่าเล่อพบศพศพนั้นครั้งแรกบนแท่นคงกระพัน ภาพในตอนนั้นทำให้เขาต้องตื่นตะลึงไป พลางนึกสงสัยว่าศพศพนั้นอาจจะเป็นศพของบุคคลสำคัญมากสักคน
หัวใจชายหนุ่มเต้นรัวเมื่อคิดถึงศพศพนั้น ก่อนจะได้ข้อสรุปให้กับตนเอง
ข้าจะไปตามหาศพศพนั้นและเก็บเนื้อกลับมาส่วนหนึ่ง ถ้าได้เลือดด้วยก็คงดี พลังที่แผ่ออกมาน่าจะช่วยคลายผนึกวังลำดับสามได้! คิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็ทะยานออกไปตามหาแท่นคงกระพันทันที!
สำนักวังเต๋าไพศาลบนกระบี่สำริดเขียวโบราณนั้นกว้างใหญ่ สามารถพบเห็นแท่นคงกระพันมากมายกระจายอยู่ทั่วบริเวณ บางส่วนอาจพังทลายไปตอนที่ฟ้าดินพังทลาย แต่ก็มีเหลืออยู่อีกมากที่บริเวณปลายกระบี่ ไม่นานหวังเป่าเล่อก็พบแท่นหนึ่ง หลังจากเอ่ยขออย่างหน้าไม่อายอยู่สักพัก แม่นางน้อยก็ยอมสอนวิธีเปิดใช้งานให้ ผ่านไปครู่หนึ่งแท่นคงกระพันก็สั่นไหว ชายหนุ่มหลอมรวมกับหมอกและลอยขึ้นไปบนฟ้า!
เขาพอจะจำได้รางๆ ว่าเจอศพอยู่ตรงไหน เมื่อสามารถควบคุมแท่นคงกระพันได้มากขึ้น ใช้เวลาไม่นาน ประมาณแค่ครึ่งวัน หมอกก็พาชายหนุ่มมาถึง…ทะเลโลหิต!
ปราณโลหิตพวยพุ่งขึ้นมาจากทะเลเบื้องล่าง สายฟ้าสีแดงฟาดฝ่าส่งเสียงกัมปนาท ศพยักษ์ลอยอยู่กลางทะเลโลหิต มีพลังกล้าแกร่งไม่ต่างจากเทพ
แม้จะตายไปแล้วแต่ก็ยังส่งพลังแกร่งกล้าออกมา สร้างแรงกดดันมหาศาลแผ่พุ่งไปทั่วบริเวณ!
………………………………….