หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 677 ผนึกจงคลายออก!
หวังเป่าเล่อหรี่ตามองแมลงปอสีเลือดที่ปรากฏตัวขึ้น เขากำหยดเลือดสีแดงคล้ำและหายตัววับไปโดยไม่ลังเลใจ
คมมีดสีแดงชาดสองคมพุ่งตัดอากาศผ่านจุดที่ชายหนุ่มเคยอยู่ เกิดเป็นกากบาทสีโลหิตขนาดใหญ่บนท้องฟ้า
ชายหนุ่มขนหัวลุกเมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากหายตัวไปปรากฏถัดออกไปไกล เขาสัมผัสได้ถึงพลังล้นเหลือที่แผ่ออกมาจากแมลงปอ พลังที่สัมผัสได้นั้นเหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณไปอีก อาจจะอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณหรือสูงกว่า
ตัวใหญ่อะไรขนาดนั้น! เขาคิดขึ้นในหัว แมลงปอโฉบขึ้นฟ้าจากทะเลโลหิตหลังโจมตีเสร็จ ส่งเสียงกึกก้องทั่วบริเวณ หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าเสียงกัมปนาทที่ดังก้องในอากาศมีต้นตอจากปากกว้างหรือปีกขนาดมหึมากันแน่ อสูรยักษ์พุ่งเข้าใส่ชายหนุ่ม
มันปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อในพริบตาต่อมา เตรียมจะฉีกกระชากและเขมือบชายหนุ่มทั้งเป็น เขาคงไม่สามารถหลบการโจมตีนี้ได้หากยังไม่บรรลุขั้นจุติวิญญาณ อาจไม่สามารถมองการเคลื่อนไหวของแมลงปอได้ทันด้วยซ้ำ เพราะคงจะตายในทันที แต่ตอนนี้เขามีวิญญาณจุติดวงดาราในครอบครอง ดวงอาทิตย์ที่อยู่ในระยะอาจไม่ใช่ดาวเคราะห์ที่ช่วยเสริมพลังให้กับเขาได้ แต่ชายหนุ่มก็ยังมีระดับพลังปราณที่เพิ่มพูนขึ้นมากหลังบรรลุขั้นการฝึกตน เขาจึงหลบการพุ่งโจมตีได้ทันท่วงที
ถึงกระนั้น แมลงปอก็ยังแข็งแกร่งกว่าชายหนุ่มมาก แม้ตัวจะหลบได้พ้น แต่กระจุกผมกลับหนีไม่พ้น จึงถูกตัดขาดและปลิวไปกับสายลม
หวังเป่าเล่อใจเต้นถี่รัว เขายกมือขวาขึ้นและท่องคาถาในหัวอีกครั้ง
เพียงความคิดเดียวเท่านั้นก็จะปลดปล่อยเจ้าจากคุกจองจำอันล้ำลึกนี้ได้
นั่นคือวรรคที่สี่ของคาถา!
ส่วนประโยคต่อมาคือคำด่าทออสูร
“เจ้าอสูรจองหอง!”
ฟ้าดินสั่นคลอนขณะดวงจิตปริศนาจุติลงมาจนเกิดเสียงดังกัมปนาทอีกครั้ง พลังกดดันทวีความรุนแรง ราวกับมีหัตถ์มหึมาที่มองไม่เห็นกดทับทุกสิ่งและเข้าต้านทานแมลงปอที่กำลังพุ่งเข้ามาหาหวังเป่าเล่อ
แม้จะไม่มีร่างที่เป็นรูปธรรม แต่ก็สามารถทำให้แมลงปอที่พุ่งเข้ามาร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดและรีบถอยกลับอย่างตื่นกลัว หวังเป่าเล่อเห็นว่าคาถาใช้ได้ผลก็รู้ว่าจังหวะนี้คือโอกาสเดียวที่จะหนีรอดจากความตายไปได้ เขาหายวับไปอีกครั้ง และปรากฏตัวขึ้นไกลออกไป จากนั้นก็ปลดปล่อยความเร็วเต็มขั้น หมายจะหนีออกจากทะเลโลหิตไปให้จงได้
แมลงปอดูโกรธแค้นเมื่อสัมผัสได้ว่าชายหนุ่มพยายามหลบหนี ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความดุร้ายขณะกระพือปีกอย่างดุดัน หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ อสูรร้ายร้องคำรามขึ้นพร้อมตีปีกสู้กับความกลัวที่เข้าเกาะกุมจิตใจ และพุ่งตามชายหนุ่มไปอีกครั้ง
ดื้อด้านเสียจริง! หวังเป่าเล่อลนลาน ไม่มีเวลาพอให้คิดอะไร เขาหันกลับไปตะโกนลั่น ไม่มีอารมณ์มามัววางมาด ในหัวคิดถึงคาถาขณะปากเอ่ยพูดเสียงดัง
“จงน้อม…”
ที่พูดขึ้นคือส่วนแรกของวรรคสุดท้ายที่เรียนรู้มา วรรคนี้มีทั้งหมดเก้าคำ หวังเป่าเล่อเอ่ยสองไปคำแรก และกำลังจะเอ่ยต่อ…แต่ก็มีบางสิ่งหยุดเขาไว้ในจังหวะสุดท้าย ทำให้ไม่กล้าท่องต่อให้จบ
พลังปริศนาระเบิดขึ้นหลังจากที่เขาเอ่ยสองคำออกไป ทวีคูณความรุนแรงขึ้นจากเดิมหลายเท่าตัว พลังดังกล่าวเป็นดังคลื่นยักษ์ที่ถาโถมใส่ทุกสิ่ง ทั่วบริเวณเริ่มสั่นไหวรุนแรง
แมลงปอตื่นกลัว รีบถอยหนีไม่คิดชีวิต ทิ้งเงาสีแดงเลือนรางไว้เบื้องหลัง ขณะถลากลับสู่ทะเล
มันตัวสั่นเทิ้มอยู่ใต้น้ำ สร้างคลื่นปั่นป่วนบนผิวทะเล ดวงตาของมันยังคงโผล่พ้นน้ำ จ้องไปทางหวังเป่าเล่อด้วยความหวาดกลัว
เป็นภาพที่ทำให้ใจสงบลงได้ ทั่วบริเวณไม่มีใครอื่น ชายหนุ่มคิดว่าตนไม่จำเป็นต้องวางมาดเป็นผู้ฝึกตนทรงพลังอีกต่อไป เขารีบปลดปล่อยความเร็วเต็มพิกัด พุ่งหายไปไกลลับตา
แมลงปอยังคงตื่นกลัว มันมองหวังเป่าเล่อหนีหายไป เลิกล้มความตั้งใจที่จะไล่ตามไปอีก
ผ่านไปพักใหญ่ เมื่อทั่วบริเวณกลับสู่ความสงบสุขอีกครั้ง แมลงปอก็โผขึ้นจากทะเล บินวนรอบศพหนึ่งรอบ จากนั้นก็ตีปีกดุดันราวกับจะแสดงออกถึงความโกรธเกรี้ยว ห้วงอากาศแหวกออกในทันใด ฝูงงูเขียวบนศพสั่นกลัว แต่ก็ยังไม่จบแค่นั้น มันตีปีกอีกครั้ง สร้างความปั่นป่วนให้กับทะเลโลหิต เลือดพุ่งขึ้นสูงเฉียดฟ้า ก่อนจะบิดหมุนกลายร่างเป็นคน
ร่างสีแดงที่ปรากฏขึ้นมีรูปลักษณ์เหมือนหวังเป่าเล่อไม่มีผิด
แมลงปอคำรามลั่นเมื่อเห็นดังนั้น มันพุ่งตรงไปตัดแขนและขาอย่างละข้างด้วยปีก จากนั้นก็อ้าปากเขมือบเข้ากลางร่างที่สร้างขึ้นจากโลหิต การแก้แค้นดำเนินต่อไปจนร่างสีแดงพิกลพิการจนดูไม่ออกว่าเป็นใคร อสูรร้ายพ่นลมหายใจ เหมือนว่าจะสาแก่ใจขึ้นมาบ้าง มันสร้างร่างคล้ายหวังเป่าเล่อขึ้นมาอีกสองสามร่างและลงมือแก้แค้นซ้ำๆ เมื่อพึงพอใจแล้วก็หายวับกลับสู่ทะเลไป
หวังเป่าเล่อทนดูภาพเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้ มิเช่นนั้นคงได้กลัวจนตัวสั่นแน่ ไม่มีวันที่เขาจะไปทำให้แมลงปอแค้นเคืองอีก มันดูจะเป็นอสูรที่จำความแค้นไว้ได้จนขึ้นใจ
ชายหนุ่มเคลื่อนย้ายไปเรื่อยๆ อยู่หลายครั้งจนพบแท่นคงกระพัน จากนั้นก็ท่องหมอกกลับไปยังปลายกระบี่
สำหรับคนอื่นอาจเป็นเรื่องยาก แต่หวังเป่าเล่อรู้วิธีใช้งานแท่นคงกระพันแถมยังเพิ่งเดินทางมาจากปลายกระบี่ จึงรู้ว่าบริเวณไหนปลอดภัยที่จะผ่าน ไม่นานเขาก็กลับไปถึงจุดที่วังทั้งสามตั้งอยู่
หวังเป่าเล่อยืนจ้องชั้นน้ำแข็งอยู่หน้าวังลำดับสามอย่างมีความหวัง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ารางวัลในวังแห่งนี้ย่อมต้องยิ่งใหญ่กว่าอีกสองวัง เขาไม่รอช้า สูดหายใจเข้าลึก ยกมือขวาหยิบตราประจำตัวขึ้นมาพร้อมตะโกนลั่น
“ผนึกจงคลายออก!”
เสียงของเขาดังก้องในอากาศ วังลำดับสามเริ่มสั่นไหว พลังที่มองไม่เห็นพวยพุ่งขึ้นตอบรับตราประจำตัวในมือชายหนุ่ม ชั้นน้ำแข็งที่ปกคลุมวังอยู่เริ่มสั่นไหว ส่งสัญญาณเหมือนจะทลายลง
หวังเป่าเล่อเริ่มตื่นเต้น เขาตั้งตาคอยด้วยความคาดหวัง เวลาผ่านไป นอกจากการสั่นไหวแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก ชั้นน้ำแข็งสั่นคลอนแต่ไม่ได้ทลายลงมา เหมือนกับว่า…ยังขาดอะไรไป
ชายหนุ่มหรี่ตา ยกมือซ้ายขึ้นสร้างผนึกฝ่ามือ เกราะจักรพรรดิลักอัคคีเริ่มตื่นพลัง เขาทำลายเกราะชิ้นแรกไป และเพิ่งจะสร้างขึ้นใหม่ได้เพียงขั้นแรก
แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
เส้นปราณมายากระจายจากมือข้างซ้ายไปทั่วร่างกายชายหนุ่ม ร่างของหวังเป่าเล่อพลันหุ้มด้วยเกราะจักรพรรดิลักอัคคีสีโลหิต เขาสูดหายใจลึกและหยิบหยดเลือดสีแดงคล้ำออกมา
วังลำดับแห่งที่สามสั่นไหวรุนแรงขึ้น ชายหนุ่มตาเป็นประกาย รีบหลอมหยดเลือดเข้ากับเกราะจักรพรรดิ จากนั้นก็ปลดปล่อยพลังเต็มขั้น พลังจากเจ้าของหยดเลือดพวยพุ่งขึ้นทันใด หวังเป่าเล่อยกมือขวาชูตราประจำตัวและตะโกนขึ้นอีกครั้ง
“ผนึกจงคลายออก!”
วาจาของชายหนุ่มสะท้อนอยู่ในอากาศ เสียงระเบิดรุนแรงดังก้องขึ้นจากวังลำดับสาม ผนึกน้ำแข็งทลายลง พลังมหาศาลจากวังพัดกระจายออกไปทั่วบริเวณ เหมือนจะประกาศแสดงความยินยอม ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังหายใจไม่ทั่วท้องอยู่นั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“ในฐานะผู้อาวุโส เจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะแบกรับหน้าที่ในการปกป้องสำนักวังเต๋าไพศาล เจ้าสามารถเข้าไปในวังวิญญาณลำดับสามเพื่อบรรลุขั้นการฝึกตนของเจ้าได้!”
เสียงกัมปนาทดังก้องท้องนภา ประตูสู่วังลำดับสามแง้มเปิดออก เผยให้เห็นวิสัยทัศน์ปริศนาที่อยู่ด้านใน!
หวังเป่าเล่อตื่นเต้นหนัก หลังจากผ่านวังลำดับแรกและลำดับสองมาได้ เขาก็รู้ว่าจะต้องทำเช่นไร ชายหนุ่มพุ่งตรงไปทางวังลำดับสาม
และเข้าไปในวังทันที!
…………………………………………….