หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 679 ทางเลือกทั้งสาม!
ปราณวิญญาณปกคลุมหนาแน่นไปทั่วบริเวณจนดูคล้ายหมอก หวังเป่าเล่อง่วนอยู่กับการดูดกลืนปราณวิญญาณเหล่านั้นและยังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ชายหนุ่มกำลังพยายามไปให้ถึงอีกจุดหมายหนึ่งในเส้นทางแห่งการฝึกปราณ เขาไม่รู้ตัวเลยว่าหนึ่งในบรรดาซากศพกำลังจะตื่นขึ้น
ถือเป็นเรื่องดี เพราะหากเป็นคนอื่นมาที่นี่คงจะกลัวจนหัวหดเมื่อเห็นศพลืมตาขึ้น หากโชคดี ความกลัวนี้ก็คงแค่ขัดขวางการฝึกปราณเล็กน้อย หาไม่แล้ว…อาจจะทำให้ปราณวิญญาณพลุ่งพล่านจนเกินจะควบคุมได้
ศพนั้นยังไม่ตื่นเต็มที่ มันเพียงแต่เริ่มขยับขนตาก่อนจะหลับไหลลงอีกครั้ง หวังเป่าเล่อยังคงดูดกลืนปราณวิญญาณในอากาศต่อไปโดยไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ระดับพลังปราณของเขาคืบเข้าใกล้การบรรลุขั้นต่อไปขึ้นทุกขณะ!
ชายหนุ่มตั้งใจดูดกลืนต่อกระทั่งปราณของเขาบรรลุสู่ขั้นจุติวิญญาณชั้นกลาง เรื่องนี้อาจเป็นการยากสำหรับผู้ฝึกตนทั่วๆ ไปที่ยังไม่จัดเจดเคล็ดวิชาฝึกตน ต้องมีการตระเตรียมมากมายเพื่อให้ฝึกได้เทียบเท่ากัน เคล็ดวิชาการฝึกตนเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในปราณขั้นใด แต่หวังเป่าเล่อมีวิญญาณจุติดวงดารา ตรงจุดนี้เองที่วิญญาณจุตินี้แตกต่างจากวิญญาณจุติทั่วไป
หวังเป่าเล่อสามารถผลักดันพลังปราณของตนให้รุดหน้าได้ด้วยการดูดกลืนปราณวิญญาณ โดยไม่จำเป็นต้องร่ำเรียนเคล็ดวิชาฝึกปราณใดๆ แม้แต่น้อย เพราะตอนนี้ชายหนุ่มยังไม่มีเคล็ดวิชาฝึกปราณขั้นจุติวิญญาณอยู่แม้แต่วิชาเดียว การบรรลุขั้นใดๆ ก็ตามที่เขาอาจทำได้ในช่วงนี้ยังไม่ถือเป็นการบรรลุขั้นอย่างแท้จริง แต่เมื่อใดก็ตามที่หวังเป่าเล่อฝึกเคล็ดวิชาการฝึกปราณจนช่ำชอง ชายหนุ่มก็จะสามารถทำให้พลังปราณของเขาเสถียรได้โดยไร้ผลข้างเคียงใดๆ
หวังเป่าเล่อเรียนรู้เคล็ดวิชาการฝึกปราณมาโดยตลอด ความทรงจำจากนิมิตมืด พลังเทพที่ได้รับมาจากสำนักวังเต๋าไพศาล รวมถึงวิชาที่ร่ำเรียนมาจากดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้น แปลว่าเขารู้ดีว่าต้องเดินหน้าไปอย่างไรในขั้นจุติวิญญาณนี้
ไม่มีความจำเป็นต้องไปกวนใจถามแม่นางน้อย ชายหนุ่มมีแผนอยู่แล้วราวๆ เจ็ดถึงแปดแผนในศีรษะ แต่ละแผนมีจุดดีจุดด้อยต่างกันไป เขายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกใช้แผนใดแน่ หวังเป่าเล่ออยากศึกษาแผนแต่ละแผนให้ละเอียดหลังจากที่เดินทางกลับไปยังสหพันธรัฐแล้ว จากนั้นจึงค่อยตัดสินใจ
เคล็ดวิชาการฝึกปราณในขั้นจุติวิญญาณกำหนดอนาคตของผู้ฝึกตนได้เลยทีเดียว แผนที่หวังเป่าเล่อคิดขึ้นมาแต่ละแผนนั้นก็ดูน่าจะเป็นไปได้มากทั้งสิ้น และสามารถแบ่งออกได้เป็นสามจำพวกด้วยกัน
จำพวกแรกเป็นแผนที่มุ่งเน้นการฝึกปราณด้วยกายหยาบ โดยให้ปราณวิญญาณเป็นตัวหนุน หวังเป่าเล่อสามารถงัดเอาภูเขาขึ้นมาจากพื้นโลก หรือทุบแยกแผ่นดินให้แม่น้ำไหลผ่านได้ด้วยกำลังกายเพียงอย่างเดียว ชายหนุ่มยังสามารถหยิบดวงดาราลงมาจากท้องฟ้าได้อีกด้วย หากเขาเลือกทางนี้ จะมีเคล็ดวิชาฝึกปราณสามวิชาให้เลือก ซึ่งทั้งสามต่างก็ดูน่าสนใจพอๆ กัน
แผนต่อมาเน้นไปที่พลังเทพ การพัฒนาพลังเทพจะส่งผลให้ความสามารถในการรับรู้พลังธรรมชาติของหวังเป่าเล่อพุ่งสูง ซึ่งจะช่วยเร่งอัตราการเติบโตของปราณวิญญาณในกายอีกด้วย ชายหนุ่มจะสามารถแปรสภาพเมล็ดถั่วให้กลายเป็นทหาร เรียกพายุ และควบคุมทิศทางลมได้ วิญญาณจุติดวงดาราจะช่วยให้พลังของเขาก้าวหน้าไปกว่าผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันมาก อาจกล่าวได้ว่าหวังเป่าเล่อสามารถเอาชนะคนอื่นๆ ได้เพราะตัวตนอันยิ่งใหญ่เลยทีเดียว หากชายหนุ่มตัดสินใจเลือกแผนนี้ ก็จะมีเคล็ดวิชาการฝึกปราณอีกสามวิชาให้เลือกสรรค์ เขายังต้องศึกษาพวกมันให้ละเอียดขึ้นก่อนตัดสินใจ
แผนสุดท้ายเป็นแผนที่ทำให้หวังเป่าเล่อลังเลใจมากที่สุด แผนนี้ไม่สนใจกำลังกายหรือการรับรู้พลังธรรมชาติ หากแต่มุ่งเน้นไปที่การ…เข่นฆ่าเพียงอย่างเดียว!
ชายหนุ่มต้องไต่เต้าขึ้นไปด้วยการฆ่าฟัน หากเลือกเส้นทางนี้ เขาจะกลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งการสังหารและความรุนแรงในดินแดนของวิญญาณจุติทั้งหลาย ราวกับเป็นยมทูตแห่งสรรพชีวิตฉะนั้น!
มีเคล็ดวิชาฝึกปราณเพียงหนึ่งเดียวให้หวังเป่าเล่อเรียนหากเลือกเส้นทางนี้ นั่นก็คือ…วิชาดวงตาปีศาจ!
เคล็ดวิชานี้คือการสร้างดวงตาสีขาวที่ล่องลอยอยู่ข้างกายตลอดและกลายเป็นสิ่งแสดงถึงระดับพลังปราณของเขา วิธีการฝึกนั้นแตกต่างกับเคล็ดวิชาฝึกปราณอื่นๆ โดยสิ้นเชิง ผู้ฝึกตนต้องทำสิ่งเดียว ก็คือการ…ฆ่าฟัน!
การสังหารหนึ่งครั้งชายหนุ่มจะสร้างดวงตาได้หนึ่งดวง ดวงตาจะช่วยเพิ่มระดับพลังปราณให้เขา และดวงตานั้นก็คือดวงตาปีศาจนั่นเอง
หลังจากเข่นฆ่าผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว ระดับปราณก็จะเกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด และหวังเป่าเล่อจะสามารถเรียกดวงตาออกมาล้อมกายตนเองได้นับไม่ถ้วน!
ดวงตาปีศาจแต่ละดวงสามารถปัดเป่าคาถาและยังแผ่พลังออกมามหาศาล พลังทำลายที่เกิดจากการทำลายตัวเองของดวงตารุนแรงเทียบเท่าแรงระเบิดที่ใช้สังหารคนเพื่อจะสร้างดวงตา
เคล็ดวิชาฝึกปราณนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสังหารผู้อื่น ยิ่งผู้ฝึกตนฆ่าคนมากเท่าใดก็จะยิ่งแข็งแกร่ง และบ้าคลั่งมากขึ้นเท่านั้น!
เคล็ดวิชานี้ไม่ปรากฏอยู่ในดวงตาแห่งวิชาไม่รู้สิ้นหรือจารึกใดๆ ในสำนักวังเต๋าไพศาล กระทั่งแม่นางน้อยก็ยังไม่เคยได้ยินชื่อเคล็ดวิชานี้มาก่อน หวังเป่าเล่อไปอ่านมาจากจารึกของสำนักแห่งความมืดเมื่อครั้งที่อยู่ในนิมิตมืดนั่นเอง
หวังเป่าเล่อจำได้อย่างชัดเจนว่าเคยอ่านเรื่องนี้มาจากจารึกของสำนักแห่งความมืด วิชานี้เป็นกระบวนเวทลึกลับที่มีต้นกำเนิดมาจากอารยธรรมโบราณซึ่งสูญสิ้นไปนานแล้ว มีเพียงจารึกของการใช้กระเวทนี้ในขั้นจุติวิญญาณเท่านั้นที่เหลือรอดมาได้ ที่เหลือสูญหายไปจนสิ้น เป็นเหตุให้กระบวนเวทนี้ถือว่าไม่สมบูรณ์ แม้จะทรงพลังเพียงใดก็ตาม
อย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องนั้นเลย…หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะวางความคิดเหล่านั้นลง ชายหนุ่มหันกลับมาตั้งสมาธิกับการดูดกลืนของเหลววิญญาณในสระ ไม่ว่าเขาจะเลือกทางใด สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการสูบปราณวิญญาณจากสระและบรรลุไปสู่ขั้นจุติวิญญาณชั้นกลาง ระดับพลังจะเป็นรากฐานอันมั่งคงให้กับเขาไม่ว่าจะเลือกทางใดก็ตาม
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เมล็ดดูดกลืนในกายของหวังเป่าเล่อก็เพิ่มพลังดูดกลืนขึ้นอีก วิญญาณจุติตัวน้อยร่างอ้วนท้วนบนศีรษะเขาประกบฝ่ามืออวบอูมทั้งสองเข้าด้วย มือทั้งสองเคลื่อนไหวรวดเร็วเสียจนพร่าเลือนเพื่อสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ชายหนุ่มเริ่มดูดกลืนของเหลววิญญาณเข้าไปจำนวนมากราวกับเป็นวาฬขนาดยักษ์ ของเหลววิญญาณเหล่านั้นระเบิดปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่องในกายเขา ก่อนจะแปรสภาพกลายเป็นปราณวิญญาณที่ผลักให้ระดับปราณของหวังเป่าเล่อพุ่งสูงขึ้นทุกที
ภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที ร่างของหวังเป่าเล่อก็เริ่มส่งเสียงแตกร้าวอีกครั้ง เป็นสัญญาณว่าชายหนุ่มดูดกลืนของเหลววิญญาณเข้าไปมากกว่าที่ร่างกายจะรับไหว ปราณวิญญาณภายในกายของเขามีมากเกินกว่าที่ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณชั้นต้นจะแบกได้ ขณะนี้หวังเป่าเล่อมีปราณวิญญาณอยู่ในกายเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณชั้นกลางแล้ว
วิญญาณจุติของเขาก็ไม่ใช่เจ้าอ้วนน้อยอีกต่อไป แต่มันกลายสภาพเป็นลูกบอลเนื้ออ้วนกลม คนทั่วไปคงไม่มีทางรู้ได้ว่าสิ่งนี้คือวิญญาณจุติ…
หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตัวเขาถึงที่สุดแล้วทั้งทางกายและทางวิญญาณ ชายหนุ่มหายใจแทบไม่ทัน แต่เขาเองก็ไม่อยากหยุดอยู่เพียงเท่านั้น
ข้าพยายามไปตั้งมากกว่าจะเข้ามาที่นี่ได้ จะดูดกลืนปราณวิญญาณเข้าไปเพียงเท่านี้ไม่ได้! หวังเป่าเล่อลืมตาขึ้นจ้องมองสระน้ำตรงหน้า ส่วนที่เขาดูดกลืนไปแล้วนั้นไม่ถึงหนึ่งในพันของปริมาตรของสระด้วยซ้ำ นัยน์ตาของชายหนุ่มฉายแววมุ่งมั่น เขาต้องเคี่ยวเข็ญตัวเองสักหน่อยแล้ว
ข้าจะอ้วนเสียหน่อยก็ช่างปะไร ข้าจะดูดกลืนมันต่อไปเช่นนี้ละ! หวังเป่าเล่อตะโกนอยู่ในใจก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก เมล็ดดูดกลืนภายในกายเริ่มทำงานเต็มกำลังอีกครั้ง ปราณวิญญาณจำนวนมากจนน่ากลัวพวยพุ่งเข้าไปในกาย เมื่อเข้าไปแล้วก็พลุ่งพล่านไปทั่วตัวราวกับเป็นคลื่นยักษ์ที่ซัดสาด
เมื่อทั้งวิญญาณจุติและกายของหวังเป่าเล่อมาถึงขีดจำกัด ชายหนุ่มก็หันไปพึ่งทักษะที่คุ้นเคย…เขาเปลี่ยนปราณวิญญาณเป็นไขมันเก็บสะสมไว้ในร่างกาย
เรื่องนี้อาจเป็นปัญหาสำหรับคนอื่น แต่มันง่ายดายมากสำหรับหวังเป่าเล่อ ผู้ที่มีเมล็ดดูดกลืนเป็นของตนเอง ชายหนุ่มสามารถดูดกลืนปราณวิญญาณไปเรื่อยๆ จนกายระเบิดเป็นเสี่ยงก็ย่อมได้
ร่างของหวังเป่าเล่อบวมเป่ง คลื่นพลังวิญญาณที่แพร่กระจายออกมาแข็งแกร่งขึ้นทุกขณะ ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนอื่นๆ มาเห็นคงต้องตกตะลึงเป็น เพราะรัศมีที่แผ่ออกมาจากกายของหวังเป่าเล่อในขณะนี้เพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณธรรมดาๆ ขวัญผวาได้เลย
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป กระทั่งการหายใจก็ยังยากเย็น หวังเป่าเล่อขณะนี้ดูละม้ายคล้ายวิญญาณจุติของเขา คืออ้วนกลมจนเหมือนเป็นก้อนเนื้อใหญ่ๆ ใบหน้าหล่อเหลาหดเล็กจนหาไม่เจอ แม้จะเป็นคนที่รู้จักคุ้นเคยกับเขา หากมาเห็นตอนนี้ก็คงมองไม่ออก จิตใจของเขายังคงมุ่งมั่น แต่ร่างกายช่างอ่อนแอเสียเหลือเกิน ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกจึงต้องยอมหยุด
ข้าต้องหยุดเสียแล้ว หากไม่หยุดตอนนี้ ข้าคงจะกระโดดขึ้นฟ้าไม่ได้เป็นแน่…หวังเป่าเล่อเปิดตาอย่างยากเย็น ก่อนจะก้มลงมองท้อง ชายหนุ่มกัดฟันและดูดกลืนปราณวิญญาณเข้าไปอีกหน่อย จากนั้นจึงบังคับตนเองให้หยุด แล้วหยิบหุ่นเชิดออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ
แม้ว่าข้าจะไม่ไหวแล้ว แต่ข้าก็ยังมีหุ่นเชิดอยู่! ความมุ่งมั่นฉายชัดอยู่ในแววตาทั้งสอง ชายหนุ่มส่งหุ่นเชิดทั้งหมดลงไปในสระและเปิดแก่นวิญญาณของพวกมันขึ้นด้วยผนึกฝ่ามืด หุ่นเชิดเหล่านั้นกลายไปเป็นภาชนะบรรจุของเหลวในสระ
ต่อมาชายหนุ่มก็หยิบขวดทั้งใหญ่และเล็กออกมาจำนวนหนึ่ง ก่อนจะเริ่มกรอกของเหลววิญญาณใส่เข้าไป พอกรอกเสร็จแล้ว ในสระก็ยังเหลือของเหลววิญญาณอยู่อีกมหาศาล เขาเริ่มชั่งใจก่อนจะหยุดนิ่งคิดอยู่นาน ไกลออกไปบนใบบัว จู่ๆ เปลือกตาของศพศพหนึ่งก็กระตุก เป็นศพเดียวกับที่กระพือขนตาอยู่เมื่อครู่ ศพนั้นลืมตาขึ้นมาช้าๆ เผยให้เห็นแสงสีขาวเจือจางภายใต้ดวงตา
จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็ตบท้องของตนอย่างแรง
ข้าลืมเกราะจักรพรรดิไปได้อย่างไรกัน! หวังเป่าเล่อเงยศีรษะขึ้นอย่างเร่งรีบก่อนจะสร้างผนึกฝ่ามือเรียกเส้นปราณโลหิตให้พวยพุ่งออกมาจากกายและเลื้อยไปมาอยู่รอบๆ ก่อนจะแปรสภาพเป็นเกราะสีแดงฉาน หวังเป่าเล่อเรียกใช้วิชาลักอัคคีทันที!
วิชาลักอัคคีเป็นวิชาที่มุ่งเน้นการดูดกลืน ในขณะที่วิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิทำหน้าที่เป็นเหมือนภาชนะภายนอก ทั้งคู่ทำงานเข้าขากันเป็นอย่างดีในวังลำดับสาม เมื่อพวกมันปลดปล่อยพลังออกมาเป็นหนึ่งเดียวกัน ของเหลววิญญาณจำนวนมากก็พวยพุ่งเข้าไปในเกราะจักรพรรดิ ก่อนจะเปลี่ยนสภาพของเกราะไปมหาศาล เส้นปราณโลหิตปรากฏขึ้นอีกก่อนจะเข้าพันผูกกันเป็นแผ่นเส้นปราณโลหิตหนาหนัก เกราะจักรพรรดิทั้งสูงขึ้นและใหญ่ขึ้นอย่างมาก ช่างเป็นภาพที่น่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง
ปราณวิญญาณทั้งหมดฟื้นฟูให้เกราะจักรพรรดิหายจากความเสียหายกลับสู่สภาพสมบูรณ์อีกครั้ง และเข้าสู่การพัฒนาระดับที่สอง โครงกระดูกปรากฏให้เห็น เส้นสายสีขาวแทรกอยู่ท่ามกลางเนื้อสีแดงสด และยิ่งปรากฏถี่ขึ้นทุกที เพิ่มมากกว่าครั้งที่หวังเป่าเล่อประมือกับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ก่อนจะค่อยๆ หนาแน่นขึ้นและกลายเป็นกระดูกขึ้นมาจริงๆ!
………………………….