หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 680 หลี่อู๋เฉินเป็นคนชั่วช้า!
ขณะที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางสระนั้น หวังเป่าเล่อดูราวกับเป็นเทพสงครามผู้อ้วนท้วนบริบูรณ์ น่ากลัวไม่ต่างจากอสูรที่กำลังแผ่รังสีความอำมหิตออกมา!
บนแขนข้างขวาของเกราะคือแขนกระดูกอาวุธเทพ ที่พลังเพิ่มพูนขึ้นเช่นกันจากการได้รับปราณวิญญาณเพิ่ม ขณะนี้อาวุธเทพนี้รวมกับเกราะของหวังเป่าเล่อเป็นเนื้อเดียว พลังที่แผ่ออกมาจากเกราะนั้นก้าวพ้นขั้นจุติวิญญาณไปเทียบเท่าขั้นเชื่อมวิญญาณแล้ว
หวังเป่าเล่อขณะนี้นั้นสามารถปลดปล่อยพลังสูงสุดของเขาออกมาได้ หากต้องเผชิญกับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอีกครั้ง ชายหนุ่มก็ไม่ต้องพึ่งเล่ห์กลเพื่อเอาชนะอีกฝ่ายอีกต่อไปแล้ว!
ในที่สุดระดับน้ำในสระก็เริ่มลดลงบ้าง เกราะจักรพรรดิลักอัคคีค่อยๆ ถึงขีดจำกัดอย่างช้าๆ หากต้องดูดกลืนปราณวิญญาณเข้าไปอีกอาจทำให้เกราะระเบิดก็เป็นได้ เมื่อเห็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็คิดว่าเขาคงสามารถดูดกลืนต่อไปได้อีกสักหน่อย แต่ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะดูดกลืนต่อนั้นเอง…
ศพที่นั่งอยู่บนใบบัวห่างออกไปที่เพิ่งเปิดตาขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง…จู่ๆ ก็ลืมตาโพลงขึ้นมา นัยน์ตาทั้งคู่อาบเคลือบไปด้วยความสับสนและแสงสีขาว ศพยกมือขวาขึ้นและขยับนิ้วอย่างแผ่วเบาราวกับเป็นนิสัยเคยชิน
พลังอันยากจะอธิบายระเบิดขึ้นต่อหน้าหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มผงะถอยหลังอย่างตกตะลึง ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบสนองการจู่โจมอันฉับพลันนั้น ร่างของเขาก็ถูกเหวี่ยงไปข้างหลัง ชายหนุ่มถูกโยนออกไปจากสระ พ้นประตูวังพุ่งตรงออกไปด้านนอก
“เกิดอะไรขึ้นกัน” เสียงตะโกนด้วยความตกใจของหวังเป่าเล่อยังคงสะท้อนก้องไปทั่วโถงก่อนค่อยๆ จางหายไปช้าๆ แสงสีขาวในดวงตาของศพก็ค่อยๆ จางหายไปในเวลาเดียวกัน เผยให้เห็นแววตาแห่งความเข้าใจรางๆ
ราวกับว่าศพนั้นเพิ่งจะตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ในตอนนั้น มันกวาดตามองสิ่งรอบกายอย่างงงงวย ก่อนจะทำหน้ามุ่ยเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณรอบๆ กาย
“รัศมีของหลี่อู๋เฉิน…ไม่สิ มีคนนอกอยู่คนหนึ่งด้วย…” ศพพึมพำ ก่อนจะหลุบศีรษะลงจ้องมองสระน้ำ ผ่านไปพักใหญ่จึงโคลงศีรษะไปมา
“ข้าสงสัยมาตลอดว่าเจ้าหลี่อู๋เฉินตัวแสบต้องกำลังวางแผนการร้ายอะไรอยู่เป็นแน่ แล้วข้าก็คิดถูกเสียด้วย เจ้าคนโลภโมโทสัน!” ศพพึมพำอีกครั้ง อาจเป็นเพราะเพิ่งตื่นขึ้นมาหรือเพราะอาการบาดเจ็บรุนแรง จึงทำให้มันไม่อาจขยับเขยื้อนได้ ศพไม่ได้ทำสิ่งใดต่อ นอกจากหลับตาลงและเริ่มหลับลึกต่อไป
ฝ่ายหวังเป่าเล่อรู้สึกราวกับว่าถูกขับออกมาจากวังด้วยแรงการโจมตีอันหนักหน่วงและรุนแรง ชายหนุ่มไม่อาจหยุดร่างกายได้เมื่อถูกเหวี่ยงออกมาไม่ว่าจะพยายามมากสักเพียงใด เขาถูกเหวี่ยงออกมาห่างวังร่วมห้าสิบกิโลเมตร ผมเผ้ายุ่งเหยิงดูน่าเวทนายิ่ง
หวังเป่าเล่อไม่ได้บาดเจ็บรุนแรง เพียงแต่ระบมไปทั่วทั้งร่าง ชายหนุ่มแยกเขี้ยวและบ่นพึมพำอย่างฉุนเฉียว
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ข้าขออนุญาตดูดน้ำออกมาจากสระแล้วไม่ใช่หรือ ไม่มีใครคัดค้านเสียหน่อย…อีกอย่างหนึ่ง ข้าไม่ได้จะเอาทั้งหมดด้วย เพียงจะขอแบ่งไปบ้างก็เท่านั้น หวังเป่าเล่อนึกย้อนไปถึงสถานการณ์ในวัง คาดเดาได้อย่างแม่นยำว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนที่เขาจะถูกผลักออกมานั้น ชายหนุ่มมองเห็นร่างหนึ่งบนใบบัวยกมือขึ้น ผู้อาวุโสแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลในดูราวกับ…ยังมีชีวิตอยู่กระนั้น
หวังเป่าเล่อทอดถอนใจก่อนจะซวนเซลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มก้มลงมองท้อง ก่อนจะหันคอด้วยความยากลำบากไปมองรอบกาย แล้วจึงรู้ว่าตัวเขาขณะนี้อยู่ที่ไหนสักแห่งระหว่างปลายกระบี่กับตัวกระบี่ หวังเป่าเล่อจ้องมองไปยังทิศของวังอย่างโหยหาแต่ตัดสินใจยอมแพ้หลังจากที่ใคร่ครวญอยู่ระยะหนึ่ง
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ช่างเถอะ หากวังไม่ต้องการข้าแล้วอย่างไรกัน จะต้องมีที่อื่นที่ต้อนรับข้าอย่างแน่นอน ข้าจะไม่ขอทนอยู่ที่นี่อีกต่อไป ข้าจะกลับไปสู่สหพันธรัฐ เพื่อรับตำแหน่งผู้นำ!” หวังเป่าเล่อพึมพำ ชายหนุ่มคิดถึงคุณงามความดีที่เขาทำให้กับสหพันธรัฐ รวมถึงการที่เขาจัดการศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ซึ่งนับเป็นการปัดเป่าเสี้ยนหนามของสหพันธรัฐด้วย ถือเป็นความสำเร็จอันใหญ่หลวง และชายหนุ่มก็ยังส่งเคล็ดวิชาการฝึกปราณจำนวนไม่น้อยกลับไปยังสหพันธรัฐอีกต่างหาก ต้วนมู่น้อยต้องยกตำแหน่งผู้นำของสหพันธรัฐคนต่อไปให้เขาเป็นแน่ หาไม่แล้วก็คงไม่สมเหตุผลอย่างยิ่ง
หวังเป่าเล่อยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น การจะได้เป็นผู้นำของสหพันธรัฐเป็นความฝันของเขามาตลอดชีวิต แม้จะดูห่างไกลมาโดยตลอด แต่บัดนี้ ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น หวังเป่าเล่อเชิดหน้าขึ้นทันที ความเจ็บปวดรวดร้าวอันตรธานหายไป ชายหนุ่มลืมความรู้สึกหงุดหงิดและเศร้าสร้อยเมื่อครู่ไปหมดสิ้น พลางเงยหน้าขึ้นมองหาแท่นคงกระพัน
แต่ขณะนี้หวังเป่าเล่ออ้วนเกินไป ไขมันวิญญาณในร่างก็หนาแน่นนัก ทำให้ตัวเขาในตอนนี้หนักมาก ไขมันวิญญาณที่หวังเป่าเล่อมีอยู่ในร่างมาตลอดไม่ได้หนึ่งในสิบของตอนนี้ด้วยซ้ำไป ณ ขณะนี้ น้ำหนักของเขาพุ่งสูงจนน่ากลัว ชายหนุ่มดูคล้ายภูเขาเนื้อหนังหากมองจากที่ไกลๆ
ไม่ว่าเป็นใครหากได้เห็นหวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็คงต้องตื่นกลัว เพราะคิดว่าพบอสูรร้ายน่าสะพรึงกลัวนั่นเอง
หวังเป่าเล่อกระโจนขึ้นฟ้ามาด้วยความปรีดา แต่ในทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มก็ร่วงหล่นลงมาบนพื้นชนิดแทบจะหัวคะมำลงกับดิน เขารู้สึกราวกับว่าแบกภูเขาใหญ่โตเอาไว้บนบ่า หวังเป่าเล่อใช้ความพยายามอย่างหนักก่อนที่จะจัดการกับตนเองได้ แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้ทั้งร่างของชายหนุ่มก็อาบโทรมไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ
ไม่ได้การ ข้ากลับไปที่สหพันธรัฐตอนนี้ไม่ได้ ข้าควรกลับไปยังเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลและพยายามลดน้ำหนักลงเสียก่อน…หวังเป่าเล่อหายใจเข้าออกยาวๆ น้ำหนักของชายหนุ่มในตอนนี้ทั้งน่ายินดีและน่าสะพรึงกลัว เขานึกย้อนไปถึงประวัติครอบครัวและบรรพบุรุษจ้ำม่ำ รวมถึงการที่พวกเขาต่างจากไปก่อนวัยอันควร…แม้ว่าชายหนุ่มจะเป็นผู้ฝึกตนแล้ว แต่ก็ยังกังวลอยู่นั่นเอง
หลังจากที่คิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ หวังเป่าเล่อก็ปลดปล่อยพลังปราณทั้งหมด ยกร่างของตนขึ้น ก่อนจะพุ่งตัวออกไปไกลลิบ ไม่นานนักชายหนุ่มก็มาถึงแท่นคงกระพัน เขาแปลงกายเป็นหมอกกลุ่มใหญ่และเริ่มเดินทางข้ามตัวกระบี่ไป!
หวังเป่าเล่อยังไม่ล่วงรู้ถึงการฟื้นคืนชีพของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าผู้ฝึกตนแห่งเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋ามีตัวตนอยู่ในเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้นด้วย ชายหนุ่มเข้าใจไปว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันตายแล้วและบัดนี้ความสงบสุขก็กลับมาเยือนแผ่นดินอีกครา
นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมหวังเป่าเล่อจึงใช้เวลาฝึกฝนเพื่อบรรลุขั้นพลังปราณในวังทั้งสามไปมากมาย เพราะชายหนุ่มไม่รู้เลย…ว่าขณะนี้สหพันธรัฐกำลังทำศึกกับบรรดาผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลที่อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลไม่รู้สิ้นอยู่!
สงครามเริ่มขึ้นแล้วเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ!
โชคยังดีที่เจ้าเยี่ยเหมิงไปเตือนสหพันธรัฐได้ทันเวลา ยิ่งไปกว่านั้น ต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวิน พร้อมกับผู้ฝึกตนระดับสูงคนอื่นๆ ในสหพันธรัฐต่างก็ระแวดระวังสำนักวังเต๋าไพศาลอยู่เป็นทุนเดิมและได้วางแผนรับมือไว้บ้างแล้ว ส่งผลให้แม้ว่าสงครามจะกระทบต่อสหพันธรัฐเป็นอย่างมาก แต่การรับมือของสหพันธรัฐก็ทำเอาทั้งศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันและสำนักวังเต๋าไพศาลถึงกับตกตะลึงไป!
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะสิ่งหนึ่งที่สหพันธรัฐเชี่ยวชาญคือการวางแผนและการซุ่มโจมตี ความชาญฉลาดในด้านการรบพุ่ง รวมทั้งการเอาความคิดของผู้คนทั้งหลายมารวมกันเป็นจุดแข็งของพวกเขานั่นเอง!
แผนพันธุ์กล้าหนึ่งร้อยต้นก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการด้วย หากมันสำเร็จ พวกเขาจะควบรวมเป็นหนึ่งเดียวและอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข แต่หากแผนการล้มเหลว…พวกเขาก็ยังมีอภิมหาวงแหวนปราณดาวพุธและระเบิดต้านทานวิญญาณที่พร้อมจะใช้งานได้ทุกขณะ
อันที่จริง สหพันธรัฐได้ทดสอบแผนการรบเอาไว้หลากหลายรูปแบบ พวกเขาได้ปรับปรุงแผนการรบเหล่านี้ตามข้อมูลที่หวังเป่าเล่อและผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ส่งมาให้ การเตรียมตัวเพื่อปกป้องการคงอยู่ของอารยธรรมมีมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และมีการสร้างแนวป้องกันทั้งสามขึ้นมา!
แนวป้องกันแรกคือดาวพุธ!
แนวป้องกันที่สองคือดาวศุกร์!
และแนวที่สามก็คือดาวอังคาร!
หากแนวป้องกันทั้งสามไม่สามารถต้านทานเอาไว้ได้ โลกก็คงต้องพบจุดจบ
ไม่ว่าแผนของสหพันธรัฐจะรัดกุมเพียงใด ความเสี่ยงในการเกิดความผิดพลาดก็ยังมีอยู่ มีระเบิดต้านทานวิญญาณหลายลูกฝังอยู่บนดาวพุธ ซึ่งเป็นแนวป้องกันแรกของสหพันธรัฐ ดาวพุธจะถูกระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ทันทีที่สหพันธรัฐสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล การที่วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายถูกทำลายจะกระทบต่อสำนักวังเต๋าไพศาลอย่างรุนแรง
แต่ต้วนมู่ฉีทำพลาดไปอย่างหนึ่ง ชายชราตั้งใจรอให้กองกำลังของสำนักวังเต๋าไพศาลมาถึงแล้วจึงค่อยจุดชนวนระเบิด เขาไม่เพียงต้องการทำลายวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเท่านั้น แต่ตั้งใจจะสร้างความเสียหายให้กองทัพที่บุกมาอีกด้วย
แต่กองกำลังของสำนักวังเต๋าไพศาลมาถึงรวดเร็วเกินกว่าที่ต้วนมู่ฉีจะต้อบสนองได้ทัน พลังที่แผ่ออกมาจากเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้นนั้นรุนแรงเสียจบกลบการทำลายตนเองของดาวพุธไปเสียสิ้น แผนของสหพันธรัฐล้มเหลว พวกเขาทำได้เพียงล่าถอยออกมาจากแนวป้องกันแรก และถอยร่นไปยังดาวศุกร์ ซึ่งเป็นแนวป้องกันแนวที่สองแทน
แต่ถึงอย่างไร สหพันธรัฐก็มีเวลาเตรียมการมานานหลายปี แม้ว่าระเบิดต้านทานวิญญาณที่ใช้ในการระเบิดดาวพุธจะอ่อนแรงลง แต่ก็ยังสร้างความเสียหายให้เรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้นและทำให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันกับสำนักวังเต๋าไพศาลตื่นตระหนกได้ ความเสียหายนั้นเข้าไปทับถมความเสียหายเดิมที่หวังเป่าเล่อสร้างไว้ สำนักวังเต๋าไพศาลต้องหยุดพักเพื่อซ่อมแซมเรือบินรบอยู่ระยะหนึ่ง
โอกาสแห่งความไม่แน่นอนสั้นๆ เผยขึ้นในช่วงสงครามนั่นเอง!
……………………………