หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 681 ไปตกปลากันไหม
หวังเป่าเล่อผู้ที่ยังไม่รู้เรื่องสงครามยังคงเดินทางข้ามตัวกระบี่ต่อไป ชายหนุ่มเหาะเหินอย่างรวดเร็วข้ามพื้นดิน ข้ามรอยฉีกขาดของอวกาศ พื้นที่ต้องสาป เปลือกแผ่นดินที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งปีศาจและอสูรที่เดินด้อมๆ มองๆ อยู่ไปสิ้น
ดูราวกับว่าไม่มีสิ่งใดจะหยุดการเคลื่อนไหวของหมอกซึ่งเคลื่อนที่ผ่านท้องฟ้าและผืนแผ่นดินไปอย่างรวดเร็วได้!
หมอกเคลื่อนที่มหัศจรรย์เสียจนหวังเป่าเล่อแอบเสียดายโอกาส เพราะไม่ได้เปิดเผยร่างอันงดงามของเขาให้โลกใบนี้ได้ชมเป็นขวัญตา
“นี่เป็นจะเป็นการลดน้ำหนักครั้งสุดท้ายของข้า!” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเองภายในหมอกเคลื่อนย้าย ชายหนุ่มตัดสินใจหนักแน่น สิ่งแรกที่เขาจะทำเมื่อกลับถึงสหพันธรัฐและหลังจากเข้ารับตำแหน่งผู้นำแห่งสหพันธรัฐคือการออกประกาศ หวังเป่าเล่อจะนิยามความอ้วนเป็นมาตรฐานของความงาม
ทุกๆ คนจะต้องขุนตัวเองให้อ้วนขึ้น เป็นวิธีเดียวที่จะรับประกันว่าโลกจะก้าวไปข้างหน้า เป็นทางเดียวที่จะข่มขู่บรรดาอารยธรรมต่างดาวที่จะเข้ามารุกราน! ยิ่งชายหนุ่มคิดเรื่องนี้มากเท่าใด ก็ยิ่งรู้สึกว่าสมเหตุสมผลขึ้นเท่านั้น ร่างกายที่ใหญ่โตนั้นดูน่าเกรงขามจริงๆ
ข้าหมายถึงว่า หากจับภูเขากองเนื้อกับถั่วงอกมาวางไว้ข้างเคียงกัน ผู้คนจะเกรงกลัวสิ่งใดมากกว่ากัน หวังเป่าเล่อเล่อครุ่นคิดอย่างจริงจังก่อนจะตกลงปลงใจว่าสิ่งแรกย่อมต้องน่ากลัวกว่า เป็นการยืนยันความคิดของเขาได้เป็นอย่างดี
เพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ เพื่ออนาคตของอารยธรรมของเรา…และเพื่อการศึกษาค้นคว้าสาเหตุการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของบรรพบุรุษข้า มันอาจมีความลับอันยิ่งใหญ่บางอย่างซ่อนเร้นอยู่ก็เป็นได้! หวังเป่าเล่อปล่อยให้จินตนาการของเขาเตลิดไปไกลขณะที่กายก็เดินทางใกล้ด้ามกระบี่เข้าไปทุกที
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ด้วยความเร็วปัจจุบัน หวังเป่าเล่อคาดว่าเขาจะพ้นเขตตัวกระบี่ในอีกร่วมๆ หนึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มเริ่มเพ้อฝันไปถึงอนาคตของตนเองอีกครั้ง ความคาดหวังเพิ่มพูนขึ้นในใจขณะที่เดินทางต่อไป แต่จู่ๆ ก็มีบางอย่างดึงความสนใจของเขาไป หมอกเคลื่อนที่ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ มันแหวกออกเผยให้ใบหน้าตื่นตกใจของหวังเป่าเล่อ
ข้าสัมผัสได้ถึงพลังเทพของขั้นเชื่อมวิญญาณ… ศีรษะของชายหนุ่มเอียงไปทางตะวันตกเฉียงเหนือขณะที่สายตาของเขาเพ่งมองไปไกล หวังเป่าเล่อมองไม่เห็นสิ่งผิดปกติ ทว่าตั้งแต่ที่ปราณของเขาบรรลุถึงขั้นจุติวิญญาณ จิตสัมผัสวิญญาณก็เฉียบคมขึ้นเป็นอันมาก จิตสัมผัสนั้นบอกเขาว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นที่นั่น
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ก่อนจะครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ แล้วจึงเปลี่ยนทิศทางของหมอกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือแทน
คำสาปที่กระจายอยู่ทั่วไปทำให้ดินแดนนั้นมีแต่ความมืดมิด รอยฉีกขาดของห้วงอวกาศปรากฏให้เห็นบนท้องฟ้าอยู่ประปราย บนท้องนภามีสตรีในวัยกลางคน ใบหน้าซีดขาวผมเผ้ายุ่งเหยิงกำลังวิ่งเต็มฝีเท้าเพื่อเอาชีวิตรอด
นางบาดเจ็บหนัก และการวิ่งหนีเต็มฝีเท้าก็ไม่ส่งผลดีกับบาดแผลบนร่างเท่าใดนัก โลหิตหลั่งไหลออกมาจากริมฝีปากของนางอย่างต่อเนื่อง ด้านหลังมีร่างจำนวนมากที่วิ่งไล่ตามมา ทุกร่างต่างแผ่รัศมีเย็นเยียบออกมา ร่างเหล่านั้นโผล่ออกมาจากทั่วทุกสารทิศ ล้อมรอบสตรีนางนั้นเอาไว้พร้อมกับปิดทางหนีของนางจนสิ้น
ร่างที่วิ่งตามมาเหล่านั้นไม่ใช่ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาล ศีรษะทั้งสามและแขนหกข้างบ่งบอกว่าพวกมันเป็นสมาชิกของตระกูลไม่รู้สิ้น!
สตรีนางนั้น…มีใบหน้าอันคุ้นเคยที่ไม่ว่าผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลคนใดก็ต้องรู้จัก นางคือ…หนึ่งในสี่ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล เฟิ่งชิวหรันนั่นเอง!
เจ้าเยี่ยเหมิงไม่ใช่คนเดียวที่หนีรอดออกมาได้จากครั้งที่หวังเป่าเล่อระเบิดเกราะจักรพรรดิในเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้นและทำลายคลื่นแทรกการเคลื่อนย้าย เฟิ่งชิวหรันเองก็หนีออกมาได้เช่นกัน!
หากเทียบกับเจ้าเยี่ยเหมิงแล้ว เฟิ่งชิวหรันเป็นเป้าหมายที่สำคัญกว่ามากสำหรับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน แม้ว่าเขาจะเลือกติดตามหวังเป่าเล่อไปเพราะความแค้น แต่ชายชราก็ไม่ลืมที่จะส่งสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นไปไล่ตามเฟิ่งชิวหรัน
หลังจากที่ฟื้นคืนชีวิต ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันนำเมี่ยเลี่ยจื่อและเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้นออกจากกระบี่สำริดเขียวโบราณและมุ่งหน้าไปยังสหพันธรัฐ แต่ถึงกระนั้น คำสั่งของเขาที่ให้ไล่ล่าและสังหารเฟิ่งชิวหรันก็ยังคงอยู่
เฟิ่งชิวหรันซ่อนตัวมาโดยตลอด รอดพ้นความตายมาได้อย่างหวุดหวิด หากนางไม่ได้อยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณและมีวิธีการเอาตัวรอดซ่อนเร้นอยู่บ้าง ก็คงถูกสังหารไปนานแล้ว
ถึงกระนั้น…เฟิ่งชิวหรันก็กำลังจะถึงขีดสุด ระดับพลังปราณของนางลดต่ำลงจากขั้นเชื่อมวิญญาณมาสู่ขั้นจุติวิญญาณ เมื่อถูกพบตัวอีกครั้ง นางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหลบหนี แต่เพราะอาการบาดเจ็บสาหัส ความเหนื่อยล้าเหลือประมาณ และความรู้สึกผิดอย่างรุนแรงที่เกาะกุมจิตใจ ได้ดึงรั้งให้เฟิ่งชิวหรันมีสภาพราวกับตายทั้งเป็น
เฟิ่งชิวหรันหมดสิ้นความหวัง มองไม่เห็นอนาคต ไร้ซึ่งทางที่จะมีชีวิตรอด โชคชะตาของนางถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่วินาทีที่หญิงวัยกลางคนก้าวขึ้นไปบนเรือบินรบลำนั้น
ชีวิตข้าจะต้องสิ้นสุดตรงนี้แล้วหรือ…รอยยิ้มขมขื่นฉายฉาบบนริมฝีปากของเฟิ่งชิวหรัน นางบ้วนเอาเลือดออกมากองใหญ่ ไม่อาจควบคุมอาการบาดเจ็บสาหัสในร่างกายได้อีกต่อไป ความบาดเจ็บกำลังประทุษร้ายร่างกายนางจากภายใน อวัยวะภายในของนางทั้งบอบช้ำและมีเลือดออก เส้นปราณก็ยุบไปหลายจุด ชีวิตกำลังหลั่งไหลออกจากร่างไม่หยุดหย่อน เฟิ่งชิวหรันสัมผัสได้เพียงความสิ้นหวัง
สายตาของนางพร่ามัวเมื่อผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นสามคนเข้าขนาบทั้งสองด้าน นัยน์ตาของพวกเขาทั้งสามเย็บเยียบขณะที่พุ่งตัวเข้ามาใส่เฟิ่งชิวหรันอย่างรวดเร็วราวกับเป็นลูกศรจากแล่ง ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นอีกคนหนึ่งประชิดตัวนางจากด้านหลังด้วยความเร็วสูง ด้านหน้าเฟิ่งชิวหรัก็มีผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นพุ่งเข้ามาหาเช่นกัน
มีทั้งสิ้นด้วยกันห้าคน บ้างก็มีรอยยิ้มแสยะอยู่บนริมฝีปาก บ้างก็ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ โดยสิ้นเชิง บ้างก็แสดงความตื่นเต้นออกมาทางสีหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ พวกเขาทุกคนมีแผลเก่าที่ยังไม่หาย แถมยังอยู่ในขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่ทั้งห้าคนจะรุมเฟิ่งชิวหรันซึ่งกำลังเจ็บหนัก หากไม่กลัวว่าเฟิ่งชิวหรันจะใช้การโจมตีรุนแรงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะสิ้นใจ พวกเขาก็คงสังหารนางไปเสียนานแล้ว
แต่ทั้งห้ายังไว้ชีวิตนางเพราะอีกเหตุผลหนึ่งด้วย ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันต้องการจับเป็นนางหากเป็นไปได้ การมีเฟิ่งชิวหรันอยู่ก็เปรียบเสมือนมีลูกสมุนขั้นเชื่อมวิญญาณเพิ่มขึ้นอีกคน อีกอย่างหนึ่ง เฟิ่งชิวหรันเป็นคนสำคัญที่มีสถานะสูงส่งให้สำนักวังเต๋าไพศาล นางย่อมช่วยศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยึดครองสำนักวังเต๋าไพศาลได้โดยสมบูรณ์
สิ่งนี้เป็นเหตุผลเดียวที่เฟิ่งชิวหรันยังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ ถึงกระนั้น…นางก็อับจนหนทาง เฟิ่งชิวหรันบัดนี้ราวกับเป็นสัตว์ป่าที่ติดกับ ไร้พลังและไร้ทางสู้โดยสิ้นเชิง ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งห้าเข้ามาพร้อมกันโดยหวังจะสังหารนางเสีย!
เสียงฟ้าผ่าดังกระหึ่มก้องฟ้า ขณะที่เกราะกำบังเจือจางก่อตัวขึ้นรอบกายเฟิ่งชิวหรัน ป้องกันนางจากคาถาของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งห้า แถมยังมีแรงสะท้อนที่ส่งพวกเขาทั้งหมดลอยละล่องไป พวกเขาไม่ได้บาดเจ็บมากมายจากแรงสะท้อนกลับ แต่เฟิ่งชิวหรันคายเลือดออกมาอีกหนึ่งกองใหญ่ ก่อนจะทรุดลงไปนอนกับพื้น ไม่อาจหนีได้อีกต่อไป
ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งห้ารีบรุดกลับมาหาเฟิ่งชิวหรันในพริบตา ก่อนที่สองคนจะเริ่มสร้างผนึกฝ่ามือและร่ายคำสาปออกมา
“มี่เจิน!”
จู่ๆ ก็มีพลังมหาศาลที่ราวกับจะกดทับวิญญาณของคนได้พวยพุ่งลงมาจากสรวงสวรรค์ ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นอีกสามคนหยิบกระจกบานเล็กๆ ออกมา แสงที่สะท้อนออกมาจากกระจกเหล่านั้นผสานตัวกันเป็นเส้นใยมายาขนาดใหญ่ราวตาข่ายที่พุ่งตรงเข้าหาเฟิ่งชิวหรันอย่างรวดเร็ว
ทุกสิ่งเกิดขึ้นในพริบตาเดียว ผู้ฝึกตนทั้งห้าโจมตีผสานกันได้อย่างไร้ที่ติ และในสภาพปัจจุบัน เฟิ่งชิวหรันไม่อาจรับมือพวกเขาได้แม้แต่น้อย เส้นใยเรืองแสงพุ่งเข้าคลุมและรัดตัวนางเอาไว้แน่น สายฟ้าแตกเปรียะขณะที่ไหลบ่าผ่านตาข่ายอย่างรวดเร็ว ทำให้เฟิ่งชิวหรันต้องบ้วนเลือดออกมาอีกกองก่อนจะหมดสติไป
“ไปกันเถิด!” ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งห้าไม่รอช้า พวกเขาแปรสภาพเป็นสายรุ้งห้าเส้นทันทีก่อนจะพวยพุ่งออกไปไกลลิบ ทั้งหมดตั้งใจจะไปจากที่นี่เพื่อรายงานความสำเร็จในการจับกุมตัวเฟิ่งชิวหรัน
แต่ขณะที่พวกเขากำลังจะจากไปนั่นเอง หมอกกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากขอบฟ้าไกลๆ มันดูเหมือนหมอกธรรมดาๆ ในตอนแรก แต่เมื่อสังเกตเห็นผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้น หมอกนั้นก็เริ่มแปรเปลี่ยนไป มันขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็วพลางส่งเสียงครั่นครืนไม่หยุด ก่อนจะก่อตัวเป็นใบหน้าขนาดใหญ่
ใบหน้าของหวังเป่าเล่อนั่นเอง!
ชายหนุ่มมองเห็นผู้ฝึกตนทั้งห้าและเฟิ่งชิวหรัน ผู้สลบไสลไม่ได้สติอยู่ภายในตาข่ายเรืองแสงนั้น
สายตาของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งห้าเบนไปหาหวังเป่าเล่อทันทีที่เขาเผยกาย ประกายสว่างจ้าปรากฏขึ้นบนดวงตา พวกเขาไม่ได้ถอยหนี แต่กลับหยุดนิ่ง มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้ฝึกตนคนหนึ่ง เป็นรอยยิ้มเปื้อนไปด้วยความบ้าคลั่งและเหยียดหยาม เขาใส่เฟิ่งชิวหรันลงไปในกระเป๋าคลังเก็บ ก่อนจะกระซิบบางอย่างกับสหายเป็นภาษาตระกูลไม่รู้สิ้น
“เจ้าแพ้พนันแล้ว ข้าบอกแล้วว่าเราไม่จำเป็นต้องรีบจับเฟิ่งชิวหรัน หากไล่ตามนางไปอีกสักพัก เราต้องล่อพวกคนโชคร้ายออกมาได้อีกแน่นอน เห็นหรือยังว่าเราตกได้ปลาตัวใหญ่เชียวละ”
นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องสว่างขณะที่ร่างของเขาลอยอยู่กลางอากาศ ชายหนุ่มเริ่มท่องบทสวดในศีรษะก่อนที่ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นคนอื่นๆ จะได้ตอบคำสหาย จากนั้น ขณะที่พลังมหาศาลกำลังเคลื่อนตัวลงมาจากท้องฟ้า ชายหนุ่มก็กล่าวออกมาอย่างเยือกเย็นเป็นภาษาโบราณของสำนักแห่งความมืด
“พวกเจ้าเคยตกได้ปลาฉลามหรือไม่เล่า”
ทันทีที่หวังเป่าเล่อพูดจบ พลังอันยิ่งใหญ่ของบทสวดก็พวยพุ่งลงมาจากท้องฟ้าและไหลบ่าท่วมไปทั้งบริเวณ!
กลุ่มควันที่รวมตัวกันเป็นใบหน้าของหวังเป่าเล่อส่งเสียงคำรามและเริ่มระเหิดไป ก่อนจะพุ่งตรงเข้าใส่ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งห้าด้วยความรุนแรงราวกับเป็นคลื่นคลั่ง!
……………………….