หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 682 อสูรยักษ์ที่น่าสะพรึงกลัว!
หวังเป่าเล่อท่องบทสวดอยู่ในใจ ขณะที่เอ่ยบางสิ่งซึ่งแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงเสียงดังพลางโจมตีไปยังศัตรู ชายหนุ่มทำสิ่งนี้มาก่อนหน้านี้แล้วหลายต่อหลายครั้งจนเคยชิน
พลังของบทสวดส่งตรงมาจากฟากฟ้า ความหวาดหวั่นพุ่งขึ้นภายในใจของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งห้า จิตใจของพวกเขาว่างเปล่า แม้ว่าจะเป็นนักรบที่ผ่านศึกมามากมาย พวกเขาก็ยังตื่นตะลึงกับพลังอันมหาศาลนั้น มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ล่าถอยไปได้ทันท่วงที อีกสามคนเชื่องช้าเกินไป ภายในชั่วพริบตา หวังเป่าเล่อก็มาปรากฏตรงหน้าของพวกเขาพร้อมกับเมฆหมอกพายุรุนแรง
เสียงกัปมนาทของอสนีบาตดังกึกก้อง หมอกระเบิด ส่งคลื่นกระแทกรุนแรงที่ผลักเลือดในกายของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งสามให้ทะลักออกมาจากปาก ผู้ฝึกตนคนที่พูดอยู่เมื่อครู่รับแรงระเบิดเข้าไปเต็มเปา ในเสี้ยววินาทีนั้น หัตถ์อวบอ้วนขนาดยักษ์ก็เอื้อมมาจับศีรษะของเขาเอาไว้
หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้น ก่อนจะกดฝ่ามือลงบนศีรษะของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้น และขยี้อีกฝ่ายลงไปกับดินด้วยพลังหนักหน่วงราวกับลูกตะกั่วที่ถูกทิ้งลงมาจากหอคอยสูงเสียดฟ้า ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงดังสนั่นคำรามขึ้นอีกครั้งก่อนจะมีแอ่งแผ่นดินขนาดมหึมาปรากฏขึ้นบนพื้นดิน เป็นบริเวณที่หวังเป่าเล่ออัดผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นลงไปนั่นเอง!
เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของผู้ฝึกตนคนนั้นถูกกลบด้วยเสียงดังสนั่นของการกระแทก ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่ลอยอยู่กลางอากาศอีกสี่คนมีสีหน้าตื่นตกใจ ขณะที่หวังเป่าเล่อเดินออกมาจากแอ่งแผ่นดินช้าๆ
ชายหนุ่มตัวใหญ่ราวภูเขาเลากา ท่าทางน่าสะพรึงกลัว เขาดูไม่เหมือนมนุษย์แม้แต่น้อย แต่จะดูคล้ายอสูรร้ายโบราณเสียมากกว่า พลังที่แผ่ซ่านออกมาจากกายท่วมท้นอยู่ในอากาศและไหลบ่าเข้าไปกระตุ้นความกลัวในใจของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทุกคน
สิ่งที่ทำให้ภาพนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ…เส้นปราณสีโลหิตจำนวนมหาศาลที่ล่องลอยอยู่รอบๆ ภูเขาแห่งเนื้อหนังราวกับรยางค์ ก่อนจะพันผูกเข้าด้วยกันก่อตัวเป็นชุดเกราะหน้าตาน่าสะพรึงขณะที่หวังเป่าเล่อย่างสามขุมออกมาจากแอ่งแผ่นดิน ทำให้เขาดูน่าเกรงขามขึ้นอีกระดับหนึ่ง ชายหนุ่มบัดนี้ดูเหมือนเทพสงครามที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ก็ไม่ปาน!
มือขวาของเขาลากศพมาด้วยศพหนึ่ง ศีรษะทั้งสามของศพแหลกเหลว เลือดไหลแดงทาแผ่นดินเป็นทางยาว ภาพนั้น…ส่งเอากระแสแห่งความกลัวอันเย็นเยียบไหลผ่านสันหลังของทุกคนที่ได้พบเห็น!
“เจ้ามาจากอารยธรรมใดกัน”
“ดินแดนนี้เป็นสมบัติของตระกูลไม่รู้สิ้น อาจจะมีการเข้าใจผิดกันอะไรบางอย่าง…” ผู้ฝึกตนทั้งสี่ละล่ำละลักเมื่อเห็นภาพตรงหน้า พลางหันรีหันขวางปรึกษากันอยู่ไปมา
“สัตว์อสูรตนนี้คือสิ่งใดกัน”
“ข้าเคยได้ยินเรื่องของตระกูลชื่ออารยธรรมยักษ์ สมาชิกทุกคนของอารยธรรมนั้นเกิดมาเป็นกองเนื้อที่เติบโตขึ้นตามระดับการฝึกปราณ พวกเขาจะเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสามารถกลืนกินดวงดาวได้ทั้งดวง!”
“เจ้าหนุ่มคนนี้อยู่ในขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น แต่กลับแสดงพลังได้ทัดเทียมผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ หรือเขาจะมาจากอารยธรรมยักษ์” ลมหายใจของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งสี่ถี่เร็วด้วยความกังวล พลังวิญญาณที่หวังเป่าเล่อแผ่ออกมา พร้อมทั้งร่างกายอันใหญ่โตมโหฬาร ทำให้ทั้งสี่เกรงกลัวจนสุดประมาณ
หวังเป่าเล่อไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่ผู้ฝึกตนทั้งสี่พูด ชายหนุ่มลากศพออกมา นัยน์ตาทั้งคู่ส่องประกายเย็นเยียบ ตอนนั้นเอง เขาก็พุ่งทะยานเข้าใส่ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นอย่างรวดเร็วราวกับเป็นก้อนเนื้อขนาดยักษ์ที่กลิ้งหลุนๆ เข้าใส่
ศัตรูของเขามีสีหน้าตื่นตะลึง ก่อนจะพากันล่าถอยไม่เป็นกระบวน เมื่อนั้นเอง พลังของบทสวดที่ท่องอยู่เมื่อครู่ก็กลับปรากฏขึ้นอีกครั้งจากฟากฟ้าพร้อมการระเบิดที่ไร้เสียง ผู้ฝึกตนทั้งสี่ตัวสั่นเทา ประสาทสัมผัสมึนชา จิตใจก็มึนงง หวังเป่าเล่อไล่ตามทัน แต่แทนที่จะส่งกำปั้นเข้าใส่ ชายหนุ่มกลับใช้ร่างกายที่ใหญ่โตประหนึ่งภูเขาเลากาพุ่งเข้าหาผู้ฝึกตนคนหนึ่งแทน
เสียงกัมปนาทดังสนั่นเลื่อนลั่นไปทั่ว พลังที่ออกมาจากทั้งเกราะจักรพรรดิและกายของหวังเป่าเล่อก่อให้เกิดแรงกระแทกมหาศาล พอๆ กับถูกอุกกาบาตขนาดย่อมๆ พุ่งชน เสียงกระดูกแตกและเสียงตะโกนอย่างเจ็บปวดดังออกมา ผู้ฝึกตนที่ถูกหวังเป่าเล่อพุ่งชนไม่อาจต้านทานการโจมตีนั้นได้ ร่างกายของเขาแหลกเหลวไปในพริบตา เลือดกระจายเป็นฝอยอยู่ในอากาศ วิญญาณจุติของเขาพยายามจะหนี แต่ก็ไม่อาจหลบเมล็ดดูดกลืนและเกราะจักรพรรดิของหวังเป่าเล่อได้
วิญญาณจุติพยายามดิ้นรนแต่ก็ไม่เป็นผล มันดิ้นหนีพลังดูดกลืนมหาศาลที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นไม่พ้น จนถูกหวังเป่าเล่อดูดเข้าไปในที่สุด เกราะจักรพรรดิกลืนวิญญาณจุติเข้าไปราวกับเป็นขนม หวังเป่าเล่อเรอก่อนเลียริมฝีปากและเงยหน้าขึ้นมองผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นอีกสามคน ทั้งสามตัวสั่นเทา ขนหัวลุกชันไปจนหมด พวกเขาหนีอย่างไม่คิดชีวิต แยกกันออกเป็นสามทาง
พยายามจะหนีอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มเหวี่ยงศพในมือขวาเข้าใส่ผู้ฝึกตนที่วิ่งหนีไปทางขวาอย่างแรง เกราะจักรพรรดิกระตุกก่อนจะแยกส่วนออกมา แปรสภาพกลับเป็นเส้นปราณสีโลหิตที่พุ่งออกไปหาผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นอีกคน เส้นปราณเหล่านั้นพุ่งถึงตัวเขาทันที ผู้ฝึกตนคนนั้นส่งเสียงร้องพลางพยายามดิ้นหนีแต่ก็ไม่เป็นผล เส้นปราณเหล่านั้นล้อมรอบกายเขาก่อนจะกลายเป็นเกราะจักรพรรดิที่เป็นเสมือนคุกขังอีกฝ่ายไปโดยปริยาย
เสียงตะโกนด้วยความกลัวของชายผู้นั้นเงียบหายไปแทบจะในทันที หวังเป่าเล่อพุ่งตัวออกไปปรากฏตัวอยู่กลางอากาศ ชายหนุ่มกำลังไล่ตามผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นอีกคนหนึ่ง
เมื่อไม่มีเกราะจักรพรรดิ พลังการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อก็ลดระดับลงจากขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่กายเนื้อที่แข็งแกร่งของชายหนุ่ม บวกกับพลังปราณขั้นจุติวิญญาณ รวมทั้งปราณวิญญาณมหาศาลภายในกายทำให้พลังในการสังหารของเขายังคงยอดเยี่ยม หวังเป่าเล่อปล่อยปราณวิญญาณในร่างออกมาเต็มที่ ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นเพิ่งจะตั้งตัวได้หลังการปลดปล่อยพลังอันยิ่งใหญ่ก่อนหน้า หวังเป่าเล่อก็ซัดเขาจนร่วงจมดินไปด้วยหมัดระเบิดกำเนิดดวงดารา สร้างความเสียหายหนักจนผู้ฝึกตนคนนั้นต้องกระอักเอาโลหิตออกมากองใหญ่
หวังเป่าเล่อโบกมือเพียงครั้งเดียวก็มีหุ่นเชิดจำนวนมากพุ่งออกมาจับกุมผู้ฝึกตนคนนั้นไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณจุติของเขาหลบหนี หวังเป่าเล่อเตะเส้นปราณของอีกฝ่าย แรงเตะส่งคลื่นพลังวิญญาณมหาศาลเข้าไปในกายผู้ฝึกตนคนนั้น ปิดผนึกวิญญาณจุติของเขาเอาไว้อย่างหมดจด
ทุกสิ่งเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่หนีไปทางขวา ถึงกับผงะเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อจัดการกับสหายทั้งสองของตนได้อย่างง่ายดาย เขาเอี้ยวตัวหลบศพที่หวังเป่าเล่อเหวี่ยงใส่และกำลังออกวิ่งหนีเต็มฝีเท้า
ตอนนั้นเอง ศพไร้ศีรษะก็ระเบิด เส้นใยสีดำจำนวนมหาศาลพวยพุ่งออกมาจากเลือดและเนื้อที่แยกออกจากกัน และรวมตัวกันเป็นเงาคน เงานั้นคือร่างอวตารของหวังเป่าเล่อนั่นเอง!
ร่างอวตารรีบรุดเข้าไปจับผู้ฝึกตนคนนั้นไม่ให้หนี แน่นอนว่านี่ไม่ใช่จุดประสงค์หลักของมัน เป้าหมายหลักของการใช้ร่างอวตารในครั้งนี้มีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือ…เพื่อสลับตำแหน่งกับหวังเป่าเล่อนั่นเอง!
หวังเป่าเล่อสลับตำแหน่งกับร่างอวตารในพริบตา การสลับร่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป จนหัวใจของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นคนสุดท้ายเต้นโครมครามด้วยความกลัว เขาไม่มีเวลากระทั่งจะเร่งความเร็วก่อนที่จะถูกหวังเป่าเล่อจับ พลังจากบทสวดเมื่อครู่พุ่งกระแทกลงกับพื้นพร้อมๆ กันกับพลังวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของหวังเป่าเล่อ ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นกรีดร้องด้วยความกลัว ก่อนที่ศีรษะสองในสามของเขาจะถูกบดขยี้จนแหลก พร้อมกับกายที่ถูกกระแทกลงจมแผ่นดิน เขาหมดสติไปทันที
ภายในชั่วพริบตา ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งห้าคน ถูกสังหารไปสองคน บาดเจ็บสาหัสสองคน อีกหนึ่งคนถูกจับกุมเอาไว้!
ผู้ที่ได้พบเห็นการต่อสู้ครั้งนี้คงต้องตกใจเหลือล้นพ้นประมาณเป็นแน่!
หวังเป่าเล่อเองก็ควรภูมิใจในตนเองเช่นกัน แต่ชายหนุ่มไม่มีเวลามาคิดเรื่องนั้นในตอนนี้ เฟิ่งชิวหรันถูกไล่ล่ามาอย่างไม่ลดละ และตระกูลไม่รู้สิ้นก็ยังคงก่อความวุ่นวายไปทั่ว สถานการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคาดคิดแม้สักนิด
บางทีศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอาจจะไม่ได้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้กระมัง หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มก้มลงจับตัวผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่สลบไสลไม่ได้สติเอาไว้ ก่อนจะก้าวออกไปปรากฏตัวอยู่ข้างๆ ผู้ฝึกตนอีกคนที่ถูกหุ่นเชิดของเขาจับตัวอยู่
เส้นปราณของผู้ฝึกตนคนนั้นเสียหายอย่างหนัก พลังปราณก็ถดถอยไปมากเช่นกัน แถมวิญญาณจุติก็ไม่อาจหลบหนีได้ ผู้ฝึกตนคนนั้นถูกหุ่นเชิดจำนวนมากจับเอาไว้อย่างแน่นหนา สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือจ้องมองหวังเป่าเล่อที่ย่างกรายเข้ามาด้วยสายตาเคียดแค้นก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าลบหลู่ตระกูลไม่รู้สิ้น เจ้า…”
“พูดมากชะมัด!” หวังเป่าเล่อพูดออกมาอย่างสบายใจ ก่อนจะยกมือขึ้นกดหน้าผากผู้ฝึกตนคนนั้นและใช้คาถาค้นวิญญาณ ที่ผ่านมาชายหนุ่มอาจใช้คาถาได้ไม่คล่องนัก แต่ตั้งแต่บรรลุขั้นจุติวิญญาณมาก็สามารถใช้ได้ดีขึ้นแล้ว
ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นตัวสั่นอย่างรุนแรงก่อนจะส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน สีหน้าของหวังเป่าเล่อเคร่งขรึมขึ้นทันที หลังจากผ่านไปสิบวินาทีกว่า ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้น ลมหายใจของเขาถี่เร็ว มีความไม่อยากเชื่อปรากฏอยู่ในแววตา เขาหันกลับไปมองผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่หมดสติก่อนจะใช้คาถาค้นวิญญาณอีกครั้ง
ชายหนุ่มยังไม่อาจเชื่อข้อมูลที่เขาได้รับจากการค้นวิญญาณครั้งที่สอง หวังเป่าเล่อบินข้ามบริเวณไปยังบริเวณที่เกราะจักรพรรดิของเขาตั้งอยู่ ก่อนจะจับตัวผู้ฝึกตนอีกคนออกมาจากเกราะ และใช้คาถาค้นวิญญาณอีกครั้งหนึ่ง!
คำตอบที่ได้รับจากการค้นวิญญาณสามครั้งตรงกัน!
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังไม่ตาย สำนักวังเต๋าไพศาลกับสหพันธรัฐ…กำลังมีสงครามครั้งใหญ่!
………………………….