หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 685 ดาวพุธจู่โจม!
ตู้กูหลินเป็นชายหนุ่มผู้ปราดเปรื่อง เขารู้ดีว่าขณะนี้ตระกูลไม่รู้สิ้นกำลังได้เปรียบในสงคราม ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเองก็ใช้ประโยชน์จากความโลภที่แทรกซึมอยู่ในธรรมชาติของบรรดาศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลทุกคน และขณะนี้ทุกคนก็เต็มใจเดินตามชายชราไปทำสงครามกันทั้งสิ้น
ทางเลือกที่ดีที่สุดของตู้กูหลินคือเข้าร่วมสงครามและต่อสู้เพื่อหาทรัพยากรมาใช้พัฒนาระดับปราณ
แต่ชายหนุ่มไม่อาจดึงตัวเองให้ผ่านอุปสรรคสุดท้ายไปได้ ไม่ใช่เพราะว่าเขาเห็นแก่สหพันธรัฐหรือสำนักของตน แต่เป็นเพราะอาจารย์ของเขา แม้อาจารย์จะเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย อารมณ์ฉุนเฉียวร้ายกาจ แต่กระนั้น…ตู้กูหลินก็ไม่อาจลืมพระคุณที่อาจารย์เคยดูแล ทั้งเวลาและพลังงานที่อาจารย์ได้ทุ่มเทสั่งสอนเขามา และทุกๆ เรื่องที่อาจารย์ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลมาโดยตลอด
มีทางเดียวที่จะช่วยเหลืออาจารย์ได้ นั่นคือศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันต้องตายเท่านั้น!
เป็นเหตุให้ตู้กูหลินตัวสั่นเทาเมื่อสัมผัสได้ถึงการมาถึงของเฟิ่งชิวหรันผ่านวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย ชายหนุ่มยังชั่งใจอยู่บ้าง เขาไม่รู้เลยว่าเฟิ่งชิวหรันตกอยู่ในสภาวะหุ่นเชิดเช่นเดียวกับอาจารย์ของเขาหรือไม่ ชายหนุ่มจึงยังไม่รีบร้อนลงมือ
แต่ตอนนั้นเอง ร่างกายอวบอ้วนอีกร่างก็ปรากฏขึ้นข้างกายเฟิ่งชิวหรัน สิ่งที่รายล้อมร่างนั้นอยู่คือเส้นปราณสีโลหิตคล้ายรยางค์ที่เขาคุ้นเคย เมื่อนั้นเองตู้กูหลินก็จำหวังเป่าเล่อได้ ชายหนุ่มกัดฟันแน่นและตัดสินใจ
เพื่อเป็นการไม่ประมาท ตู้กูหลินจึงส่งคนอื่นๆ ไปล้อมวงแหวนปราณเอาไว้ก่อน จากนั้นชายหนุ่มก็ดึงแผ่นหยกที่ใช้เปิดสัญญาณเตือนออกมา เขาพูดอย่างใจเย็น แต่นัยน์ตากลับฉายแววกล้าขณะที่จ้องมองร่างทั้งสอง ร่างหนึ่งใหญ่ ร่างหนึ่งเล็ก ทก้าวเดินออกมาจากหมอกอย่างช้าๆ
เฟิ่งชิวหรันมีสายตาดุดัน ส่วนหวังเป่าเล่อก็มีสีหน้าอ่านยากอีกเช่นเคย แต่ในใจชายหนุ่มเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์มากมาย ทั้งคู่มองสำรวจทั่วบริเวณทันทีที่ก้าวออกมา หลังจากแน่ใจแล้วว่าตู้กูหลินเป็นเพียงคนเดียวที่รอดชีวิต พวกเขาจึงหันไปหา
พลางจ้องมองแผ่นหยกในมืออีกฝ่ายตาไม่กะพริบ!
“สหายเต๋าตู้กูหลิน ไม่ได้พบกันเสียนาน” หวังเป่าเล่อสวมเกราะจักรพรรดิอยู่ เส้นปราณสีโลหิตปลิวไหวไปตามลมอยู่รอบเกราะ เมื่อเขาเอ่ยปากพูด หมวกเกราะก็ขยับเปิด เผยให้เห็นใบหน้าที่อยู่ภายใน
ตู้กูหลินหรี่ตามองหวังเป่าเล่อ จากนั้นก็มองเฟิ่งชิวหรัน หลังจากที่แน่ใจแล้วก็สายตาของเฟิ่งชิวหรันไม่ได้ว่างเปล่าแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยประกาย ชายหนุ่มก็ทอดถอนใจด้วยความโล่งอก แล้วพูดออกมาทันที
“สหพันธรัฐล่าถอยไปยังดาวศุกร์ ขณะนี้พวกเรามีทรัพยากรไม่พอซ่อมแซมเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้น จึงยังออกไปไหนไม่ได้ ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอยู่ภายในเรือบินรบลำนั้น จากการสังเกตของข้า เขาคงไม่อาจรับมือทั้งเรื่องเรือบินรบและเรื่องอื่นๆ ได้พร้อมกันหากเรือบินรบยังซ่อมแซมไม่เสร็จดี!
“อาจารย์ข้า เมี่ยเลี่ยจื่อ ถูกควบคุมจิตใจ แต่ข้าลอบมองเขามาเป็นเวลานานแล้ว เขามีอาการเหม่อลอยอยู่บ้างเป็นบางเวลา เป็นไปได้ว่าวิญญาณของเขาอาจยังไม่ถูกทำลายไปจนหมด!”
“ศิษย์จะขออาสาอยู่ที่นี่ต่อไป และคอยส่งมอบข้อมูลทางการทหารให้ท่านทั้งสอง ข้ามีคำขอเพียงข้อเดียวเท่านั้น…โปรดช่วยอาจารย์ข้าด้วย! โปรดรีบไปเถิด ตระกูลไม่รู้สิ้นจะสำรวจบริเวณนี้ด้วยจิตสัมผัสวิญญาณทุกๆ สามสิบนาที มีเวลาอีกไม่มากแล้ว…” ตู้กูหลินพูดอย่างเร่งรีบ จากนั้นจึงยกมือขึ้นประสานและโค้งคำนับหวังเป่าเล่อกับเฟิ่งชิวหรัน!
ก่อนที่หวังเป่าเล่อหรือเฟิ่งชิวหรันจะทันได้พูดโต้ตอบ ตู้กูหลินก็ยกมือซ้ายขึ้นทุบหน้าอกตัวเองอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง ร่างของเขาสั่นสะท้านก่อนจะพ่นเลือดออกมากองใหญ่
ช่างเป็นการโจมตีที่รุนแรงนัก ชายหนุ่มเกือบทำลายเส้นปราณของตนไปเสียแล้ว อาการบาดเจ็บนั้นรุนแรงเสียจนตู้กูหลินซวนเซถอยหลังและหมดสติไปทันที แผ่นหยกที่กำไว้แน่นในมือเป็นหลักฐานชั้นดี เขาถูกโจมตีบาดเจ็บสาหัสและหมดสติไปก่อนจะได้ส่งสัญญาณเตือน
“ผู้อาวุโสชิวหรัน รีบไปกันเถิด!” หวังเป่าเล่อจ้องมองร่างไร้สติของตู้กูหลินด้วยสายตาลึกซึ้งอยู่นาน ก่อนจะหันหน้าหนีและพุ่งตัวขึ้นฟ้าไป เฟิ่งชิวหรันรีรออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออกมา
“จะต้องมีศิษย์เช่นตู้กูหลินเหลืออยู่อีกจำนวนมากในสำนักวังเต๋าไพศาล หากพวกเราสามารถเปิดเผยความจริงและปลดคาถาที่สะกดพวกเขาอยู่ได้ อาจจะมีประโยชน์กว่าการหนีไปยังสหพันธรัฐ”
“หากมีผู้ฝึกตนที่อยากรู้ความจริงหลงเหลืออยู่ในสำนักจริง ท่านคิดว่าพวกเขาจะโง่เขลาเสียจนมองไม่เห็นความจริงเลยเชียวหรือ” หวังเป่าเล่อพูดเบาๆ มีประกายเย็นเยียบสะท้อนอยู่ในแววตา
เฟิ่งชิวหรันอ้าปาก เตรียมพร้อมที่จะตอบโต้ หวังเป่าเล่อโคลงศีรษะ
“ผู้อาวุโสชิวหรัน ข้าเคยอ่านอัตชีวประวัติอยู่เล่มหนึ่ง มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า ‘เมื่อใดก็ตามที่ประตูแห่งความโลภเปิดออก ก็จะไม่มีทางปิดลงได้อีก!’” หวังเป่าเล่อพุ่งทะยานออกไปบนท้องฟ้าขณะพูด ก่อนจะเร่งความเร็วขึ้นอีก
เฟิ่งชิวหรันเงียบงันไป นางมองไปรอบกาย ก่อนที่คลื่นอารมณ์จะถาโถมขึ้นมาในแววตา จากนั้น นางจึงถอนหายใจเบาๆ และรีบตามหวังเป่าเล่อไป พวกเขาแปรสภาพเป็นสายรุ้งสองเส้นพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าสีดำสนิท!
ทั้งสองเคลื่อนที่รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงกระนั้น ตอนนี้ดาวพุธก็เป็นฐานที่มั่นของตระกูลไม่รู้สิ้นไปแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะมีระดับพลังปราณสูงเพียงใดหรือเคลื่อนที่รวดเร็วเพียงไหน ก็ไม่อาจหลบเลี่ยงการถูกค้นพบได้อยู่ดี ทั้งคู่ยังไม่ทันจะไปถึงวงแหวนปราณดาวพุธด้วยซ้ำ เมื่อศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ผู้ที่ทำสมาธิอยู่ภายในเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้น สัมผัสการมาถึงของพวกเขาได้
ภายในชั้นสามของเรือบินรบ ที่ถูกแรงระเบิดของหวังเป่าเล่อทำลายไปก่อนหน้านี้ ได้รับการซ่อมแซมไปมากแล้ว ทั้งท่อเลือดเนื้อ รวมถึงสระน้ำมีสภาพเหมือนก่อนถูกระเบิดอย่างไม่มีที่ติ มีสิ่งเดียวที่ต่างออกไป…นั่นคือชุดคลุมออกศึกไม่ได้ตั้งอยู่ตรงกลางสระแล้ว แต่ที่ตรงนั้นถูกแทนที่โดย…ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน!
ขณะกำลังทำสมาธิ ดวงตาทั้งคู่ของชายชราปิดอยู่ ลมหายใจก็สม่ำเสมอดี แต่หลังจากสัมผัสได้ถึงสิ่งไม่ชอบมาพากล ลมหายใจของเขาก็ถี่เร็วขึ้น ก่อนจะเปิดตาขึ้นมา!
หวังเป่าเล่อ! เฟิ่งชิวหรัน! แสงปีศาจส่องประกายอยู่ในแววตาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ชายชราไม่รู้เลยว่าตนเองตายไปแล้วและถูกชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ มีความเกลียดชังอยู่ในน้ำเสียงของเขา เพราะยังแค้นเคืองที่หวังเป่าเล่อทำให้เรือบินรบเสียหายหนัก
“ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลทุกคน หวังเป่าเล่อสมคบคิดกับผู้อาวุโสเฟิ่งชิวหรัน นางถูกเขาควบคุมจิตใจเอาไว้ จงใช้พลังทั้งหมดของเจ้าและสังหารหวังเป่าเล่อ ช่วยเหลือผู้อาวุโสเฟิ่งชิวหรันมาให้จงได้!”
เสียงของเขาดังกังวานไปทั่ว ก่อให้เกิดเสียงอื้ออึงที่ดังก้องอยู่ในเรือบินรบ ความมุ่งหมายของเขาแผ่ปกคลุมทั่วทั้งเรือบินรบ และกระจายออกไปยังวงแหวนปราณดาวพุธ ก่อนจะห่อหุ้มไปทั่วทั้งดาว ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลทุกคนบนดาวพุธตัวสั่นเทาเมื่อได้ยินคำสั่งนั้น วงแหวนปราณทำงานเต็มที่ก่อนจะชี้บอกตำแหน่งของหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันทันที!
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันผู้ที่ไม่อาจออกจากเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้นได้หรี่ตาลง ก่อนจะคำรามคำสั่งอีกคำสั่งหนึ่งออกมา
“เมี่ยเลี่ยจื่อ จับเฟิ่งชิวหรันและสังหารหวังเป่าเล่อเสีย!”
คำสั่งนั้นปะทุขึ้นในใจของเมี่ยเลี่ยจื่อ ก่อนจะสะท้อนดังไม่หยุดหย่อน ขณะที่อีกฝ่ายกำลังนั่งทำสมาธิอยู่ในอาคารหลักของฐานที่มั่น
เมี่ยเลี่ยจื่ออยู่ในห้องลับสีดำสนิท เขายกศีรษะขึ้นช้าๆ หลังจากที่ได้รับคำสั่งจากศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ใบหน้าแสดงความงุนงง ชายวัยกลางคนลุกขึ้นยืนและก้าวออกไป ก่อนจะหายตัวออกจากห้องลับมาปรากฏตัวที่กลางอากาศ ด้วยความช่วยเหลือของอภิมหาวงแหวนปราณดาวพุธ เขาก็พบตำแหน่งของหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันในทันที พลังปราณภายในกายเมี่ยเลี่ยจื่อเริ่มหมุนวน ก่อนปล่อยคลื่นปราณวิญญาณระดับเชื่อมวิญญาณออกมา อากาศที่รายล้อมกายอยู่เริ่มบิดเบี้ยว เขาก้าวออกไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง สร้างรอยฉีกในอวกาศขึ้นก่อนจะพุ่งตัวมุ่งไปหาเป้าหมาย
หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันยังคงเดินทางรุดหน้าผ่านท้องฟ้าของดาวพุธและกำลังจะหลุดออกนอกชั้นบรรยากาศไปสู่อวกาศ แต่ทั้งคู่ก็ต้องตัวสั่นเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังที่พวยพุ่งออกมาห้อมล้อมกายเอาไว้ พลังที่มองไม่เห็นดูเหมือนจะทำให้พวกเขาเคลื่อนไหวช้าลงและพยายามไม่ได้ทั้งคู่หนีออกไปได้
“พวกนั้นพบเราแล้ว สิ่งนี้คือวงแหวนปราณประจำพื้นที่ของสำนักวังเต๋าไพศาล มันทรงพลังนัก ข้าคงต้องใช้เวลาราวสามสิบนาทีในการปิดมัน…” เฟิ่งชิวหรันมีสีหน้าตื่นตกใจ ทันทีที่นางพูดจบ หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นอย่างเงียบงัน ชายหนุ่มดูคล้ายเทพสงครามเมื่อสวมเกราะจักรพรรดิ
เขาพยายามติดต่อหลี่ซิงเหวินและคนอื่นๆ ผ่านแหวนสื่อสารหลายต่อหลายครั้ง แต่เห็นได้ชัดว่าแหวนสื่อสารไม่ทำงานเมื่ออยู่บนดาวพุธ ชายหนุ่มต้องหลุดออกจากชั้นบรรยากาศไปให้ได้ก่อน
หวังเป่าเล่อเลิกล้มความตั้งใจจะใช้แหวนสื่อสาร เขาคำรามก่อนจะยกมือขวาขึ้น ปล่อยพลังปราณให้ปะทุออกมาจากร่าง วิญญาณจุติของเขาสั่นคลอนก่อนจะปล่อยคลื่นพลังวิญญาณที่รุนแรงยิ่งกว่าที่เคยได้ใช้บนกระบี่สำริดเขียวโบราณออกมา
ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับวิญญาณจุตินับตั้งแต่ก้าวออกจากวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย รู้สึกราวกับว่าสวรรค์และผืนปฐพีมอบพลังให้เขา…ดวงดาวภายใต้ฝ่าเท้าของชายหนุ่มชื่นชมยินดีกับการมาถึงของเขาเป็นอย่างยิ่ง
หวังเป่าเล่อไม่มีเวลาศึกษาความรู้สึกนี้โดยละเอียด แต่เมื่อวงแหวนปราณของดาวพุธกำลังบีบตัวเข้าใส่ หวังเป่าเล่อก็ปล่อยวิญญาณจุติของตนออกมา บังเกิดความเชื่อมโยงระหว่างวิญญาณจุติและดาวพุธ ปราณวิญญาณในกายของหวังเป่าเล่อระเบิดและพุ่งทะยานขึ้นไปสู่ท้องฟ้า ความแข็งแกร่งนั้นได้รับการส่งเสริมจากเกราะจักรพรรดิก่อนจะหลั่งไหลเข้าสู่มือขวา ตรงบริเวณที่มีอาวุธเทพอยู่!
พลังอันยิ่งใหญ่ที่สั่นคลอนทั้งดวงดาวไหลบ่าออกมาเป็นคลื่นพลังวิญญาณในชั่วพริบตา มันปะทุและแปรสภาพกลายเป็นลมพายุหมุนขนาดยักษ์ที่ดูคล้ายจะเชื่อมท้องฟ้าและพื้นแผ่นดินเข้าด้วยกัน สรวงสวรรค์ส่งเสียงครั่นครืนเมื่อหวังเป่าเล่อคำราม
“สลายไปเสีย!”
แขนของอาวุธเทพเหวี่ยงลงราวกับจะฟาดฟัน!
ทั้งท้องฟ้าและพื้นดินบิดเบี้ยว สายลมคำราม เมฆม้วนถอย วงแหวนปราณประจำพื้นที่ของสำนักวังเต๋าไพศาลที่กดทับหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันอยู่เมื่อครู่…ถูกบังคับให้ต้องเผยร่างที่แท้จริงแล้วดูคล้ายตาข่ายใยแมงมุมออกมา มันไม่อาจทานทนพลังมหาศาลที่หวังเป่าเล่อปล่อยออกมาได้ จึงค่อยๆ จางไปทีละชั้นๆ ก่อนจะเสื่อมสลายและหายไปในพริบตา!
…………………………