หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 691 ดวงตาปีศาจสีดำ!
หวังเป่าเล่อรู้จักวิชาดวงตาปีศาจเป็นครั้งแรกในนิมิตมืด วิชานี้เป็นเคล็ดเวทแปลกประหลาดที่มีต้นกำเนิดมาจากอารยธรรมฝึกปราณที่สูญสิ้นไปแล้ว จารึกนั้นสิ้นสุดลงตรงเคล็ดเวทขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น สำนักแห่งความมืดไม่ได้ให้ความสนใจกับมันมากนัก แต่เพราะพลังทำลายล้างที่รุนแรง ทำให้วิชาดวงตาปีศาจติดหนึ่งในสามเคล็ดเวทขั้นจุติวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดที่สำนักแห่งความมืดเคยมีมา หากฝึกตนไปพร้อมๆ กับวิชาแห่งศาสตร์มืด ก็จะปลดปล่อยพลังที่ทำให้มันกลายเป็นเคล็ดเวทขั้นจุติวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดที่สำนักเคยพบเห็น แต่วิชาดวงตาปีศาจกลับถูกทอดทิ้งเพราะจารึกนั้นไม่สมบูรณ์
เคล็ดเวทนี้มุ่งเน้นเรื่องการเข่นฆ่า มีด้วยกันห้าระดับ แต่ละระดับจะเพิ่มพูนพลังปราณของผู้ฝึก รวมไปถึงความแข็งแกร่งและความเร็ว โดยที่สองอย่างหลังนี้จะเพิ่มขึ้นสองเท่าในทุกระดับ
พูดตามทฤษฎีแล้ว ผู้ฝึกตนที่สามารถไปถึงระดับสามได้จะแข็งแกร่งและเร็วกว่าตอนที่เริ่มฝึกเคล็ดเวทถึงแปดเท่า และเป็นสามสิบสองเท่าเมื่อไปถึงระดับที่ห้า!
ระดับแรกมีไว้สำหรับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณชั้นต้น ระดับสองสำหรับชั้นกลาง ระดับสามสำหรับชั้สูง และระดับสี่สำหรับขั้นจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์ มาถึงระดับนี้พลังปราณของผู้ฝึกจะเรียกได้ว่าสูงจนแทบจะเหลือเชื่อ จากนั้น ยังมีระดับสุดท้ายของเคล็ดเวทนี้ หรือระดับที่ห้าอีก!
มีวิธีการปกติสำหรับการเลื่อนระดับ ซึ่งคือการฝึกฝนทั่วไป และทางลัด ทางลัดนั้นเกี่ยวข้องกับการสังหาร ยิ่งเข่นฆ่ามากเท่าใด ก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น แล้วก็จะยิ่งบ้าคลั่งขึ้นด้วยเช่นกัน!
ในความเป็นจริงแล้ว การเข่นฆ่านี่ละ คือการฝึกฝนเคล็ดเวทนี้อย่างแท้จริง!
ในจารึกบอกไว้ว่า ในช่วงแรกๆ ของการฝึกฝนเคล็ดเวทนี้ ผู้ฝึกตนสามารถเรียกดวงตาสีขาวออกมาไว้ข้างกายได้ นี่อาจเป็นจริงสำหรับผู้ฝึกตนทั่วๆ ไป แต่หากฝึกฝนวิชาแห่งศาสตร์มืดก่อนที่จะฝึกเคล็ดเวทนี้ ดวงตาที่เรียกออกมาจะเป็นดวงตาปีศาจสีดำสนิท!
เหมือนดวงตาเย็นเยียบแปลกประหลาดที่มาปรากฏอยู่ข้างกายหวังเป่าเล่อในขณะนี้!
แม้จะมีแค่ดวงเดียวในตอนนี้ แต่เมื่อหวังเป่าเล่อฆ่าคน เขาจะสามารถดึงวิญญาณเทพออกมาจากศพ และวิญญาณนั้นจะแปรสภาพกลายมาเป็นดวงตาปีศาจดวงต่อไป ดวงตาปีศาจแต่ละดวงสามารถสกัดกั้นคาถาได้ และการทำลายดวงตาก็จะปลดปล่อยพลังออกมาจำนวนมหาศาล เทียบเท่ากับการระเบิดร่างของเจ้าของดวงวิญญาณเทพที่ใช้สร้างดวงตานี้ขึ้นมาเลยทีเดียว
ดูจะเข้ากับวิชาแห่งศาสตร์มืดได้ดียิ่ง…ที่จริงแล้ว ดูเหมือนจะทำงานเข้าคู่ได้ดีกับวิชาลักอัคคีด้วย! หวังเป่าเล่อนั่งทำสมาธิอย่างแน่วแน่ แถมยังหลับตาแน่นขณะที่เริ่มฝึกฝนวิชาดวงตาปีศาจ ความคิดมากมายไหลวนอยู่ในศีรษะ ชายหนุ่มหวนคิดไปถึงวิชาลักอัคคีของตน
วิชาลักอัคคีเป็นอีกหนึ่งเคล็ดเวทที่เน้นสังหารผู้อื่น หัวใจของการฝึกคือการดูดเลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตอื่นเข้ามา ด้วยวิธีนี้ร่างกายของผู้ฝึกก็จะแข็งแกร่งขึ้น และพลังปราณก็จะเพิ่มขึ้นด้วย หวังเป่าเล่อได้ปรับแต่งให้เกราะจักรพรรดิในฐานะภาชนะหลัก เป็นตัวรับสสารทุกอย่างที่วิชาลักอัคคีซึมซับมา ก่อให้เกิดการประสานรวมพลังระหว่างวิชาลักอัคคีและเกราะจักรพรรดิซึ่งเป็นเหมือนวัตถุเวทนอกกาย จึงทำให้มีขีดจำกัดอยู่
“แม้ว่าวิชาลักอัคคีจะมีขีดจำกัด แต่วิชาดวงตาปีศาจไม่มี” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตัวเอง เขาดูเหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ในที่สุด ความนิ่งสงบเริ่มปกคลุมจิตใจเมื่อชายหนุ่มถอดเกราะจักรพรรดิออกจากกาย
ร่างกายที่เป็นประหนึ่งภูเขาเนื้อหนังอันใหญ่โตของหวังเป่าเล่อออกมาสัมผัสหมอกทันที ชายหนุ่มดูเหมือนอสูรยักษ์โบราณ ที่ปลดปล่อยคลื่นพลังน่าสะพรึงกลัวออกมาไม่หยุดยั้ง
คลื่นพลังปราณขั้นจุติวิญญาณชั้นกลางแผ่ออกมาจากกายเขาไม่หยุดหย่อน ชายหนุ่มใกล้จะไปถึงจุดสูงสุดของขั้นจุติวิญญาณชั้นกลางเต็มที ปราณวิญญาณจำนวนมหาศาลสั่งสมอยู่ในกายเขาในรูปของไขมันวิญญาณ ซึ่งจะช่วยเป็นรากฐานให้หวังเป่าเล่อในการฝึกวิชาดวงตาปีศาจ
ยิ่งพลังปราณของเขารุดหน้าขึ้นเท่าใด ดวงตาสีดำที่ลอยอยู่เบื้องหลังก็ยิ่งเด่นชัดขึ้นเท่านั้น มันปล่อยคลื่นพลังเย็นเยียบที่เย็นขึ้นเรื่อยๆ ออกมา พร้อมๆ กันนั้น ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็เริ่มหดเล็กลง!
ไขมันวิญญาณจำนวนมากแปรสภาพไปเป็นปราณวิญญาณ และหลั่งไหลเข้าไปในดวงตาปีศาจ สิ่งนี้ไม่ใช่การดูดซับธรรมดาๆ ที่ผ่านมาหวังเป่าเล่อมีเพียงพลังปราณแต่ไม่มีเคล็ดวิชาฝึกปราณ มาบัดนี้…ชายหนุ่มตัดสินใจเลือกเคล็ดวิชาที่จะกำหนดแนวทางการฝึกปราณของเขาแล้ว วิชาดวงตาปีศาจถูกปลุกขึ้นมา ร่างกายของเขาเหมือนจะถูกแยกส่วนออกเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนจะประกอบกันขึ้นมาใหม่ ขณะที่หวังเป่าเล่อผลักดันตัวเองเข้าไปในเส้นทางของวิชาดวงตาปีศาจ!
ขนาดตัวของหวังเป่าเล่อหดลงกว่าครึ่งในชั่วพริบตา ชายหนุ่มบรรลุวิชาดวงตาปีศาจระดับหนึ่งแล้ว และพลังปราณของเขาก็บรรลุขั้นจุติวิญญาณชั้นต้นอย่างแท้จริงเสียที!
ยังไม่จบแค่นั้น วิชาดวงตาปีศาจยังคงทำงานบนร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มันยังคงหดเล็กลงเรื่อยๆ ไม่นานนัก หวังเป่าเล่อก็กลับมามีขนาดตัวเท่าคนปกติอีกครั้ง และได้บรรลุวิชาดวงตาปีศาจระดับที่สอง!
มีเสียงระเบิดดังกึกก้องอยู่ในใจชายหนุ่มราวกับสายฟ้าฟาด ดวงตาปีศาลเบื้องหลังเขาขณะนี้ยิ่งชัดเจนขึ้นทุกขณะจนดูเหมือนของจริง รูปลักษณ์ของมันช่างน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
ความก้าวหน้าของชายหนุ่มกับวิชาดวงตาปีศาจยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น หวังเป่าเล่อยังคงใช้ปราณวิญญาณจำนวนมากที่เก็บกักมาจากวังลำดับสุดท้าย แม้ว่าไขมันวิญญาณในกายจะหมดไปแล้ว แต่ก็ยังมีปราณวิญญาณคงเหลืออยู่มากมายในเส้นปราณที่คอยเป็นพลังให้เขาไต่ขึ้นไปถึงวิชาดวงตาปีศาจระดับที่สามได้
เพียงนับหนึ่งถึงสิบ พลังปราณภายในกายของหวังเป่าเล่อก็หยุดหมุนวน เพราะได้ผสานรวมเข้ากับวิชาดวงตาปีศาจโดยสมบูรณ์ ส่งให้ดวงตาปีศาจบรรลุจากระดับสองขึ้นไปเป็นระดับสาม!
ไปจนถึงขั้นจุติวิญญาณชั้นปลาย!
ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นไหวรุนแรง ก่อนที่จะมีรัศมีแก่กล้าที่แข็งแกร่งและเข้มข้นยิ่งกว่าอะไรที่ชายหนุ่มเคยมีมาระเบิดออกมาจากร่าง มันเป็นพลังกล้าแกร่งที่ดูราวกับจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปจนสิ้น!
ใบหน้าผีสางวิญญาณที่ยังคงปรากฏขึ้นในหมอกสีแดงซึ่งล้อมรอบกายเขาอยู่เริ่มตอบสนองต่อพลังที่ระเบิดออกมานั้น สีหน้าของพวกมันเปลี่ยนไป มีความเคารพ หวาดกลัว และความยำเกรงเข้ามาแทนที่ เหล่าวิญญาณเริ่มถอยหนี
พวกมันรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกจากกายของหวังเป่าเล่อและดวงตาน่าสะพรึงกลัวที่อยู่ด้านหลัง ความกลัวทิ่มแทงเหล่าวิญญาณราวกับเป็นลิ่ม ดวงไฟวิญญาณที่มีพลังขึ้นมาเพราะวิชาแห่งศาสตร์มืดซึ่งหลั่งไหลออกมาขณะที่หวังเป่าเล่อฝึกปราณอยู่ก็เกรงกลัวไม่ต่างกัน พวกมันไม่กล้าเข้ามาใกล้
หากเลือกได้ เหล่าดวงวิญญาณคงอยากหนีให้ห่างจากหวังเป่าเล่อ แต่ถึงกระนั้น หมอกสีแดงก็เป็นคุกของพวกมันเช่นกัน พวกมันติดอยู่ในนี้ในขณะที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ไม่อาจจะหนีรอดไปได้ วิธีเดียวที่จะออกไปได้คงต้องผ่านหวังเป่าเล่อ โดยการกลืนกินเขาหรือไม่ก็ถูกเขากลืนกินเข้าไป
ดวงวิญญาณเริ่มสับสนยิ่งขึ้น เจตจำนงของวิชาหล่อวิญญาณพินาศยังคงหลอกหล่อ กดดัน และเชื้อเชิญพวกมันให้เข้ามา วิญญาณที่มารวมตัวกันอยู่ในหมอกสีแดงเริ่มดิ้นรนและโกรธเกรี้ยว ความหงุดหงิดและแรงโทสะเริ่มเติบโต หมอกสีแดงทั้งก้อนค่อยๆ คำรามและเดือดดาลไปด้วยอารมณ์รุนแรง
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไม่ได้คาดการณ์ถึงสถานการณ์นี้มาก่อน ชื่อหลินและผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนอื่นๆ รวมไปถึงผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลที่กำลังทำสมาธิกับอยู่บนเรือบินรบ ที่วิญญาณกำลังถูกวงแหวนปราณดูดเข้าไปอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่ได้รับรู้ถึงการก่อตัวขึ้นของอสูรร้ายที่พวกเขากำลังสร้างแม้แต่น้อย
แต่ความผันผวนของหมอกที่จับหวังเป่าเล่อไว้ชัดเจนกว่าก้อนที่ขังเฟิ่งชิวหรันไว้มากนัก ดังนั้นมันจึงไม่อาจรอดพ้นสายตาของชื่อหลินและพรรคพวกไปได้ หมอกสีแดงที่จับเฟิ่งชิวหรันไว้สงบนิ่งมาก เมื่อเทียบกับก้อนของหวังเป่าเล่อ ไม่มีใครบอกได้ว่าเกิดสิ่งใดอยู่ด้านใน แม้กระนั้น พวกเขาก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณแปลกประหลาดที่หลุดรอดออกมาจากหมอกสีแดงนั้น
ความแตกต่างกันของหมอกทั้งสองก้อนเบนความสนใจของพวกเขาไป แต่เพราะไม่อาจเข้าไปตรวจสอบด้านในได้ ชื่อหลินและพรรคพวกจึงทำได้เพียงขมวดคิ้วและจ้องมองเท่านั้น หมอกสีแดงไม่เพียงเป็นคุกที่ขังนักโทษเอาไว้ แต่ยังเป็นโล่ที่กันเหล่าผู้คุมเอาไว้ด้านนอกและปกปิดทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นภายในด้วย
“บางทีอาจเป็นเพราะความพิเศษของหวังเป่าเล่อก็เป็นได้…” ชื่อหลินและพรรคพวกมองตากันไปมา พวกเขาต่างก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจหลังจากได้รับข้อความเสียงหลายข้อความ จนในที่สุด พวกเขาก็ตัดสินใจไปขอคำปรึกษาศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน
แต่ก่อนที่จะได้ทำเช่นนั้น ภายในหมอกสีแดง หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งนั่งทำสมาธิมาโดยตลอดและเพิ่งจะฟื้นตัวเต็มที่ ก็ลืมตาขึ้น!
ใบหน้าที่รายล้อมชายหนุ่มอยู่ภายในหมอกสีแดงสั่นคลอนอย่างรุนแรง ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังจะกรีดร้อง แต่ต้องอดกลั้นเอาไว้เพราะความกลัว ใบหน้าเหล่านั้นสั่นสะท้าน สีหน้าก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความกลัว ราวกับว่าเพียงคำเดียวจากปากหวังเป่าเล่อจะสามารถตัดสินความเป็นความตายของพวกมันได้กระนั้น
นัยน์ตาเยือกเย็นของหวังเป่าเล่อมองกวาดไปยังดวงวิญญาณที่รายล้อมอยู่ ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นช้าๆ ประกายเย็นยะเยือกสะท้อนอยู่ในแววตา จากนั้นเขาก็ลดมือลงและชี้นิ้วไปข้างหน้า ไม่ได้เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด ถึงกระนั้นเจตจำนงของเขาก็เข้าไปอยู่ในดวงวิญญาณทุกดวงภายในหมอกสีแดงผ่านการยกมือเพียงครั้งเดียว พวกมันตัวสั่นก่อนจะกลับหลังหันทันที ราวกับเป็นทหารที่เพิ่งได้รับคำสั่ง ก่อนจะเริ่มพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรุนแรง!
หมอกสีแดงสั่นคลอนและกระตุกหนัก มันขยายตัวออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง ราวกับว่าพร้อมจะระเบิดได้ทุกขณะ ใบหน้านับไม่ถ้วนส่งเสียงร้องโหยหวนและดิ้นรนไปมาอยู่ภายใน สีหน้าของพวกมันบิดเบี้ยวด้วยความบ้าคลั่ง
ชื่อหลินและพรรคพวกต่างมีสีหน้าตื่นตกใจเมื่อได้เห็น พวกเขาสัมผัสได้ถึงอันตราย แต่ก่อนที่จะได้มองดูให้เห็นชัดเจน ก็มีพลังอันเหลือเชื่อปะทุออกมา ราวกับเป็นคลื่นยักษ์ที่ถาโถมพร้อมกลืนกินทุกสิ่งเข้าไป หรือไม่ก็ภูเขาไฟที่ปะทุรุนแรงจนแทบแยกแผ่นดิน หมอกสีแดงไม่อาจต้านทานวิญญาณคลั่งได้อีก ผิวชั้นนอกของมันเริ่มปริแตก ก่อนจะปล่อยให้วิญญาณที่อยู่ภายในทะลักทลายออกมา!
ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสี่รับการโจมตีเข้าไปอย่างจัง พวกเขาไม่อาจจะหนีได้ จึงต้องยอมรับแรงกระแทกเข้าไปเต็มๆ จนตัวสั่นล่าถอยไม่เป็นขบวน เรือบินรบที่รายล้อมอยู่ก็กระดอนไปราวกับเป็นของเล่นเด็ก ก่อนจะปลิวหายไปไกลโพ้นในอวกาศ ความวุ่นวายเข้าปกคลุมชั่วขณะ ชื่อหลินและผู้ฝึกตนคนอื่นๆ มีสีหน้าตื่นตกใจสุดขีด บรรดาวิญญาณที่หลุดจากหมอกสีแดงพวยพุ่งออกมาก่อนจะหันหลังกลับไปมองหมอกสีแดงทันที พวกมันจ้องเขม็งเข้าไปภายในหมอก ก่อนจะหลุบศีรษะลงต่ำและนั่งคุกเข่า!
เป็นภาพที่น่าตื่นตะลึงนัก ชายร่างผอมสูงก้าวออกมาจากหมอก ผมยาวสยายลงคลุมบ่าเมื่อเขาย่างสามขุมออกมาอย่างแช่มช้า!
ชายผู้นั้นคือหวังเป่าเล่อนั่นเอง
“ต้องขอบใจพวกเจ้า ข้าจึงตัดสินใจเลือกเส้นทางการฝึกตนที่ควรดำเนินไปได้เสียที!” น้ำเสียงเยียบเย็นราวกับน้ำแข็งดังขึ้นในใจของทุกคน มันทรงพลังราวกับสามารถแช่แข็งตรึงทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ได้ ด้านหลังหวังเป่าเล่อ มีเส้นร่างของดวงตาสีดำสนิทกำลังก่อตัวอยู่
ช่างเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!
……………………………