หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 699 เราจะเอาคืน!
วงแหวนปราณระบบสุริยะทำงานขึ้นเมื่อเรือบินรบลำที่หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันพักฟื้นอยู่เคลื่อนเข้าไปในชั้นบรรยากาศด้านนอกของดาวศุกร์ พวกเขาผ่านการตรวจสอบหลายขั้นตอนเพื่อพิสูจน์ว่าไม่ได้ถูกตระกูลไม่รู้สิ้นเข้าครอบงำ หลี่ซิงเหวินทำการตรวจสอบเป็นพิเศษด้วยตนเองเช่นกันเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีใครในหมู่พวกเขาโดนแทรกแซง เรือบินรบผ่านเข้าไปลงจอดในท่าอากาศยานดาวศุกร์ได้สำเร็จ
ทั่วทั้งท่าอากาศยานอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก
ภายในท่าอากาศยานถูกปิดตาย รอบนอกหุ้มด้วยเกราะป้องกัน ผู้ฝึกตนจำนวนมากยืนคุ้มกันอยู่อย่างระแวดระวัง พวกเขาได้รับคำสั่งจากต้วนมู่ฉีโดยตรง ดวงตามากมายนับไม่ถ้วนจับจ้องไปยังเรือบินรบที่กำลังลงจอดช้าๆ
ประตูเรือบินรบเปิดออก ดวงตาทุกคู่หันไปมองทางประตู เสียงทุ้มต่ำดังก้องขึ้น
“ทำความเคารพ!”
ผู้ฝึกตนและเหล่าพนักงานภาคพื้นดินทั้งหมด รวมถึงเหล่าผู้นำกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ล้วนยกมือขึ้นแสดงความเคารพตามแบบฉบับของกองทัพสหพันธรัฐ ต้วนมู่ฉีเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
พวกเขาทำความเคารพหวังเป่าเล่อ!
ทั้งหมดได้ฟังรายงานจากเจ้าเยี่ยเหมิงและประมุขสำนักสวี อีกทั้งหวังเป่าเล่อยังพาตัวเฟิ่งชิวหรันกลับสหพันธรัฐด้วยตนเอง บุญคุณที่เขามีต่อสหพันธรัฐนั้นเกินกว่าใครจะเทียบเท่าได้!
รายงานต่างๆ เผยว่าหวังเป่าเล่อเสี่ยงชีวิตตนเองเพื่อช่วยให้พวกเจ้าเยี่ยเหมิงกลับมาอย่างปลอดภัย และทำให้สหพันธรัฐทราบถึงปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้น การกลับมาของหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันช่วยเสริมความมั่นใจให้กับสหพันธรัฐที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่
ตอนที่แผนพันธุ์กล้าสหพันธรัฐดำเนินการครั้งแรก ต้วนมู่ฉีเองก็ป่าวประกาศชื่อหวังเป่าเล่อไปด้วยเช่นกัน ทำให้ทั่วทั้งสหพันธรัฐรับรู้ถึงชื่อเสียงและความดีความชอบที่ชายหนุ่มสร้างให้สหพันธรัฐ แม้แต่ต้วนมู่ฉีเองก็ยังไม่รู้ว่าตนควรมอบตำแหน่งอะไรตอบแทนหวังเป่าเล่อดี…
การทำความเคารพนี้จึงเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มควรได้รับเป็นอย่างยิ่ง!
แต่…ขณะที่ทุกคนกำลังยืนทำความเคารพ เตรียมต้อนรับการมาเยือนของฝูงชนบนเรือบินรบ เสียงร้องของลาที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นก็ดังก้องไปทั่วทั้งท่าอากาศยาน ทุกคนตาเบิกกว้างเมื่อเห็นเรือบินรบเปิดออก พวกเขาต่างมีสีหน้าแปลกประหลาดใจ ต้วนมู่ฉีเองก็สะดุ้งตกใจ
คนกลุ่มแรกที่เดินออกมาจากเรือบินรบคือหลี่ซิงเหวินและต้นไม้ยักษ์ พวกเขาเดินออกมาตามปกติ ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ แต่ทั้งสองดูจะอับอายอยู่เล็กน้อย หวังเป่าเล่อตามหลังมาไม่ห่าง เขาดูสบายดี ไม่ได้เหนื่อยอ่อน แต่งกายสุภาพ รูปร่างผอมเพรียว ไม่ได้อ้วนท้วน พลังที่แผ่พุ่งออกมาแตกต่างจากตอนที่เดินทางออกจากสหพันธรัฐมากทีเดียว
ทั้งหมดเป็นเพราะระดับการฝึกตนที่สูงขึ้น วิญญาณจุติดวงดารา และความพยายามตลอดหลายปี เขาไม่ได้เป็นเด็กน้อยอีกต่อไป ชายหนุ่มที่โตขึ้นและเปลี่ยนแปลงตนเองไปมากน่าจะมีโอกาสสร้างความประทับใจให้กับทุกคน ตัวตนใหม่ของหวังเป่าเล่อควรจะเป็นที่เคารพยำเกรง และคงจะเป็นเช่นนั้นได้…ถ้าไม่มีเจ้าลาขี่คออยู่!
ลาที่ชายหนุ่มแบกอยู่เป็นลาสีดำตัวเล็ก ขาหลังสองข้างห้อยขนาบข้างคอ ส่วนขาหน้าวางแหมะอยู่บนหัวหวังเป่าเล่อ ตัวของมันผอมแห้งจนเห็นโครงกระดูก แต่เสียงร้องยังฟังดูสดใส…
คนขี่ลาเป็นภาพที่เห็นกันได้ปกติ แต่ลาขี่คนนั้น…ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติไปไกล สถานการณ์แสนกระอักกระอ่วนใจทวีความหนักหน่วงขึ้นด้วยถุงขนมในมือชายหนุ่มที่ยื่นไปป้อนเจ้าลา…
สีหน้าทุกคนดูแปลกพิกลไปเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า
หวังเป่าเล่อไม่ได้หน้าด้านไร้ยางอาย แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เจ้าลาไม่ยอมกลับเข้าไปในกำไลคลังเวทหลังจากถูกปล่อยออกมา มันร้องคร่ำครวญ ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า ถึงกับแลบลิ้นออกมาเพื่อบอกว่ามันยอมตายลงตรงนี้ยังดีเสียกว่า ชายหนุ่มรู้สึกผิดเมื่อได้เห็นเช่นนั้น และความใจอ่อนในตอนนั้นก็นำพาเขามาสู่จุดนี้
เมื่อเห็นสภาพหิวโหยของเจ้าลา ชายหนุ่มเลยป้อนขนมให้ เจ้าลาใช้ประโยชน์จากความรู้สึกผิดของหวังเป่าเล่อ หากเขาหยุดป้อนเมื่อไหร่ มันก็ขู่ว่าจะกัดลิ้นฆ่าตัวตายเมื่อนั้น
นี่เป็นเหตุให้เขาต้องเดินออกมาในสภาพเช่นนี้ หวังเป่าเล่อหันมองผู้คนด้านนอกเรือบินรบที่กำลังมองมาด้วยสีหน้าแปลกพิกล เขาถอนใจอยู่ภายในก่อนจะหยุดเดิน จากนั้นก็ตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “สหายเต๋าทุกท่านคงจะสงสัยว่าเหตุใดข้าจึงปรากฏตัวต่อหน้าพวกท่านพร้อมลาบนคอ!”
“เป็นเพราะสำหรับข้า เจ้านี่ไม่ใช่แค่สัตว์ธรรมดาทั่วไป แต่เป็นเพื่อนร่วมศึก เป็นพันธมิตรของข้า มันช่วยข้ามาแล้วหลายครั้งตอนที่ข้าตกอยู่ในอันตราย มันเลือกที่จะเมินข้าวปลาอาหารเพื่อออกตามหาอาหารและยามาให้ข้าที่นอนไร้สติ ต้องทนหิวจนแทบจะล้มตาย!”
“หวังเป่าเล่อผู้นี้ให้คุณค่ากับมิตรภาพและความภักดียิ่งกว่าสิ่งใด การแบกมันไว้บนคอหาใช่เรื่องใหญ่ไม่ ข้ายอมตัดเนื้อตัวเองมาเลี้ยงมัน เพราะตอนที่ข้าเข้าสู้เส้นทางการฝึกตน ท่านอาจารย์ปู่แห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ได้สอนข้าไว้ว่า พวกเราเหล่าผู้ฝึกตนจักต้องตอบแทนบุญคุณอยู่เสมอ!” หวังเป่าเล่อพูดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ฝูงชนรู้สึกประทับใจเมื่อได้ฟังเขาพูดจนจบ
สภาพหนังหุ้มกระดูกของเจ้าลาเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดีที่สุด คงมีเหตุผลอะไรสักอย่างที่ทำให้มนุษย์หรือสัตว์ยอมทนหิวโหยขนาดนี้!
การทนหิวตายถือเป็นเรื่องใหญ่ ที่มันยอมทำเช่นนี้…เหตุผลคงเป็นตามที่ชายหนุ่มเล่า มันเลือกสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเจ้านายของตน!
ไม่ใช่ทุกคนจะเชื่อหวังเป่าเล่อ แต่หลายคนก็คิดว่าน่าจะเป็นอย่างที่ชายหนุ่มพูด พวกเขามองเจ้าลาด้วยความเคารพ เจ้าลาผู้แสนชาญฉลาดสัมผัสได้ถึงท่าทีและแววตาของผู้คนที่เปลี่ยนไป มันนิ่งไป จากนั้นก็กะพริบตา กำลังจะฉีกยิ้มกว้าง แต่ชายหนุ่มก็กระแอมกระไอขึ้นเบาๆ เบาเสียจนมีแต่เจ้าลาที่ได้ยิน
เจ้าลาตีหน้าขรึมในทันใด เหมือนจะสื่อว่าตนพร้อมตายเคียงข้างเจ้านายของตน
หวังเป่าเล่อพอใจที่เห็นเจ้าลาตอบสนองได้ไว สิ่งที่เขาพูดไปไม่ใช่แค่ช่วยแก้เขินได้อย่างเดียว แต่ยังสร้างผลกระทบแง่บวกเพิ่มด้วย ชายหนุ่มแสนพึงพอใจ ไหวพริบเชาวน์ปัญญาเหมือนจะเพิ่มพูนขึ้นมาก เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พอข้าสำเร็จวิชาจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ต้วนมู่ฉี ผู้นำของเราได้สอนข้าไว้อีกอย่าง นั่นก็คือ…เราจะต้องเอาคืนอยู่เสมอ! ตระกูลไม่รู้สิ้นเข้ามารุกล้ำสหพันธรัฐ เราจะต้องแก้แค้น ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลเลือกเชื่อฟังคำสั่งตระกูลไม่รู้สิ้น ในฐานะผู้อาวุโสประจำสำนักวังเต๋าไพศาล ศิษย์พี่ชิวหรันและข้าจะกำจัดปีศาจทั้งหลายให้มลายไปจากสำนัก แต่ทุกสิ่งกลับเดือดพล่านจนมาอยู่ในจุดที่ผู้นำสหพันธรัฐต้วนมู่ฉีเคยสอนข้าไว้ พวกเรา ผู้ฝึกตนแห่งสหพันธรัฐจะไม่มีวันลืม เราจะเอาคืน!”
ชายหนุ่มใช้พลังทั้งหมดในการตะโกนคำสุดท้ายออกไป ด้วยระดับการฝึกตนของเขา เสียงร้องคำรามถ้อยคำสุดท้ายจึงมีพลังเหมือนดังพายุซึ่งพัดกระจายไปทั่วท่าอากาศยาน คำพูดของเขาเป็นเหมือนสายฟ้าที่แล่นเข้าสู่จิตใจของฝูงชน หลายคนพร้อมใจกันตะโกนขึ้น
“เราจะเอาคืน!”
เหล่าผู้ฝึกตนสหพันธรัฐฮึกเหิมขึ้นเมื่อหวังเป่าเล่อพูดปลุกใจ พวกเขาเขยิบเข้าใกล้กัน พลังรวมเป็นหนึ่งปลุกจิตวิญญาณนักสู้ขึ้นในตัว เหล่าตัวแทนจากกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ก็ได้รับการปลุกเร้าไม่แพ้กัน พวกเขาเริ่มส่งเสียงโห่ร้องดังกึกก้อง ต้วนมู่ฉี หลี่ซิงเหวิน และคนอื่นๆ ที่คุ้นเคยกับหวังเป่าเล่อ รู้ดีว่าชายหนุ่มมีนิสัยชอบพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ถึงกระนั้นดวงตาของพวกเขาก็ฉายแสงเป็นประกาย ต้วนมู่ฉีผุดคิดขึ้น…หากหวังเป่าเล่อได้ขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐ แม้งานด้านอื่นจะยังไม่รู้ว่าชายหนุ่มจะสามารถทำได้ดีเพียงใด แต่ถ้าเป็นการปลุกใจฝูงชนก็ถือว่าทำได้ดีกว่าต้วนมู่ฉีมาก ชายหนุ่มเหมาะสมกับตำแหน่งนี้จริงๆ
เฟิ่งชิวหรันที่เดินตามหลังชายหนุ่มออกมาก็รู้สึกตื้นตันใจไม่แพ้คนอื่นๆ อาการบาดเจ็บของนางยังไม่หายดี ใบหน้ายังดูซีดเผือดอยู่เล็กน้อย แต่หลังจากได้ยินเสียงกู่ก้องของผู้คนรอบๆ และสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณนักสู้ของสหพันธรัฐ นางก็ได้แต่สูดหายใจลึกและหลับตาลง ภาพใบหน้าผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาล เหล่าผู้ฝึกตนที่นางต้องประมือเพื่อหนีมาปรากฏขึ้นในหัว เมื่อนางลืมตาขึ้นอีกครั้ง แววความสับสนก็หายไป กลับแทนที่ด้วยประกายแสงแห่งความมุ่งมั่น พอหวังเป่าเล่อพูดจบ นางก็เดินออกมายืนเคียงข้างชายหนุ่ม จากนั้นก็ยกมือขึ้นกุม ก้มหัวให้กับฝูงชน
“ผู้อาวุโสสูงสุดเป่าเล่อพูดถูก สำนักวังเต๋าไพศาล…ต้องได้รับการชะล้าง! เหล่าผู้ทรยศของสำนักวังเต๋าไพศาลได้ทำให้สหายเต๋าจากสหพันธรัฐได้รับบาดเจ็บ ถึงข้าจะเอ่ยขอโทษเป็นหมื่นครั้งก็ไม่เพียงพอ ข้าทำได้เพียงถวายชีวิตและความร่วมมืออย่างเต็มกำลังเพื่อร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่สหายเต๋าของสหพันธรัฐ!”
เสียงของหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันดังก้องในใจฝูงชน คำประกาศจากทั้งสองทำให้ฝูงชนมีใจพร้อมสู้
“ทุกคนทำความเคารพหวังเป่าเล่อและศิษย์พี่ชิวหรัน!” ต้วนมู่ฉีตะโกนก้องด้วยน้ำเสียงแน่วแน่เด็ดเดี่ยว ทั่วทั้งท่าอากาศยานเต็มไปด้วยจิตวิญญาณนักสู้และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
อารมณ์ของคณะต้อนรับพุ่งสูงถึงขีดสุด หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันลงจากเรือบินรบ จากนั้นก็เดินตามหลังหลี่ซิงเหวิน ต้วนมู่ฉี และคนใหญ่คนโตของสหพันธรัฐเข้าไปในฐานทัพ
ต้วนมู่ฉีในฐานะตัวแทนสหพันธรัฐพร้อมและบรรดาคนใหญ่คนโตเข้าไปพูดคุยกับเฟิ่งชิวหรันถึงรายละเอียดและข้อมูลต่างๆ ของสถานการณ์ในปัจจุบัน จากนั้นก็ส่งเฟิ่งชิวหรันไปยังห้องลับในฐานทัพเพื่อเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูร่างกายต่อ เจ้าลาเองก็ถูกนำตัวไปเช่นกัน หวังเป่าเล่อยืนอยู่ในตำหนักหลัก คนอื่นๆ แยกย้ายไปกันหมด เหลือเพียงต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวิน ต้วนมู่ฉีมีสีหน้าจริงจัง หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็พูดขึ้น
“หวังเป่าเล่อ ถ้าสหพันธรัฐชนะศึกครั้งนี้ เจ้าจะได้ขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐคนต่อไป!”
………………………….