หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 703 ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี!
ดวงจันทร์สั่นไหวพร้อมเสียงคำรามที่ดังขึ้น เหล่าคนที่กำลังยืนก้มหัวให้หวังเป่าเล่ออยู่มีสีหน้าตื่นตกใจ บางคนถึงกับหน้าซีดจากความหวาดกลัว
เหล่าผู้ฝึกตนที่ประจำการในฐานทัพของดวงจันทร์ต่างทราบถึงปริศนาที่ซ่อนอยู่บนดวงจันทร์ดีกว่าผู้ใด ด้านสว่างของดวงจันทร์ถือว่าปลอดภัย ส่วนด้านมืดกลับเต็มไปด้วยภัยอันตราย ในส่วนลึกสุดของด้านมืดมีศพขนาดมหึมาหลับใหลอยู่!
การมาถึงของกระบี่สำริดเขียวโบราณได้นำพาชิ้นส่วนกระบี่ลงปักบนดวงจันทร์ ปลุกศพขนาดยักษ์ให้ตื่นจากการหลับใหลถึงสองครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน ส่วนครั้งที่สอง…เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้!
ศพขนาดมหึมาปลดปล่อยพลังน่าพรั่นพรึงพร้อมเผยให้เห็นโซ่ที่ล่ามอยู่รอบตัวตอนที่มันตื่นขึ้นครั้งล่าสุด มันทรุดตัวลงคุกเข่าขณะจ้องมองไปยังกระบี่สำริดเขียวโบราณ ภาพที่ได้เห็นทำให้ทุกคนหวาดหวั่นและยำเกรงเป็นอย่างยิ่ง
ศพศพนี้ทำให้ดวงจันทร์ยังถือเป็นสถานที่อันตราย ในขณะเดียวกันก็ทำให้ดาวดวงนี้เป็นดาวบริวารมีพลังเกินกว่าจะหยั่งรู้ได้ซ่อนอยู่!
ขณะที่ทุกคนตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินเสียงร้องคำรามดังขึ้น หวังเป่าเล่อก็พูดขึ้นพร้อมดวงตาที่ฉายแสงวาบ
“เปิดเครื่องยนต์ทั้งหมดบนดวงจันทร์ เราจะพาดวงจันทร์ออกจากวงโคจรปกติในสามวันและมุ่งหน้าไปยังดาวศุกร์ ห้ามให้เกิดการล่าช้าแม้แต่นิดเดียว!”
เมื่อออกคำสั่งออกไปชัดเจน ชายหนุ่มก็มุ่งหน้าตรงไปยังศพที่ร้องคำรามทันที คลื่นอากาศพัดกระจายไปทั่วบริเวณเมื่อเขาพุ่งตัวออกไป ชายหนุ่มหายวับไปจากสายตาของฝูงชน ทิ้งไว้เพียงเสียงที่ดังก้องไปทั่วท่าอากาศยาน
“รับทราบ!” ฝูงชนยังคงรู้สึกยำเกรงแม้ชายหนุ่มจะจากไปแล้ว ทุกคนก้มหัวพร้อมขานรับอย่างพร้อมเพรียงตามสัญชาตญาณ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางที่หวังเป่าเล่อมุ่งหน้าไป
“ศพยักษ์ร้องขึ้นทันทีที่หวังเป่าเล่อลงเหยียบบนดวงจันทร์ ข้าว่าต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่!”
“นึกออกแล้ว ครั้งสุดท้ายที่ศพยักษ์ตื่นคือตอนที่ศิษย์จากกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ขึ้นมาทำการทดสอบเพื่อบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่น…ตอนนั้นเสนาบดีหวังก็อยู่บนนี้เหมือนกัน…”
“จริงด้วย ข้าจำได้ว่าเจ้าเมืองหวังเกือบตาย ผู้อาวุโสจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพที่ขโมยแก่นในเขาไปยังโดนกักตัวอยู่เลย!”
หวังเป่าเล่อมีตำแหน่งเป็นทั้งเสนาบดีและเจ้าเมือง ทำให้ไม่มีคำเรียกเฉพาะเจาะจง ทุกคนกำลังคลายจากอาการตื่นกลัว แม้จะนึกกังวล แต่ก็ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของชายหนุ่ม ไม่นานคำสั่งของเขาก็กระจายต่อออกไป ดวงจันทร์ทั้งดวงเริ่มสั่นไหว
เป็นการสั่นสะเทือนที่แตกต่างจากตอนศพมหึมาคำราม การสั่นสะเทือนเพราะศพคำรามนั้นเกิดขึ้นอย่างปุบปับ แต่การสั่นสะเทือนครั้งนี้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เครื่องยนต์ทั้งหมดบนดวงจันทร์ถูกเปิดใช้งานตามคำสั่งนั่นเอง
ขณะที่ทุกคนแยกย้ายไปเปิดเครื่องยนต์ทั้งหมดและเตรียมเปลี่ยนวิถีวงโคจรของดวงจันทร์ หวังเป่าเล่อก็กำลังเดินทางข้ามด้านสว่างของดวงจันทร์ไปอย่างรวดเร็ว เสียงแหวกอากาศดังไปทั่วพื้นที่ขณะเขาพุ่งตัวผ่าน อสูรจันทราระดับการฝึกตนโบราณต่างสั่นกลัวและรีบถอยห่าง
ค้างคาวจันทรารัตติกาลกรีดร้องอย่างหวาดหวั่นเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังของหวังเป่าเล่อจากที่ไกลห่าง พวกมันไม่กล้าบินขึ้นฟ้า รีบปล่อยตัวลงพื้นและมุดดินเข้าไปหลบตัวสั่นอยู่ใต้พิภพ
อสูรทั้งสองสายพันธุ์ไม่ได้อยู่ในสายตาของหวังเป่าเล่อตั้งแต่ที่เขาขึ้นมาบนดวงจันทร์เป็นครั้งแรก ชายหนุ่มพุ่งแหวกอากาศไปราวกับเป็นสายฟ้า ไม่หันมาเหลียวแลพวกมันแม้แต่นิด ครู่ต่อมา ขณะกำลังจะถึงด้านมืดของดวงจันทร์ เขาก็หยุดนิ่งไป
ผืนดินใต้เท้าของเขามีแมลงจันทราขนาดมหึมาหลายร้อยตัวอยู่ สิ่งมีชีวิตคล้ายตะขาบขนาดใหญ่เป็นเหมือนอสูรแห่งความตายในตำนานที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย แต่ละตัวมีความยาวหลายร้อยหลายพันเมตร มีพลังอยู่ในขั้นลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่สามและสี่ พวกมันปรากฏตัวเป็นโขยงตอนที่ชายหนุ่มขึ้นมาบนดวงจันทร์ครั้งแรก ตอนนั้นมันช่างเป็นประสบการณ์ที่ทำให้หัวใจแทบจะหยุดเต้น ส่วนตอนนี้น่ะหรือ…
เขาพุ่งขึ้นไปบนฟ้าขณะที่ฝูงแมลงจันทราก้มหัวตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น ของเหลวหยดเปื้อนพื้นบริเวณหางของแมลงหลายตัวราวกับว่ามันกลัวจนฉี่ราดอย่างไรอย่างนั้น
หวังเป่าเล่อส่ายหัว ตั้งใจจะมุ่งหน้าต่อไป ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ชายหนุ่มหันมองไปทางขวา เห็นหมอกเริ่มก่อตัวหนาพัดกระจายไปทั่วบริเวณ
หมอกเวทเคลื่อนย้าย! ชายหนุ่มผุดยิ้มบางๆ เหมือนว่าจะโปรดปรานมันไม่น้อย หากไม่ใช่เพราะหมอกเวทเคลื่อนย้าย เขาคงจะเอาตัวไม่รอดในเขตจันทราเวท และคงกลายเป็นฝุ่นผงลอยอยู่บนดวงจันทร์ไปแล้ว
ภาพหมอกเวทเคลื่อนย้ายทำให้เขารู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย ชายหนุ่มเปลี่ยนทิศ มุ่งหน้าไปหาหมอกเวทเคลื่อนย้ายแทน พริบตาต่อมา หวังเป่าเล่อก็มาปรากฏตัวข้างๆ ปล่อยให้หมอกเข้าปกคลุมทั่วร่าง
หมอกบดบังวิสัยทัศน์ของชายหนุ่มไป เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังงานจากหมอกที่เข้าปกคลุมร่าง และพยายามจะส่งเขาเคลื่อนย้ายหายไป
“น่าสนใจ” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง แม้จะเคยใช้หมอกเวทเคลื่อนย้ายในการสร้างประคำหมอกรอยเวทมาก่อน แต่เขาก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าหมอกเวทเคลื่อนย้ายทำงานอย่างไร ตอนนั้นชายหนุ่มทำได้แค่หยิบยืมความสามารถในการเคลื่อนย้ายของมันมาเพียงเท่านั้น แต่ตอนนี้ระดับการฝึกตนของเขาสูงขึ้นจากตอนที่เจอหมอกเวทเคลื่อนย้ายครั้งแรกมาก ศพมหึมาเงียบเสียงไปหลังจากร้องคำราม หวังเป่าเล่อจึงไม่ได้รีบร้อนอะไรมากและตัดสินใจเดินลึกเข้าไปในหมอก
คลื่นพลังงานที่พัดกระทบร่างกลายเป็นสายหมอกเล็กๆ หวังเป่าเล่อไม่ต้องปลดปล่อยพลังปราณก็สามารถเดินตรงต่อไปโดยไม่โดนหมอกเคลื่อนย้ายหายไปได้ ไม่นานชายหนุ่มก็นึกสงสัยขึ้นอีกครั้ง ขณะที่เดินลึกเข้าไปในหมอก พลังเคลื่อนย้ายก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มส่งผลกระทบกับตัวเขา หวังเป่าเล่อต้องปล่อยพลังปราณออกมาต้านพลังเคลื่อนย้ายไว้
ตอนนั้นข้าไม่สามารถหาคำตอบได้ ตอนนี้…ไม่รู้ว่าข้าจะค้นเจอหรือเปล่าว่าหมอกเวทเคลื่อนย้ายคืออะไรกันแน่! หวังเป่าเล่อหรี่ตา ปล่อยจิตสัมผัสวิญญาณออกไปตรวจสอบหมอกเวทเคลื่อนย้าย
ภาพหมอกเวทเคลื่อนย้ายปรากฏขึ้นในหัวทันใด เขาเพ่งจิตสัมผัสวิญญาณจนทำให้ภาพหมอกในหัวแจ่มชัดขึ้น ต้องใช้จิตสัมผัสวิญญาณถึงร้อยละเก้าสิบจึงจะเห็นได้ว่าหมอกนี้คืออะไรกันแน่ ดวงตาชายหนุ่มหรี่ลงในทันที
นี่มัน… เขาเห็นร่างที่แท้จริงของหมอกผ่านจิตสัมผัสวิญญาณ ที่จริงแล้วหมอกเวทเคลื่อนย้ายคือแมลงขนาดเล็กจิ๋วเท่าเชื้อโรคจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน!
ไม่ได้มีชีวิตอยู่ แต่เป็นศพ!
พวกมันมีลำตัวเป็นปล้องยาวโปร่งใส สีอมเหลืองเล็กน้อย ตรงปลายลำตัวทั้งสองด้านมีหนวดคู่ที่แบ่งออกเป็นสามส่วนอย่างชัดเจน!
นี่มันแมลงอะไรกัน เหตุใดศพของพวกมันจึงมีพลังเคลื่อนย้าย! หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้น เมล็ดดูดกลืนในกายเริ่มปั่นป่วน วิญญาณจุติดวงดาราลืมตาตื่น พลังปราณพวยพุ่งออกมาพร้อมพลังของเมล็ดดูดกลืน เกิดเป็นแรงสูบรุนแรงปะทุออกจากฝ่ามือของหวังเป่าเล่อ
หมอกรอบตัวเริ่มปั่นป่วน หมอกที่พัดกระจายออกไปเริ่มไหลมารวมตัวกันอยู่รอบชายหนุ่มในทันใด วังวนปรากฏขึ้นขณะที่เมล็ดดูดกลืนปลดปล่อยพลังเต็มที่เพื่อดึงหมอกเข้ามาหา หวังเป่าเล่อกลายเป็นวังวนที่หยุดยั้งไม่ให้หมอกเวทเคลื่อนย้ายพัดกระจายออกไป แต่พัดหมุนวนเข้าหาตนเองแทน
หากมองไกลๆ จะเห็นว่าหมอกหนาเริ่มจางลง ขณะที่ร่างของชายหนุ่มเริ่มปรากฏเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดหมอกก็หายวับไปหมด ในมือขวาของหวังเป่าเล่อมีดวงแสงสีเหลืองขนาดเท่ากำปั้นอยู่!
เขาตรวจดูดวงแสงในมืออย่างละเอียด เขาไม่พบเหล่าแมลงเลยแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกได้ว่าน่าจะเอาดวงแสงนี้ไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ ชายหนุ่มผนึกดวงแสงไว้และเก็บเข้ากระเป๋าคลังเก็บก่อนจะทะยานออกไป
หวังเป่าเล่อเหาะข้ามด้านสว่างเข้าไปในด้านมืดของดวงจันทร์ ข้ามผ่านสนามรบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณจันทรา อสูรที่มีตารอบตัว หรือเผ่าพันธุ์อมตะราตรีผู้แกร่งกล้าต่างก็หยุดเคลื่อนไหวเมื่อเห็นชายหนุ่ม วิญญาณจันทราตัวสั่นเทิ้มเมื่อพบเขา ส่วนเผ่าพันธุ์อมตะราตรีนั้น…หลังจากที่นิ่งไปในตอนแรก มันก็ทรุดลงไปกับพื้นราวกับจะหมอบกราบ!
ท่าทีของเผ่าพันธุ์อมตะราตรีทำให้เขาเงียบไป สัมผัสได้ถึงดอกบัวสีเขียวและเมล็ดดูดกลืนที่สั่นไหวเล็กน้อย ในที่สุดชายหนุ่มก็มาถึงบริเวณใจกลางของด้านมืดบนดวงจันทร์ หวังเป่าเล่อก้าวเข้าไปในหุบเขาที่เขาเกือบจะเอาตัวไม่รอดกลับมา!
ชายหนุ่มยืนมองซากปรักหักพังเบื้องหน้า จ้องไปยังถ้ำที่ยังเหลือรอดอยู่และนิ่งเงียบไป จากนั้นก็ก้มมองเข้าไปในถ้ำอันแสนมืดมิด ผ่านไปพักใหญ่ เขาก็กระซิบออกมา “ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี เจ้ายัง…มีสติอยู่กับตัวหรือไม่”
……………………..