หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 713 ท่านหญิง ข้าสาบานว่าได้ไม่ใช่ข้า!
สีหน้าของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไปเป็นตกตะลึงเห็นได้ถนัดตาเมื่อได้ยินชื่อที่ออกมาจากปากของเฉินโม่เฟิง นัยน์ตาของชายหนุ่มกระตุก เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็รู้จักชื่อนั้นดี อันที่จริงแล้ว หวังเป่าเล่อรู้ดีทีเดียวว่าชื่อนั้นมีความสำคัญอย่างไรกับราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี!
เนื้อคู่แห่งเต๋าของเฉินโม่เฟิง ผู้ที่แยกสมองเขาออก ควักหัวใจเขา และทำลายเต๋าของเขา ตอนนี้อยู่บนเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้น! หวังเป่าเล่อผงะเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ โชคยังดีที่ระบบการทำลายตัวเองของดาวศุกร์ถูกเปิดขึ้นมาเสียก่อน แรงระเบิดและคลื่นพลังทำลายล้างส่งเสียงดังกระหึ่มไม่หยุดหย่อนอยู่บนดาวศุกร์ พลังของวงแหวนปราณระบบสุริยะครอบคลุมสนามรบเอาไว้ หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังการเคลื่อนย้ายที่มองไม่เห็นซึ่งโอบล้อมกายเขาเอาไว้ หากต้องการ ชายหนุ่มก็สามารถเคลื่อนย้ายออกจากที่นี่ได้เลยทันที!
ความคิดนั้นทำให้หวังเป่าเล่อเบาใจลงไปมาก ขณะที่ยังถอยหนีต่อไป ชายหนุ่มก็หันหลังกลับไปจ้องมองนิ้วมือที่ลอยอยู่ตรงหน้าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน!
ในวินาทีเดียวกันนั้นเอง นิ้วมือนั้นก็ส่องประกาย ก่อนที่ร่างของสตรีนางหนึ่งจะค่อยๆ ปรากฏขึ้น นิ้วมือนั้นขยายกลายเป็นฝ่ามือ แขน อะไรต่อมิอะไรจนกระทั่งกลายมาเป็นสุภาพสตรีรูปร่างงดงามในชุดคลุมเต๋า
ราวกับว่าจักรวาลเป็นภาพวาด และสตรีนางนี้ก็เดินออกมาจากภาพนั้น ความงามกระจ่างตาของนางคืนความสดใสให้กับผืนแผ่นดิน!
กายของนางโปร่งใส ทำให้ไม่อาจเห็นรูปร่างได้ชัดเจนนัก แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจทำให้ความงดงามของนางเสื่อมถอยลงได้ อันที่จริงแล้ว ความโปร่งใสมองไม่ชัดนี้เองที่สะกดทุกๆ สายตาที่มองมาหานาง พวกเขาทุกคนดูจะสับสนงงงวยกับสิ่งที่ได้พบเห็นอยู่เล็กน้อย
ดูเหมือนว่าอาจไม่ใช่แค่ความงดงามของนาง แต่เพราะรัศมีประหลาดที่นางแผ่ออกมาที่สะกดสายตาของสรรพชีวิตเอาไว้
“ในที่สุด…เจ้าก็ปรากฏตัวเสียที…” ดวงจิตของเฉินโม่เฟิงที่กำลังจะผล็อยหลับไปเมื่อครู่ มาบัดนี้ สภาพจิตใจกลับปลอดโปร่ง ราวกับการปรากฏของนิ้วมืออีกนิ้วและเสียงถอนหายใจเป็นการตบหน้าเขาให้ตื่นขึ้นอย่างเต็มที่อย่างไรอย่างนั้น
ความสับสนงุนงงในแววตาของเฉินโม่เฟิงจางหายไปขณะเปิดปากพูด ดูเหมือนว่าเขาจะพูดความคิดที่แท้จริงได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ความคิดนั้นสะท้อนสิ่งที่เขาพึมพำไปเมื่อครู่ ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความเกลียดชัง มีแต่ความถวิลหาอันลุ่มลึก
สตรีที่งดงามนางนั้นเงียบลงเมื่อได้ยินเสียงพึมพำของเฉินโม่เฟิงก่อนจะมองเข้าไปในตาอีกฝ่ายด้วยแววตาลึกซึ้ง จากนั้นนางก็ถอนสายบัวและพูดออกมาอย่างนุ่มนวล “สามีที่รักของข้า นานเหลือเกินแล้วที่เราไม่ได้พบกัน ท่านต้องพานพบกับหายนะอันใหญ่หลวง แต่ก็ยังส่งเสียงเรียกชื่อข้า ในฐานะภรรยาของท่าน…ข้าจะไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าท่านได้อย่างไรเล่า”
การได้ยินเสียงของเนื้อคู่แห่งเต๋าเป็นครั้งแรกในระยะเวลายาวนานอาจไปกวนความทรงจำของเฉินโม่เฟิงขึ้นมา ร่างกายอันใหญ่โตของเขาสั่นเทา ลึกลงไปภายใต้ดวงตากระจ่างใสนั้น ปรากฏเปลวไฟสีแดงขึ้นมาอีกครา วิญญาณที่ก่อตัวใหม่ภายหลังการตายของเขากำลังพยายามชิงร่างกายคืนจากดวงวิญญาณที่แท้จริงของเฉินโม่เฟิง
พลังของเมล็ดบัวจางหายไปนานแล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้วิญญาณที่แท้จริงของเฉินโม่เฟิงยังตื่นอยู่คือความถวิลหาอันรุนแรง เฉินโม่เฟิงต่อสู้เพื่อให้สติสัมปชัญญะยังคงอยู่ เขาจ้องมองไปยังจื่อเหว่ พยายามทำสายตาให้อ่อนโยนและนุ่มนวล ก่อนจะพูดออกมาเสียงดังเท่าการกระซิบ “จื่อเยว่…ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน ข้าไม่ถือโทษโกรธเคืองในสิ่งที่เจ้าทำ มา…กลับบ้านกับข้าเถิด”
เฉินโม่เฟิงยกมือขวาขึ้นขณะที่พูด สีหน้าของเขาอ่อนโยน เต็มไปด้วยความถวิลหาและความหวัง มันคือสีหน้าของคนที่หลงมัวเมาในรัก
จื่อเยว่มองสบตาเฉินโม่เฟิง ประกายสีในแววตาของนางจางหายจนเหลือเพียงความรักใคร่อันเจือจาง นางกล่าวตอบอย่างแผ่วเบา “สามีที่รักยิ่งของข้า ภรรยาของท่านคิดถึงท่านแทบจะขาดใจเช่นกัน เมื่อใดก็ตามที่ข้าคิดถึงท่าน ข้าจะหยิบสิ่งนี้ขึ้นมา…”
ขณะที่จื่อเยว่พูด มือขวาของนางก็กวาดออกไปในความเวิ้งว้างตรงหน้า หัวใจชุ่มเลือดดวงหนึ่งปรากฏขึ้นในมือข้างนั้น
หัวใจนั้นยังคงเต้นอยู่ พลังวิญญาณอันแข็งแกร่งไหลบ่าออกมาท่วมจักรวาล เฉินโม่เฟิงตัวสั่น ริมฝีปากของเขาขยับอย่างยากลำบาก
“จื่อเยว่ อย่า…”
“มีสิ่งนี้ด้วย…” ราวกับว่าไม่ได้รับรู้อาการของสามี จื่อเยว่ยิ้มก่อนจะขัดจังหวะคำขอร้องของอีกฝ่าย นางปล่อยมือจากหัวใจเฉินโม่เฟิงและกวาดมือไปในความว่างเปล่าอีกครั้ง สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาต่อจากนั้นเป็นก้อนสีขาวก้อนหนึ่ง มันก็คือ…สมองของเฉินโม่เฟิง!
“สามีที่รักของข้า ดูเถิด ความคิดถึงของข้าบรรเทาลงได้เมื่อมีสองสิ่งนี้อยู่ข้างกาย”
“จื่อเหว่…โปรดหยุดเถิด ข้าขอร้อง…”
“ข้าคิดว่า ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยบรรเทาความคิดถึงที่ข้ามีต่อท่าน ได้โปรดอย่ากลัวไปเลย ขอให้ภรรยาผู้นี้ไปหามันมาให้ท่านดู…” สายตาของจื่อเยว่จับจ้องไปยังเฉินโม่เฟิง ขณะที่อาการสั่นเทาของผู้เป็นสามีรุนแรงขึ้น และความเจ็บปวดบนใบหน้าก็ทวีคูณขึ้นเช่นกัน นางอมยิ้มไปด้วยขณะที่พูด
น้ำเสียงของนางชัดใสและน่าฟัง ราวกับเป็นเสียงของภูติกระนั้น ในน้ำเสียงมีความงดงามอ่อนช้อยแฝงอยู่ ไม่ว่าใครได้ยินจิตใจก็จะได้รับการเยียวยา แต่หากใครก็ตามได้เห็นการกระทำ และความอาฆาตร้ายในถ้อยคำของนางแล้ว ต่างก็ต้องผงะถอยหลังด้วยความกลัวด้วยกันทั้งสิ้น!
โดยเฉพาะศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ที่ตัวสั่นงันงกขณะจับจ้องสายตาไปยังสตรีที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ดูเหมือนว่าชายชราจะเคยพบหน้านางมาก่อน แต่หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน เขาก็นึกได้ว่าไม่เคย ความรู้สึกไม่คุ้นเคยที่นางแผ่ออกมาเจือปนไปด้วยบางสิ่งที่คุ้นเคย ความแตกต่างกันของความรู้สึกนั้นทำให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันถึงกับตื่นตะลึง ยิ่งไปกว่านั้น ทันทีที่ชายชราจ้องมองนาง เขาก็รู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงทาสที่อยู่ต่อหน้าเจ้านาย ช่างเป็นความรู้สึกที่สับสนและชวนให้กระอักกระอ่วนใจเป็นอย่างยิ่ง
ทุกคนดูราวกับว่ากำลังตื่นตะลึงขีดสุด ฝ่ายหวังเป่าเล่อยังคงถอยหนีออกมาจากสตรีนางนั้น ชายหนุ่มกลับไปถึงปราการดวงจันทร์ ก่อนจะจ้องมองออกไปยังเฉินโม่เฟิงและจื่อเยว่ และเบนสายตาไปหาศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน สายตาของชายหนุ่มกราดเกรี้ยวขึ้นเมื่อเข้าใจสิ่งที่เกิดขึเนตรงหน้า
นางกำลังพยายามจะยั่วโมโหเฉินโม่เฟิง!
แม่นางน้อยเคยพูดถึงเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋ามาก่อน…บางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับการที่จื่อเยว่ไม่ยอมสังหารเฉินโม่เฟิง การที่นางมายั่วยุเขาเช่นนี้อาจเป็นเพราะเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋ากระมัง หวังเป่าเล่อไม่ได้คำตอบ แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าเขาเดาได้ใกล้เคียงแล้ว
เช่นนี้ก็หมายความว่า…จื่อเยว่เป็นผู้ชุบชีวิตศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันขึ้นมา! อารมณ์ความรู้สึกหลากหลายท่วมท้มอยู่บนใบหน้าของหวังเป่าเล่อ ความเครียดที่ชายหนุ่มรู้สึกมาตลอดพุ่งสูงขึ้นทันที
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันที่ผสานร่างเข้าเรือบินรบเต๋ามรณะของตระกูลไม่รู้สิ้นนับเป็นภัยคุกคามอันใหญ่หลวงสำหรับสหพันธรัฐแล้ว ใครจะไปล่วงรู้ได้…ว่าเบื้องหลังนั้นยังมีศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าเร้นกายอยู่อีก!
สำหรับสหพันธรัฐแล้ว สิ่งนี้นับเป็นการราดน้ำมันลงบนกองเพลิง หวังเป่าเล่อรู้รายละเอียดเรื่องของเฉินโม่เฟิงและจื่อเยว่ นางไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขา แม้ว่าจะเป็นการพบกันครั้งแรกก็ตาม
นางคือผู้ที่ขโมยเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าของเฉินโม่เฟิงไป ซ่อนตัวอยู่ในเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้น แอบควบคุมศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอยู่ลับๆ และเป็นผู้เริ่มสงครามนี้ขึ้น! แววอาฆาตส่องประกายอยู่ในตาของหวังเป่าเล่อ มีความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ปรากฏขึ้นในใจ ชายหนุ่มรู้ดีว่าโอกาสของสหพันธรัฐยังไม่ดีขึ้นเท่าใดแม้จะทำลายดาวศุกร์ไปแล้วก็ตามที
หวังเป่าเล่อไม่ใช่คนเดียวที่คิดเรื่องนี้อยู่ ขณะที่คลื่นพลังทำลายล้างของพลังวิญญาณยังคงไหลบ่าออกไปทั่วดาวศุกร์และแรงระเบิดมหาศาลยังส่งเสียงดังก้องกังวาลไปทั่วทั้งจักรวาลอยู่นั้น ขณะที่สายใยของจักรวาลและดวงดาวต่างก็บิดเบี้ยว และผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าหายตัวและถูกเคลื่อนย้ายไปยังจุดปลอดภัยผ่านวงแหวนปราณระบบสุริยะ ผู้ฝึกตนที่ยังเหลืออยู่ต่างก็มีความคิดเช่นเดียวกัน!
ต้วนมู่ฉีเองก็เช่นกัน ขณะนั้นชายชรายืนตระหง่านอยู่ในศูนย์บัญชาการ พลางจับจ้องไปยังจื่อเยว่ที่ยืนอยู่หน้าโยวหรันตาไม่กะพริบ เขาไม่รู้ความหลังระหว่างจื่อเยว่และราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีแม้แต่น้อย แต่ก็ยังบอกได้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ต้วนมู่ฉีบัดนี้รู้แล้วว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังสงครามครั้งนี้มิใช่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน แต่เป็น…สตรีที่ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีเรียกว่าจื่อเยว่ผู้นี้!
คนอื่นๆ ที่เหลืออยู่คือเฟิ่งชิวหรันและหลี่อู๋เฉิน พวกเขานิ่งเงียบ แต่นัยน์ตาของทั้งคู่มีความรู้สึกมากมายฉาบเคลือบอยู่
ขณะที่ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าค่อยๆ ถูกเคลื่อนย้ายออกไป จื่อเยว่ก็ทอดถอนใจยาว
“ข้าหาไม่พบ!”
“สามีที่รักของข้า เหตุใดท่านไม่ช่วยเยว่เอ๋อร์ที่รักของท่านหาเสียหน่อยเล่า” จื่อเยว่ปล่อยมือจากสมองและกวาดมือไปในอากาศ สิ่งที่ปรากฏบนฝ่ามือนางต่อมา…คือกระดิ่งมายาลูกหนึ่ง!
กระดิ่งนั้นมีสีดำสนิท และแม้ว่าจะอยู่ในรูปมายา มันก็ยังแผ่รัศมีของดวงดาวที่เจือจางจนแทบสัมผัสไม่ได้ออกมา ชัดเจนว่าสิ่งนี้เป็นวัตถุเวทที่มหัศจรรย์ยิ่ง!
“สามีที่รักของข้า กระดิ่งนี้อยู่ที่ใดหรือ ข้ากลืนกินสมองของท่านและบดขยี้หัวใจท่าน แต่ข้าก็ยังหากระดิ่งไม่พบ เป็นความผิดของท่านแท้ๆ เหตุใดท่านจึงต้องผนึกมันเอาไว้ก่อนตายด้วย ข้าไม่อาจสัมผัสถึงมันได้เลย โปรดบอกเยว่เอ๋อร์ที่รักของท่านว่ามันอยู่ที่ใดด้วยเถิด” จื่อเยว่มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเฉินโม่เฟิงในขณะที่พูด มีรอยยิ้มพาดอยู่บนใบหน้า เฉินโม่เฟิงไม่อาจทนได้อีกต่อไป เขายกมือทั้งสองขึ้นกุมศีรษะ ก่อนจะส่งเสียงร้องตะโกนอย่างเจ็บปวด
“หยุดพูดเดี๋ยวนี้ หยุดพูด!”
แสงสีแดงปะทุขึ้นอีกครั้งในดวงตาทั้งสองของเขา วิญญาณที่แท้จริงของเฉินโม่เฟิงที่พยายามอย่างมากในการคงตัวอยู่ ในที่สุดก็ถูกเบียดบังออกไป ยักษ์ใหญ่บ้าคลั่งแล้ว เขายกมือทั้งสองขึ้นเอื้อมไปหาจื่อเยว่
“น่าเบื่อเสียจริง” จื่อเยว่โคลงศีรษะอยู่ไปมา ก่อนที่ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีจะจับนางได้ นางก็ยกมือขวาขึ้นโบกเบาๆ มีเสียงระเบิดดังกึกก้องมาจากในกายของราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ชุดเกราะของเขาแตกร้าว อักขระโบราณบนร่างส่องสว่างขึ้นก่อนจะกดเขาเอาไว้ราวกับเป็นผนึก ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีส่งเสียงดังลั่นและล้มตัวลงทับปราการดวงจันทร์อย่างแรง
จื่อเยว่หันหน้าออกจากเฉินโม่เฟิง สายตาของนางมาจับจ้องที่หวังเป่าเล่อแทน มีรอยยิ้มอันชั่วร้ายแต่งดงามอยู่บนใบหน้า
“เจ้า เจ้าผู้มีดวงตาของธิดาศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่ข้าต้องการอยู่กับเจ้าใช่หรือไม่”
หวังเป่าเล่อขนหัวลุก ชายหนุ่มสั่นศีรษะอย่างบ้าคลั่งก่อนจะละล่ำละลักออกมา “ไม่ใช่เลยขอรับ แม่นางผู้ซึ่งเป็นสตรีที่สวยงามและแข็งแกร่งที่สุดในจักรภพ หากท่านไม่เชื่อ โปรดใช้จิตสัมผัสวิญญาณของท่านเพื่อตรวจสอบข้าได้เลยขอรับ!”
………………………….