หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 724 โลงศพแห่งดาวพลูโต!
เรือสำปั้นยังคงเผาไหม้พลังชีวิตตัวเองอย่างต่อเนื่อง ขับหวังเป่าเล่อให้พุ่งทะยานไปในอวกาศอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงกึกก้องครึกโครม ชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งบนดาวซีรีส!
ดาวเคราะห์สีเทาอยู่แทบเท้าหวังเป่าเล่อ เขารู้สึกได้ว่าดาวเคราะห์ดวงนี้กำลังพยายามหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเรือสำปั้นของเขา หวังเป่าเล่อยืนนิ่งอยู่บนดาวซีรีส ก่อนหันขวับในทันที ดวงตาโชติช่วงด้วยแสงแรงกล้า เขาเลิกผนึกระดับพลังปราณภายในกายและปลดปล่อยออกอย่างเต็มพิกัด วิญญาณจุติของชายหนุ่มเดินเครื่องเต็มที่ ปลดปล่อยพลังที่สั่งสมไว้ภายในออกมา!
พลังมหาศาลนี้ได้รับแรงเสริมจากทั้งดาวซีรีสและดาวพฤหัสบดี รวมถึง…ดาวเคราะห์น้อยทั้งแสนดวงในอาณาบริเวณนี้!
มันเป็นพลังที่…ขับเคลื่อนได้แม้กระทั่งดาวทั้งดวง!
คุณสมบัติพิเศษของวิญญาณจุติดวงดารา ทำให้ผู้ใช้งานแข็งแกร่งยิ่งขึ้นตามระยะทางที่เข้าไปใกล้ดาวเคราะห์ ขนาดของดาวเคราะห์เองก็มีผลต่อพลังที่เพิ่มขึ้นของผู้ครอบครองวิญญาณจุติชนิดนี้เช่นกัน
รวมถึง…จำนวนดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้เจ้าของวิญญาณจุติดวงดาราด้วย แม้ดาวเคราะห์ขนาดเล็กจะไม่ได้ช่วยเสริมพลังให้มากมายถึงเพียงนั้น แต่เมื่อพวกมันมารวมตัวกันนับแสนดวง ก็ย่อมส่งให้ผู้ครอบครองวิญญาณจุติแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่าตัวนัก
ดาวซีรีสเองก็เป็นขุมพลังขนาดใหญ่ที่เสริมพลังของหวังเป่าเล่อให้แข็งแกร่งขึ้นไปอีก ส่วนดาวเคราะห์อีกดวงที่เป็นกำลังสำคัญในระบบสุริยะ…คือดาวพฤหัสบดี!
พลังที่รอให้หวังเป่าเล่อเข้าเก็บเกี่ยวโดยไม่ต้องเสียอะไรไปนั้นมีมากเหลือเกิน นี่เป็นการเพิ่มพลังปราณที่สูงที่สุดเท่าที่ตัวเขาเคยสัมผัสมาตั้งแต่ที่ได้วิญญาณจุติดวงดารามาไว้ในครอบครอง!
สถานที่แห่ง…เป็นสองรองจากดาวพลูโตเพียงเท่านั้น สำหรับตัวชายหนุ่มแล้ว นี่คือสนามรบที่อันดับสองที่ดีที่สุดสำหรับเขาในระบบสุริยะ!
พลังปราณของชายหนุ่มระเบิดออกมาอย่างไร้จำกัด ก่อให้เกิดพายุหมุนที่พัดวนไปในอากาศ กระแสพลังปราณสีขาวมากมายไหลวนจากดาวซีรีส ดาวพฤหัสบดี และดาวเคราะห์ดวงเล็กดวงน้อยมากมาย และตรงเข้าหาหวังเป่าเล่อ ราวกับทุกสิ่งถูกแรงดึงดูดจากกายของชายหนุ่มดูดเข้ามา พลังปราณสีขาวโอบล้อมร่างของเขา เปลี่ยนสภาพไปเป็นพายุหมุนสีขาวบริสุทธิ์ราวหิมะ หวังเป่าเล่อยืนอยู่ใจกลางพายุเหมือนบุตรแห่งจักรวาล ดุจดั่งเทพเจ้าที่ลงมาเยี่ยมเยียนโลกมนุษย์กระนั้น!
พลังที่ชายหนุ่มปล่อยออกจากร่างในตอนนี้เลยผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณไปถึงขั้นจิตวิญญาณอมตะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หรือความจริงอาจทรงพลังมากกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ ตอนนั้นเองชายหนุ่มก็รู้สึกได้ว่าจิตเชื่อมโยงระหว่างเขากับดาวพลูโตเสถียรแล้วในที่สุด แม้จะยากลำบากนักกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ก็ตาม!
หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่า…ภายใต้พื้นผิวที่เป็นน้ำแข็งเย็นเยือกของดาวพลูโต ซึ่งเย็นจัดเสียจนแทบไม่มีสิ่งมีชีวิตใดใช้ชีวิตอยู่ได้ มีบางสิ่งบางอย่างฝังอยู่ และสิ่งนั้น…ก็คือโลงศพ!
ความตกใจวาบผ่านเข้ามาในใจหวังเป่าเล่อ เขาพยายามแตะโลงศพผ่านจิตเชื่อมโยงระหว่างเขากับดาวพลูโตแต่ก็ไม่เป็นผล ชายหนุ่มต้องการพลังมากกว่านี้ และคงทำไม่สำเร็จในคราวเดียว เขาต้องสะสมพลังให้ได้มากกว่านี้ก่อนจะลองดูอีกครั้ง
ข้าต้องการเวลามากกว่านี้ ประกายดุดันวาบเข้ามาในแววตาของหวังเป่าเล่อ เขายังไม่ล้มเลิกความพยายามที่จะปลุกพลังของโลงศพ ขณะที่มือขวาก็ชี้ไปที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน สีหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความตระหนก!
“โยวหรัน มาสู้กันดีกว่า!”
หวังเป่าเล่อคำรามด้วยความกระหายสงคราม เสียงคำรามของเขาส่งผลไปถึงดาวซีรีส ดาวพฤหัสบดี และทะเลดาวเคราะห์น้อยใหญ่มากมายรอบกาย ราวกับห้วงอวกาศที่แต่งแต้มไปด้วยดวงดาวกำลังคำรามไปพร้อมกับชายหนุ่ม!
ชายหนุ่มเหวี่ยงแขนตัวเองไปแนบลำตัว เกราะจักรพรรดิปรากฏขึ้นบนกายในทันที ห่อหุ้มร่างของชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เกราะจักรพรรดิในคราวนี้หน้าตาแตกต่างไปจากทุกที มันเป็นสีขาวผ่อง เฉกเช่นเดียวกับพายุรอบกาย!
ชุดคลุมแห่งความมืดที่เคยขาดวิ่น กลายเป็นผ้าคลุมไหล่ให้ชุดเกราะและโบกสะบัดอยู่ในอากาศ ดวงตาปีศาจเองก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขาเช่นกัน!
พลังที่เพิ่มขึ้นจากดาวเคราะห์ไม่เพียงแต่เปลี่ยนหน้าตาของเกราะจักรพรรดิไป แต่ยังมีผลต่อดวงตาปีศาจด้วย แม้มันจะยังหลับอยู่ แต่ก็ดูสมจริงเหมือนลูกตาจริงไม่มีผิด ราวกับเป็นดวงตาแห่งดาวเคราะห์ที่กำลังตกอยู่ในห้วงนิทรากระนั้น!
ภาพนี้น่าพรั่นพรึงเป็นอย่างมาก แม้แต่กับผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งเช่นศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็ยังชะงักงันอยู่กับที่ ชายชราจ้องหวังเป่าเล่อด้วยสายตาระแวดระวัง รู้สึกได้ถึงอันตรายที่ก่อตัวขึ้นเป็นรูปเป็นร่างเรื่อยๆ
ทั้งสองประสานสายตากัน ดวงตาปีศาจของหวังเป่าเล่อลืมตาตื่นอย่างฉับพลัน พลังที่มองไม่เห็นฟาดลงมาจากสวรรค์เบื้องบน ดูดเอาพลังจากดาวเคราะห์ที่อยู่รายรอบ ก่อนเปลี่ยนมันให้กลายเป็นบางสิ่งที่จับต้องได้ แสงสว่างที่มีฤทธิ์ทำให้ทุกอย่างนิ่งราวหยุดเวลาฟาดใส่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน และล้อมร่างกายของเขาเอาไว้หมดสิ้น
โยวหรันตัวสั่นสะท้าน ก่อนที่จะได้แหกกรงขังแห่งแสงออกมา หวังเป่าเล่อก็กระโจนไปข้างหน้าเหมือนลูกศรที่พุ่งทะยาน เขารวบรวมพลังจากดวงดาวเอาไว้ในหมัดขวา ปลุกอำนาจของวิญญาณจุติดวงดาราขึ้น แขนอาวุธเทพของชุดเกราะจักรพรรดิปล่อยแสงสว่างเจิดจ้า แสงนั้นโชติช่วงราวกับเป็นดวงอาทิตย์ที่พุ่งตรงเข้าหาศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน!
แรงปะทะทำให้เกิดเสียงดังอึกทึกสะท้อนไปทั่วอวกาศ โยวหรันกระอักเลือดชุดใหญ่ การรวมร่างของเขากับเรือบินรบเต๋ามรณะทำให้ชายชราแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก แม้ในยามที่ต้องเผชิญการโจมตีของหวังเป่าเล่อซึ่งรวมเอาพลังจากดวงดาว และอำนาจของดวงตาปีศาจเข้ามาแล้ว ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็เพียงแค่กระอักเลือดออกมาเท่านั้น ไม่ได้บาดเจ็บรุนแรงแต่อย่างใด อาการบาดเจ็บของเขาหายเป็นปลิดทิ้งในทันที ราวกับว่าแก่นในที่ส่งพลังให้เขามีพลังชีวิตอยู่อย่างมหาศาลจนร่างกายแทบจะไร้เทียมทาน!
การโต้กลับของชายชรายังดุดันรวดเร็ว เถาวัลย์สีดำมากมายเต้นเร่าอยู่ในอากาศ ขณะที่เขาสร้างผนึกฝ่ามืออย่างรวดเร็ว ร่างกายกลายเป็นอาวุธที่เข้าผนึกกำลังกับเถาวัลย์และเคล็ดเวท พลังปราณกระเพื่อมผ่านห้วงอวกาศ เข้าปะทะกับหวังเป่าเล่อในแถบดาวเคราะห์น้อย
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันฟื้นฟูร่างกายเร็วก็จริง แต่หวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน การฟื้นสภาพร่างกายของเขานั้นเร็วกว่าผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันมากนัก ด้วยพลังเสริมจากดวงดาวโดยรอบ อาการบาดเจ็บของเขาก็หายเป็นปลิดทิ้งในทันทีเช่นเดียวกับโยวหรัน
ทั้งสองใช้ร่างกายแข็งแกร่งของตนเองเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด ไม่มีใครยอมใครแม้แต่นิด การปะทะแต่ละครั้งทำให้ทั้งสองบาดเจ็บทุกครั้ง แต่ก็ยังกระโจนเข้าใส่กันต่อ…กระนั้นก็ไม่มีใครล้มอีกคนลงได้!
แม้หวังเป่าเล่อจะดูเหมือนเสียเปรียบกว่า เพราะดูเทียบโยวหรันไม่ติดตั้งแต่ตอนเริ่มเปิดฉากโจมตี และตอนนี้ก็กำลังเป็นฝ่ายตั้งรับ ทว่า…โยวหรันก็ล้มชายหนุ่มลงไม่ได้เสียที
สถานการณ์เลยเถิดเกินกว่าชายชราจะควบคุมได้ ทั้งสองต่อสู้กันยืดเยื้อ แม้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันจะทำลายดาวเคราะห์ขนาดเล็กรอบกายไป แต่ก็ทำให้หวังเป่าเล่ออ่อนกำลังลงในระยะเวลาอันสั้นไม่ได้
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ความกังวลใจเริ่มพองใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในหัวใจของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน เขาอธิบายไม่ถูกว่าความรู้สึกนี้มีที่มาจากสิ่งใด แต่มันเป็นลางบอกเหตุตามสัญชาตญาณในกายของเขา เขารู้สึกได้ว่าหากการต่อสู้ยืดเยื้อออกไปเช่นนี้ สุดท้ายแล้วจะเป็นตัวเขาเองที่พ่ายแพ้และเสียชีวิตในที่สุด
ไอ้วิญญาณจุติดวงดาราในตำนานนี่…ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเป็นเพราะสิ่งนี้เท่านั้น! เหตุใดข้าจึงรู้สึกกังวลใจถึงเพียงนี้กันนะ! ข้าต้องพลาดบางสิ่งไปแน่
จื่อเยว่เองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ความจริงแล้ว ความไม่สบายใจของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันนั้นมีต้นตอมาจากจื่อเยว่ นางเป็นผู้ใช้กระบวนเวทเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า ผู้ควบคุมกงกรรมแห่งจักรภพ ซึ่งแปลว่าความรู้สึกถึงอันตรายใหญ่หลวงของนางนั้นรุนแรงกว่าของโยวหรันเสียอีก นางรู้สึกเหมือนมีเคียวยมทูตกำลังพาดอยู่บนคอ พร้อมที่จะฟันลงมาได้ทุกวินาที
กระนั้น จื่อเยว่เองก็ยังเปิดหน้ามาโจมตีหวังเป่าเล่อไม่ได้ นางทำได้เพียงกัดฟันต่อสู้กับความต้องการที่จะเปลี่ยนแผนที่วางเอาไว้อย่างแยบยลเท่านั้น ความคิดนี้หยั่งรากลึกในจิตใจของนางขึ้นเรื่อยๆ จื่อเยว่ตัดสินใจได้ทันที นางจะทำตามแผนการขั้นสุดท้าย เพื่อพัฒนาพลังแห่งเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าของตนเองให้เร็วที่สุด นางจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อันหอมหวาน และพัฒนาขั้นปราณของตนให้รุดหน้าไปอีก จากนั้นนางจึงจะค่อยตัดสินใจว่าจะอยู่ที่แห่งนี้ต่อหรือจากไป!
นี่เป็นการตัดสินใจที่ยากยิ่ง เนื่องจากตัวนางเองต้องละทิ้งหลายสิ่งไป แผนการสำหรับอนาคตต้องถูกชะลอลงเช่นกัน แต่ความรู้สึกได้ถึงภัยร้ายทำให้นางต้องตัดใจเลือกทางนี้ จื่อเยว่ตะโกนออกคำสั่งโยวหรันในทันที คำสั่งของนางสะท้อนก้องในหัวของชายชรา!
“เลิกต่อสู้กับหวังเป่าเล่อ ใช้พลังชีวิตของเจ้าเป็นเชื้อเพลิงและเปลี่ยนมันเป็นพลังงานให้หมด ข้าจะเพิ่มพลังให้กับเจ้า เพื่อที่เจ้าจะได้ทำลายสหพันธรัฐ เปิดประตูแห่งกรรมออก ทำโชคชะตาของเจ้าให้เป็นจริง! โยวหรัน ตั้งแต่ที่เจ้าได้พบข้า โชคชะตาของเจ้าก็ถูกกำหนดไว้แล้ว เจ้าต้องทำลายอารยธรรมนี้ให้สิ้นซาก นี่คือ…ชะตาชีวิตที่ข้า จื่อเยว่ กำหนดให้เจ้า!”
ทันทีที่นางเอ่ยจบ ห้วงอวกาศใหญ่โตก็เริ่มบิดเบี้ยวเหนือความควบคุม ไม่มีใครรู้ว่านางทำได้อย่างไร แต่ลมหมุนคล้ายหลุมดำปรากฏขึ้นในอวกาศอย่างฉับพลัน!
ในลมหมุนนั้นมีอีกห้วงอวกาศอยู่ รวมถึงดวงดาวสีฟ้าสดใส…ดาวโลกนั่นเอง!
หลุมดำนั้นคือประตูที่เปิดไปสู่จุดอื่นในจักรวาล!
ภาพนั้นทำให้หวังเป่าเล่อผงะด้วยความตกใจ!
ดวงตาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเดือดพล่านด้วยแสงแรงกล้า เขาเริ่มพึมพำกับตนเอง
“ข้าจะทำตามโชคชะตาของข้าและทำลายอารยธรรมนี้เสีย นี่คือชะตาชีวิตข้า…ข้าต้องทำมันให้เสร็จสิ้นให้ได้!” เสียงพึมพำของเขาลอยสะท้อนไปในอากาศ ร่างกาย แก่นใน วิญญาณ และพลังปราณกลายเป็นเชื้อเพลิงที่ตัวเขาจุดให้โหมลุกเป็นไฟโดยไม่ลังเล ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะทันได้ซึมซับคำพูดของโยวหรัน ชายชราก็กลายร่างไปเป็นทะเลเพลิงพิโรธ
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเงยหน้าขึ้นมองฟ้าและคำรามอย่างบ้าคลั่ง ร่างของเขากำลังเผาไหม้อยู่ในทะเลเพลิง มือมายายักษ์ยื่นออกมาจากไฟทำลายล้าง ยืดยาวขึ้นจากสามร้อยเมตรไปเป็นสามร้อยกิโลเมตร ก่อนจะกลายเป็นสามแสนกิโลเมตร และสามล้านกิโลเมตร มันขยายขึ้นเรื่อยๆ จนใหญ่เท่าดาวเคราะห์ พุ่งเข้าไปยังพายุหมุนหลุมดำ มุ่งหน้าไปยังโลก…หมายจะคว้าดวงดาวสีฟ้าเอาไว้ในอุ้งมือ!
สถานการณ์ที่พลิกผันนี้เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ภาพในพายุหมุนแสดงให้เห็นดาวโลกที่เริ่มไร้ซึ่งสีสัน ดาวเคราะห์บ้านเกิดหวังเป่าเล่อกำลังถูกดูดพลังชีวิต ดาวที่เขาเกิดและเติบโต ที่ที่บิดามารดาของเขาอาศัยอยู่ ที่ที่มีทุกสิ่งที่เขารัก!
ดวงตาของชายหนุ่มกลายเป็นสีแดงฉาน ความรู้สึกมากมายไหลบ่าเข้าในดวงจิต ทำให้ขีดความสามารถที่แท้จริงของเขาถูกปลดออก ตราสัญลักษณ์เปลวไฟสีดำปรากฏขึ้นบนหน้าผากของชายหนุ่ม ก่อนกระจายไปทั่วทุกพื้นที่บนร่าง ตรานั้นมาพร้อมอาการปวดร้าว หวังเป่าเล่อกรีดร้อง ดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวดทรมาน จิตเชื่อมโยงระหว่างเขากับดาวพลูโตมั่นคงสมบูรณ์ในที่สุด!
ห้วงเวลาไพศาลที่ถือกำเนิดมาเนิ่นนานและไร้จุดสิ้นสุด กระโจนผ่านอวกาศกว้างใหญ่เข้ามาในใจของหวังเป่าเล่อ เขารู้สึกได้ถึงโลงศพและสิ่งที่อยู่ภายใน นี่คือพลังอำนาจของสำนักแห่งความมืด พลังที่แข็งแกร่งเกินจินตนาการแต่ก็ยินยอมให้เขารับไปได้ ความรู้สึกนี้นำมาซึ่งความอบอุ่นที่คุ้นเคย!
ราวกับเป็นความอบอุ่นของฝนที่ตกลงมาในฤดูใบไม้ผลิ มันเข้าหล่อเลี้ยงจิตใจและวิญญาณของเขา ปลดเปลื้องเขาออกจากพันธนาการของความเจ็บปวด และภัยอันตรายของการดันขีดจำกัดตนเองเพื่อปลดปล่อยพลังสูงสุด มันทำให้หวังเป่าเล่อมีแรงยกมือขวาขึ้นชี้ไปที่มือยักษ์ของโยวหรัน ซึ่งกำลังพุ่งเข้าหาโลกอันเป็นที่รัก!
“ดวงวิญญาณ จงมา!”
ในตอนนั้นเอง ดาวพลูโตก็เริ่มสั่นสะท้าน พื้นผิวที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งยุบตัวลง รอยแยกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนผิวดาว กระแสพลังปราณพวยพุ่งออกจากรอยแยกนั้น พลังที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ใต้ดินมาหลายหมื่นหลายพันปีหรืออาจนานกว่านั้น บัดนี้กำลังพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบนด้วยปีกแห่งความเป็นอิสระเสรี!
……………………………