หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 725 กำจัดให้สิ้นซาก!
ห้วงจักรภพสั่นสะท้านด้วยกระแสพลังปราณที่พวยพุ่งออกจากดาวพลูโต กระจายไหลหลากไปทั่วระบบสุริยะ!
ในวินาทีนั้น ดาวพลูโตกลายเป็นศูนย์กลางระบบสุริยะไปชั่วขณะ กระทั่งแสงอาทิตย์ยังอ่อนลงไปไม่น้อยเมื่อกระแสปราณมหาศาลไหลบ่าออกจากดาวพลูโต พื้นผิวของดาวดวงสุดท้ายในระบบสุริยะสั่นสะเทือนราวกับกำลังจะพังทลาย รอยแยกปรากฏขึ้นบนพื้นน้ำแข็ง แตกร้าวลึกและขยายอาณาเขตออกเรื่อยๆ เหมือนเป็นใยแมงมุมยักษ์ ภายในพริบตา…รอยแตกเหล่านั้นก็คลุมไปทั่วผิวดาว
หมอกสีดำพวยพุ่งออกจากทุกซอกทุกมุมของรอยแตก เข้าห่อหุ้มดาวเอาไว้ทั้งดวง ดาวพลูโตมืดมิดหายไปจากสายตา สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ให้มอง…คือก้อนหมอกสีดำยักษ์ในอวกาศ!
หมอกมืดปั่นป่วนสะท้าน เริ่มเปลี่ยนรูปร่างจากทรงกลมไปเป็นบางสิ่งที่ยาวกว่า เมื่อการกลายสภาพสิ้นสุดลง…สิ่งเดียวที่เหลืออยู่บนห้วงอวกาศคือโลงศพยักษ์ขนาดมหึมา!
โลงศพนี้เก่าแก่จนนับเวลาไม่ได้ กลิ่นอายแห่งความโบราณเหนือกาลเวลาแผ่ออกมาทันทีที่มันอุบัติขึ้นในอวกาศมืดมิด พลังปราณหลั่งไหลเข้าสู่ห้วงจักรวาลโดยรอบ เสียงเพลงโบราณของสำนักแห่งความมืดลอยจากโลงศพมาเข้าหู!
เพลงนี้แปลกประหลาดและแพร่กระจายไปได้ไกล ภายในชั่วอึดใจเดียว ทั้งระบบสุริยะก็เสนาะไปด้วยท่วงทำนองนี้ ทั้งบนดาวอังคารและโลก สิ่งมีชีวิตทุกชนิดในจักรภพ กระทั่งเหล่าผู้อาวุโสที่กำลังนิทราอยู่ที่ปลายกระบี่สำริดเขียวโบราณก็ยังหลบบทเพลงนี้ไม่พ้น…ท่วงทำนองนี้สดับเข้าโสตประสาทของทุกสิ่งทุกอย่าง ชัดเจนแจ่มแจ้งทุกถ้อยคำ!
“เมื่อสวรรค์และพื้นพิภพแยกจากกัน กงล้อแห่งโชคชะตาหยุดนิ่ง…”
“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่บังเกิดในอดีต เขาผู้ซึ่งทนทุกข์นั้น…”
“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่จะเกิดในอนาคต เขาผู้ซึ่งทำงานหนักนั้น…”
ท่วงทำนองแห่งความตายกังวานไปทั่วดาราจักร ดวงเคราะห์ทุกดวงในระบบสุริยะพลันหยุดนิ่งอยู่กับที่ พวกมันหยุดโคจรรอบดวงอาทิตย์และหยุดหมุนรอบตนเอง ดาวหางและมวลฝุ่นในห้วงอวกาศปราศจากการเคลื่อนไหว ทุกกฎของจักรวาลตกอยู่ภายใต้การควบคุมของบทเพลงนี้ ไม่อาจกลับไปทำหน้าที่ของตนเองตามปกติได้อีกต่อไป
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่อยู่ภายใต้วัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ล้วนถูกบทเพลงจากโลงศพเข้าครอบงำทั้งสิ้น ทั้งระบบสุริยะกลายเป็นภาพเขียนที่ถูกหยุดนิ่งอยู่ในห้วงหนึ่งของกาลเวลา!
ในภาพเขียนนี้มีสิ่งมีชีวิตทุกชนิด มีดาวทุกดวง มีทุกจิตวิญญาณ และแน่นอนว่าย่อมมีทั้งโยวหรันและจื่อเยว่…อยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน!
แต่กลับไม่มีหวังเป่าเล่อ
ในฐานะบุตรแห่งความมืด เขาอยู่เหนือกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติทั้งปวง หวังเป่าเล่อไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพวาดวิจิตร หากแต่เป็นผู้ที่ยืนพินิจมัน
ชายหนุ่มยืนอยู่บนดาวซีรีส มองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว ประสาทสัมผัสของเขาทอดยาวลึกซึ้งตามอำนาจบทเพลงที่แพร่กระจายออกไปไกล ราวกับเขาสามารถมองเห็นทั้งระบบสุริยะได้ด้วยการมองเพียงปราดเดียว
ชายหนุ่มเห็นดาวเคราะห์ เม็ดฝุ่น และชีวิตมากมายหลายล้านชีวิต ในทุกชีวิตนั้น เขาเห็นเงามืดพร่าเลือนที่หมุนวนรอบกายพวกเขา เงามืดพร่าเลือนนั้น…คือสิ่งที่สำนักแห่งความมืดรู้จักดีในฐานะดวงวิญญาณ เป็นสิ่งที่บอกถึงการมีชีวิตอยู่!
หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าหากเขาต้องการเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณนับล้านล้านด้วงในระบบสุริยะนี้ เขาก็แค่ต้องคิดเท่านั้น ไม่มีกฎใดในจักรภพอันกว้างใหญ่นี้ที่จะหยุดเขาไม่ให้ทำเช่นนั้นได้ กระทั่งเต๋าสวรรค์ยังทำได้เพียงเฝ้ามองอย่างเงียบเชียบ ไร้ซึ่งอำนาจที่จะหยุดยั้งเขา!
“ข้าอาจไม่ทรงพลังพอที่จะทำเช่นนั้นได้ในตอนนี้ แต่…ทางที่ข้าเลือกเดินจะทำให้ข้าใช้พลังนี้ได้สำเร็จในวันหนึ่งแน่นอน ข้ามั่นใจว่าจะทำได้ก่อนที่จะพัฒนาขีดความสามารถของตนเองไปจนสุดด้วยซ้ำ!” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเองขณะมองภาพวาดระบบสุริยะเบื้องหน้า เขารู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าหากพลังปราณของตนสูงกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เขาอาจทำได้แม้กระทั่ง…เปลี่ยนกฎที่ควบคุมจักรภพนี้ได้เสียด้วยซ้ำ
เขาสามารถเปลี่ยนที่ตั้งของดวงดาว ตัดสินใจได้ว่าดวงใดควรอยู่นิ่ง ดวงใดควรโคจรรอบดวงอาทิตย์ เขาจะทำได้แม้กระทั่งสั่งให้ดวงอาทิตย์หยุดฉายแสง ทำลายมันเป็นชิ้นๆ เปลี่ยนโครงสร้างของมันจากแก่นใน เขาจะเปลี่ยนได้ทุกสิ่งที่ตนต้องการ ทุกสิ่งในระบบสุริยะแห่งนี้!
“แบบนี้เองสินะ สำนักแห่งความมืดถึงได้น่าเกรงขามเหนือใคร” หวังเป่าเล่อกระซิบกับตนเอง เข้าใจอำนาจที่แท้จริงของสำนักแห่งความมืดอย่างแจ่มแจ้ง
สำนักแห่งความมืดเปรียบเสมือนปากกาที่มอบอำนาจในการเปลี่ยนความจริงให้ผู้ที่ถือมัน!
พวกเขาไม่ได้มีเพียงอำนาจควบคุมความตายของคนในฐานะเต๋าสวรรค์เท่านั้น…แต่ยังมีอำนาจเปลี่ยนเต๋าสวรรค์ได้ด้วย แม้สำนักแห่งความมืดจะดูเหมือนกลุ่มอำนาจที่ทำงานรับใช้เต๋าสวรรค์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว…เต๋าสวรรค์ต่างหากที่เป็นวัตถุเวทของสำนักแห่งความมืด วัตถุเวทที่มอบอำนาจการเปลี่ยนกฎแห่งจักรวาลได้ตามใจนึก!
แม้แต่สำนักแห่งความมืดที่ทรงพลังถึงเพียงนี้ยังจบสิ้นลงได้ แต่ต่อให้สำนักกลายเป็นเพียงประวัติศาสตร์ไปแล้ว พลังของมันที่ยังคงอยู่ในจักรวาลแห่งนี้ ก็ยังมีอำนาจเปลี่ยนหลายสิ่งหลายอย่างได้เช่นกัน… โลงศพที่ฝังอยู่ในดาวพลูโตมานานเท่าใดก็ไม่มีใครทราบโลงนี้ ถือเป็นหนึ่งในขุมพลังอันยิ่งใหญ่ที่หลงเหลืออยู่ของสำนักแห่งความมืด!
ชายหนุ่มตกอยู่ในความเงียบงัน เขารู้ดีว่าพลังที่โลงศพแผ่ออกมานั้นเป็นของใคร มันจะเป็นของใครไม่ได้นอกจากอาจารย์ของเขานั่นเอง!
ความทรงจำของเขาในมิติมืดทำให้เขารู้ความจริงข้อนี้ดี โลงศพนี้เป็นหนึ่งในแผนการที่อาจารย์วางไว้ให้เขา สำหรับเขาแต่เพียงผู้เดียว อาจารย์ของเขาบิดอำนาจแห่งเต๋าด้วยวิธีการใดก็ไม่อาจทราบได้ เพื่อส่งโลงศพนี้ผ่านเวลาและอวกาศมาอุบัติขึ้นภายในดาวพลูโต
หวังเป่าเล่อที่จิตใจหนักอึ้งด้วยความรู้สึกขอบคุณและความเศร้าโศก เริ่มสำรวจดูผู้คนในภาพระบบสุริยะเบื้องหน้า ดวงตาของเขากวาดผ่านทุกคน มาหยุดอยู่ที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน
ชายหนุ่มมองดวงวิญญาณของโยวหรัน เพื่อดูว่าใครกันแน่ที่สิงสู่อยู่ในดวงวิญญาณนั้น เป็นจื่อเยว่นั่นเอง!
การมีอยู่ของจื่อเยว่แตกต่างจากผู้อื่น นางไร้ซึ่งกายหยาบ เป็นเพียงเมล็ดพันธุ์วิญญาณมายาบางเบาที่เร้นกายอยู่ภายในวิญญาณของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน
หวังเป่าเล่อกวาดตามองทั่วทั้งระบบสุริยะอีกครั้ง เขาพิจารณาเรือบินรบเต๋ามรณะและกระบี่สำริดเขียวโบราณ ร่างจริงของจื่อเยว่ไม่ได้อยู่ในที่ใดจากทั้งสองที่ แต่สิ่งที่เขาเจอ…กลับเป็นเส้นด้ายที่บางเบาจนแทบมองไม่เห็นที่เชื่อมโยงเข้ากับเมล็ดพันธุ์ดวงวิญญาณของนาง และยืดขยายออกไกลนอกระบบสุริยะ
ข้าเข้าใจแล้ว จื่อเยว่ตัวจริงไม่ได้อยู่ที่นี่ สิ่งที่เรากำลังต่อกรด้วยคือเมล็ดพันธุ์วิญญาณของนางต่างหาก!
หวังเป่าเล่อหรี่ตา สายตาคมกริบไล่ตามเส้นด้ายพยายามที่จะมองไปยังจักรวาลอันไกลโพ้น แต่เขาก็จับไม่ได้ว่าปลายทางของเส้นด้ายนั้นอยู่ที่ใด แววเย็นเยียบวาบเข้ามาในแววตาของชายหนุ่ม เขายกมือขวาขึ้นชี้ไปที่โยวหรัน!
โลงศพบนดาวพลูโตสั่นสะท้าน ฝาโลงค่อยๆ เปิดออกทีละน้อย บทเพลงที่ขับขานยิ่งทวีความดังขึ้นอีก ตามมาด้วยแขนสีดำสนิทที่ยื่นออกจากโลงศพนั้น มันขยายขนาดจนมโหฬาร ยื่นเข้าไปในภาพวาดระบบสุริยะหมายจะคว้าตัวโยวหรัน!
แขนยักษ์สีดำนั้นรวดเร็วมาก มันข้ามจักรวาลกว้างใหญ่ในพริบตามาปรากฏตรงหน้าเป้าหมาย มันยื่นเข้าไปในกายโยวหรัน จับวิญญาณของเขาและเมล็ดพันธุ์ดวงวิญญาณของจื่อเยว่ที่อยู่ในวิญญาณเอาไว้โดยไร้ซึ่งความลังเล!
ทั้งโยวหรันและเมล็ดพันธุ์ดวงวิญญาณของจื่อเยว่หมดสิ้นซึ่งอำนาจเมื่อเผชิญหน้ากับมือยักษ์ ไร้ซึ่งความสามารถในการขัดขืน จนหลุดออกจากร่างของโยวหรันได้โดยง่าย ก่อนจะถูกดึงหายเข้าไปในโลงศพ
ทุกสิ่งเกิดขึ้นภายในพริบตา ชั่วครู่เดียวมือยักษ์ก็กลับไปอยู่ในโลงศพอีกครั้ง ฝาโลงปิดลงเสียงดังตึง และหมอกมืดหนาก็เริ่มจางหาย โลงศพกลายสภาพกลับเป็นหมอกดำ แทรกซึมชอนไชเข้าไปในดาวพลูโตดังเดิมตามทางที่มันออกมา จากนั้นรอบแตกใยแมงมุมบนดาวก็ปิดสนิทราบเรียบอีกครั้ง
ราวกับทุกสิ่งไม่เคยเกิดขึ้น!
ดาวพลูโตกลับไปอยู่ในสภาพเดิม ดาวเคราะห์น้อยใหญ่ในระบบสุริยะเริ่มโคจรอีกครั้ง ฝุ่นธุลีเริ่มลอยอย่างไร้จุดหมายในห้วงความเวิ้งว้าง แสงอาทิตย์กลับมาสว่างเจิดจ้าไปทั่วดาราจักร ทุกสิ่งกลับมาอยู่ในถ่วงทำนองแห่งการมีชีวิตดังเดิม!
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดอาจเป็น…ความจริงที่ว่าไม่มีใครสักคนเดียวล่วงรู้ ว่าเวลาได้หยุดลงชั่วขณะ ไม่แน่ว่าสิ่งเดียวที่ได้รับรู้ความจริงข้อนี้ และได้เห็นความลับที่ซุกซ่อนอยู่ภายในระบบสุริยะ ก็คือร่างของโยวหรันที่ชีวิตดับลงแล้วนั่นเอง!
ร่างของโยวหรันเหี่ยวย่นลงในทันที และดับสลายกลายเป็นเถ้าถ่านพัดกระจายไปทั่วอวกาศ รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับแถบดาวเคราะห์น้อย
ทั้งร่างกายและวิญญาณของเขาดับสลายอย่างไร้ร่องรอย!
ความตายของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันทำให้แสงในดวงตาของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นบนดาวอังคารดับวูบลง พวกเขาร่วงลงกลับพื้นกลายเป็นเศษธุลี เพราะชีวิตถูกผูกติดอยู่กับการมีอยู่ของโยวหรัน
เมี่ยเลี่ยจื่อและคนอื่นๆ ที่ถูกควบคุมจิตใจตัวสั่นเทิ้ม สติกลับมาแจ่มชัดอีกครั้ง!
อำนาจที่อ่อนแอลงของอภิมหาวงแหวนปราณระบบสุริยะ ทำให้ไม่มีใครได้เห็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างหวังเป่าเล่อและโยวหรัน กระนั้นเมื่อผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐที่อยู่บนดาวอังคารทุกคนเห็นคนจากตระกูลไม่รู้สิ้นกลายเป็นธุลีดิน และเห็นเมี่ยเลี่ยจื่อกับคนอื่นๆ กลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง ความตื่นเต้นปีติก็ล้นเอ่อขึ้นมาในดวงตา พวกเขาเดาได้ทันทีว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
แต่ก็ไม่มีทางยืนยันได้ทันทีว่าสิ่งที่คิดนั้นถูกหรือไม่ กระนั้นสิ่งเดียวที่แน่นอนก็คือ สงครามที่อาจทำให้สหพันธรัฐต้องสูญสิ้น…ได้ปิดฉากลงแล้วในที่สุด!
ตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อก็กระอักเลือดออกมาและร่วงลงบนพื้น อาการบาดเจ็บที่แบกรับเอาไว้บนบ่าทั้งหมดจากการใช้พลังเกินตัว เบาบางลงเมื่อได้รับการเยี่ยวยาจากอาจารย์ก็จริง แต่การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสไม่มีชิ้นดี ดังนั้นเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว ความตึงเครียดตื่นตัวจากการรบก็ไหลออกจากร่าง ชายหนุ่มทนยืนอยู่ไม่ได้อีกต่อไปและหมดสติไปในทันที
ในตอนนั้นเอง…ณ ที่แห่งหนึ่งซึ่งไกลแสนไกลจากระบบสุริยะ มีดาราจักรหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของดวงดาวแปลกประหลาดดวงหนึ่ง ดาวเคราะห์ดวงนี้เต็มไปด้วยเถาวัลย์ เลือด และเนื้อปกคลุมอยู่ทั่วทุกพื้นผิว เป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง หากมองใกล้ๆ จะเห็นว่าจุดหนึ่งบนผิวดาวที่อยู่ท่ามกลางกองเถาวัลย์ เลือด และเนื้อ มีใบหน้าหนึ่งที่หลับตาพริ้มปรากฏอยู่
แม้ใบหน้านั้นจะดูไม่แจ่มชัดนัก แต่มองปราดเดียวก็รู้ทันที…ว่าเป็นจื่อเยว่!
ดวงตาของนางเปิดออก ในดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยมิติมากมาย และดวงตาอีกหลายหมื่นคู่ซ้อนทับกันอยู่ภายใน ในดวงตาแต่ละดวงมีร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่ ทันใดนั้นร่างๆ หนึ่งก็เกิดรอยร้าวและแตกสลาย
“หวังเป่าเล่อหรือ”
……………………………..