หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 726 ปฏิบัติการนกนางแอ่นดำ!
ในปีที่ 48 ของยุคกำเนิดวิญญาณ สงครามระหว่างสำนักวังเต๋าไพศาลและสหพันธรัฐได้อุบติขึ้น
ห้าเดือนต่อมาสงครามก็สิ้นสุดลง ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาล นำโดยเมี่ยเลี่ยจื่อ เลือกที่จะยอมแพ้ไปในที่สุด
สงครามครั้งนี้สั้นนัก แต่กลับดุเดือดโชกเลือดไปด้วยความตายของผู้คนมากมาย จุดจบของมันเป็นเรื่องลึกลับที่แทบไม่มีใครล่วงรู้
เนื่องจากไม่มีผู้ใดมีโอกาสได้เฝ้าติดตามการต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นจริงจึงยังคงเป็นความลับ ที่นำมาซึ่งข่าวลือมากมายว่าแท้จริงแล้วสงครามนี้ปิดฉากลงอย่างไร
ข่าวลือแพร่กระจายจากคนหนึ่งไปสู่อีกคน ในระหว่างนี้การฟื้นฟู ทำความสะอาด และสร้างสิ่งใหม่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง สิ่งแรกที่ต้องจัดการคือจะทำอย่างไรกับผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่ยอมจำนนในฐานะผู้แพ้สงคราม ร้อยละสามสิบของผู้ฝึกตนที่รอดชีวิตถูกตัดสินว่าทำความผิดร้ายแรงอุกฉกรรจ์ ต้วนมู่ฉีเป็นผู้ประกาศโทษของพวกเขาเหล่านั้นให้ทราบโดยทั่วกันต่อหน้าทุกชีวิตในสหพันธรัฐต้วนมู่ฉี พวกเขาต้องโทษประหารชีวิต!
บทลงโทษนี้ร้ายแรงเกินจะเอ่ย แต่ประชาชนสหพันธรัฐทุกคนต้องการสิ่งนี้ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะปล่อยให้ผู้ที่เข้ามารุกรานอาณาจักรของตนยอมแพ้ไปโดยไม่ได้รับบทลงโทษที่สาสม และต้วนมู่ฉีก็ยอมรับผลที่ตามมาจากการสังหารหมู่ผู้คนเหล่านี้ทุกประการ!
นอกจากนี้ผู้ฝึกตนชั้นสูงจากสำนักวังเต๋าไพศาลทุกคนจะถูกจองจำด้วยคำสาปแห่งวิทยาศาสตร์การวิญญาณ อันเป็นผลลัพธ์มาจากการค้นคว้าของเจ้าผินฟาง พวกเขาเหล่านี้จะไม่เป็นภัยต่อสหพันธรัฐอีกต่อไป โดยคำสาปนี้จะติดกายอยู่ถึง ห้าร้อยปีด้วยกัน!
หลังจากผ่านไปครบห้าร้อยปีจึงจะถือว่าพ้นโทษ และได้รับการปลดปล่อยจากคำสาป สถานะและการโดนควบคุมจิตใจของเมี่ยเลี่ยจื่อทำให้เขาได้รับการยกเว้นเป็นพิเศษ สหพันธรัฐลังเลว่าควรตัดสินโทษเขาอย่างไรดี แต่เมี่ยเลี่ยจื่อให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะกลับไปเฝ้าสำนักวังเต๋าไพศาลจนกว่าชีวิตจะหาไม่ และจะไม่มีวันออกจากสำนักอีกนอกเสียจากว่าสหพันธรัฐจะเรียกตัว
สำหรับการซ่อมแซมบ้านเมืองนั้น สำนักวังเต๋าไพศาลจะมอบทรัพยากรเท่าที่ตนเองมีให้สหพันธรัฐ รวมถึงการเข้าถึงบันทึกประวัติศาสตร์ต่างๆ และกระบวนเวททุกประเภทด้วย สหพันธรัฐมีสิทธิ์ทุกประการที่จะเข้าไปยังพื้นที่ของสำนักวังเต๋าไพศาล ผู้ฝึกตนทุกคนสามารถเข้าออกกระบี่สำริดเขียวโบราณได้อย่างอิสระ แต่แน่นอนว่าด้วยการยืนกรานอย่างแข็งขันของเฟิ่งชิวหรัน… บริเวณที่ลึกที่สุดของกระบี่ยังคงสภาพเป็นพื้นที่ต้องห้ามต่อไป ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในบริเวณนั้น เนื่องจากอาจไปรบกวนการจำศีลของเหล่าผู้อาวุโสประจำสำนักได้
ต่อมาก…ข้อเสนอของหวังเป่าเล่อที่ให้สร้างกลุ่มพันธมิตรก่อนที่จะเกิดสงคราม ถูกนำกลับมาพิจารณาอีกครั้ง ต้วนมู่ฉีให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เขาเรียกเหล่าชนชั้นนำจากสหพันธรัฐรวมถึงเฟิ่งชิวหรัน เข้าหารือเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งสองฝ่ายเพิ่มรายละเอียดเล็กน้อยเข้าไปในแผนการดั้งเดิม และตกลงกันว่าจะสร้างกลุ่มพันธมิตรขึ้นมา
ปีที่ 49 ของยุคกำเนิดวิญญาณ กลุ่มพันธมิตรระบบสุริยะก็ได้ถือกำเนิดขึ้น ถือเป็นนิมิตหมายของยุคสมัยใหม่ นามว่ายุคสุริยะ!
ในตอนนี้กลุ่มพันธมิตรระบบสุริยะมีสมาชิกเพียงสองอารยธรรมเท่านั้น คือสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาล ข้อบัญญัติของการรวมกลุ่มพันธมิตรระบุไว้ว่า สหพันธรัฐเป็นอารยธรรมเดียวที่ถือว่าเป็นสมาชิกลำดับหนึ่งในกลุ่มพันธมิตรตลอดไป และมีอำนาจในการเปลี่ยนหรือปัดตกการตัดสินใจใดๆ ที่กลุ่มพันธมิตรตกลงร่วมกัน สำนักวังเต๋าไพศาลมีสถานะเป็นผู้สมาชิกลำดับสองเท่านั้น
กฎนี้ทำให้สหพันธรัฐมีอำนาจเหนือสำนักวังเต๋าไพศาล หากเป็นเมื่อก่อนสำนักวังเต๋าไพศาลคงไม่มีวันยอมรับข้อตกลงนี้แน่นอน แม้แต่ตัวเฟิ่งชิวหรันเองที่คิดจะสร้างกลุ่มพันธมิตรกับสหพันธรัฐอยู่ตลอดก็ย่อมต้องการดันให้สำนักของตนมีอำนาจลำดับหนึ่งแน่นอน ทว่าสงครามและพลังอำนาจที่สหพันธรัฐสำแดงให้เห็นระหว่างสงครามทำให้นางเปลี่ยนใจ ทั้งตัวนางและสำนักวังเต๋าไพศาลเริ่มมองสหพันธรัฐด้วยความยำเกรงมากกว่าเดิมเป็นอย่างมาก ทุกคนยอมรับในอำนาจของสหพันธรัฐ และเหตุผลหลักของความเปลี่ยนแปลงนี้ก็ยังเป็น…หวังเป่าเล่อ!
พลังของเขาและการต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับโยวหรันซึ่งยังเป็นความลับ ทำให้เฟิ่งชิวหรันยอมตกลงประทับตราในสัญญาการสร้างกลุ่มพันธมิตร ต่อให้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นระหว่างการต่อสู้ครั้งสุดท้ายก็ตาม
จุดเริ่มต้นอันหอมหวานระหว่างสำนักวังเต๋าไพศาลและสหพันธรัฐเปิดฉากขึ้นด้วยการสร้างกลุ่มพันธมิตร การพูดคุยแลกเปลี่ยนระหว่างสองอารยธรรมเริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ ความรู้ด้านการฝึกปราณและเคล็ดวิชาจากสำนักเต๋าไพศาลมีค่าล้นเหลือสำหรับสหพันธรัฐ เมื่อมีการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างสองอารยธรรม จึงทำให้วิทยาศาสตร์การวิญญาณเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว
สำนักวังเต่าไพศาลเองก็ได้ประโยชน์จากการเชื่อมสัมพันธ์นี้เช่นกัน ความรู้ด้านโครงสร้างขนาดใหญ่ต่างๆ ที่สหพันธรัฐมี เช่น เครือข่ายวิญญาณ รวมถึงทรัพยากรในการใช้ชีวิตประจำวัน เป็นประโยชน์ต่อผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลมาก เมื่อกฎหมายการย้ายถิ่นฐานของทั้งสองดินแดนเปิดเสรีมากยิ่งขึ้น ผู้ฝึกตนจากทั้งสองอาณาจักรก็เริ่มเดินทางออกไปตั้งรกรากใหม่
การสร้างอาคารบ้านเรือนขึ้นใหม่เดินหน้าไปอย่างราบรื่น เมื่อได้แรงสนับสนุนจากสำนักวังเต๋าไพศาล การฟื้นฟูดาวอังคารก็เดินหน้าไปอย่างไร้อุปสรรค การขุดค้นลึกลงไปในดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูนประสบความสำเร็จด้วยดีด้วยการช่วยเหลือกันระหว่างสองฝ่าย ดาวเคราะห์ใหม่เหล่านี้กลายเป็นฐานที่มั่นใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างสองอารยธรรมที่เบ่งบาน จนอาจเรียกได้ว่าเมืองใหม่เหล่านี้ คือเมืองแห่งอิสระเสรีที่แรกๆ ในระบบสุริยะอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ยังมีดาวพฤหัสบดีด้วย… หลังจากที่คิดสะระตะอยู่สักพัก สำนักวังเต่าไพศาลก็ตัดสินใจไม่พูดถึงดาวพฤหัสบดี และสหพันธรัฐก็ใช้อำนาจของตนในฐานะสมาชิกลำดับหนึ่งจัดดาวพฤหัสและแถบดาวเคราะห์น้อยที่อยู่ใกล้เคียงให้เป็นพื้นที่ต้องห้าม!
มีน้อยคนนักที่เข้าใจคุณค่าที่แท้จริงของการตัดสินใจครั้งนี้ แต่ไม่ใช่หลี่ซิงเหวิน ต้วนมู่ฉี และผู้ฝึกตนชั้นสูงจากสหพันธรัฐคนอื่นๆ พวกเขาขอคำแนะนำจากหวังเป่าเล่อและเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี ทุกคนพร้อมตีเส้นกั้นบริเวณนั้นให้กลายเป็นพื้นที่ต้องห้าม เพื่อสร้างสถานที่ที่เป็นของหวังเป่าเล่อเพียงคนเดียวเท่านั้นในระบบสุริยะ
การถือกำเนิดของกลุ่มพันธมิตรในครั้งนี้นำมาซึ่งชีวิตใหม่และโอกาสมากมาย การหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวของทั้งสองอารยธรรมทำให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นนับไม่ถ้วน อารยธรรมของทั้งสองพัฒนาก้าวกระโดดอย่างไม่หยุดยั้ง ในขณะเดียวกันหวังเป่าเล่อก็ได้รับการยอมรับจากผู้คนทั้งอาณาจักร เขาไม่ได้เป็นแค่วีรบุรุษ แต่ทุกชีวิตไล่ตั้งแต่ประชาชนคนเดินดินทั่วไป ไปจนถึงชนชั้นปกครองของสหพันธรัฐ กระทั่งในสำนักวังเต๋าไพศาลเอง ยังรู้กันถ้วนหน้าว่าชายผู้นี้คือคนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำสหพันธรัฐคนต่อไป เขาจะก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดในฐานะผู้นำของกลุ่มพันธมิตรระบบสุริยะ!
แต่นั่นคงไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ เนื่องจากทั้งสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลเพิ่งเริ่มรวมอารยธรรมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว ยังมีภารกิจอีกมากที่ต้องทำเพื่อให้การรวมตัวกันเสร็จสมบูรณ์ พวกเขาต้องสร้างสิ่งปลูกสร้างใหม่ ร่างกฎหมายและข้อปฏิบัติ ตัดสินใจร่วมกันว่าจะแบ่งกำไรกันอย่างไร มีภาระหน้าที่น่าเบื่อหน่ายอีกมากที่ต้องทำให้เสร็จสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น ต้วนมู่ฉีก็ไม่ต้องการให้หวังเป่าเล่อต้องมานั่งจัดการกับสถานการณ์วุ่นวายโกลาหลเช่นนี้ ทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง เขาอยากเป็นคนจัดการเรื่องน่าเบื่อเหล่านี้ให้เสร็จสิ้นไปเสีย ต้วนมู่ฉีอยากสะสางการเมืองภายในสหพันธรัฐ อันเกิดจากกลุ่มอำนาจภายในมากมายที่แย่งชิงอำนาจกันเองให้หายยุ่งเหยิงเสียก่อน โดยตั้งใจว่าจะตัดเนื้อร้ายนี้ออกจากแกนกลางของสหพันธรัฐให้เหี้ยนเตียน ต้วนมู่ฉีจะใช้อำนาจที่เขาได้มาจากการชนะสงครามเพื่อรวมอำนาจเข้าไว้ที่ศูนย์กลางในมือผู้นำสหพันธรัฐเพียงผู้เดียว จากนั้นเขาจึงจะมอบอาณาจักรอันไร้ซึ่งปัญหาและอุปสรรคที่เกิดใหม่นี้ให้หวังเป่าเล่อ!
หวังเป่าเล่อแทบรอที่จะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐไม่ไหว แต่เขาก็เข้าใจถึงความปรารถนาดีของต้วนมู่ฉี หลังจากฟื้นตัวจากการต่อสู้กับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันแล้ว ชายหนุ่มก็กลับมายังโลก เขาใช้เวลาอยู่กับบิดามารดา มีความสุขกับการใช้ชีวิตที่แสนปกติธรรมดา ฝังคำถามและเรื่องราวที่เกิดหลังจากการต่อสู้กับโยวหรันที่ยังหาคำตอบไม่ได้เอาไว้ภายในใจ ชายหนุ่มเก็บความอึดอัดไม่สบายใจนี้ไว้เงียบๆ คนเดียว ไม่ต้องการที่จะขุดมันขึ้นมาคิดอีก
เขาบอกตนเองให้มีความสุข ล้างสมองตนเองอย่างเงียบๆ จนค่อยๆ ลืมปัญหาที่หยั่งรากลึกเหล่านั้น เขาเริ่มตั้งหน้าตั้งตารอการประกาศจากทางการ ว่าตนเองคือผู้นำสหพันธรัฐคนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
ชีวิตของเขากับบิดามารดานั้นสงบเรียบง่ายยิ่งนัก นอกจากการอยู่เคียงข้างทั้งสองแล้ว สิ่งที่หวังเป่าเล่อชอบมากที่สุดคือการแอบนำลาของตนออกไปข้างนอก เขาจะไปแอบฟังผู้คนคุยกัน ฟังการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน และเฝ้าดูสีหน้ารักใคร่ของผู้คนขณะพูดถึงเขา
ชายหนุ่มทำแม้กระทั่งปิดบังตัวตนออกไปข้างนอก ทำตัวเป็นผู้ถูกกลั่นแกล้ง ก่อนจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงในตอนหลัง และซึมซับสีหน้าตกใจของคู่กรณีเมื่อรู้ว่าเขาเป็นใคร แต่หลังจากที่ทำแบบนั้นซ้ำๆ หลายต่อหลายครั้ง เจ้าลาก็เริ่มเบื่อหน่าย ส่วนตัวเขาเองก็พบว่าการทำเช่นนี้ช่างแสนไร้ประโยชน์ หลังจากที่คิดอยู่สักพัก ชายหนุ่มก็เริ่มประท้วงเรื่องความเป็นชายโสดของตนให้มารดาฟัง ไม่นานนักมารดาของเขาก็เริ่มนัดจับคู่เขากับหญิงสาวมากหน้าหลายตา
แม้มารดาของเขาจะรู้ว่าลูกชายตนยอดเยี่ยมเพียงใด แต่ในสายตาของนาง เขาก็ยังเป็นเด็กน้อยคนเดิมเสมอ นางค่อยๆ เลือกเฟ้นว่าที่ลูกสะใภ้ ส่วนชายหนุ่มก็เริ่มพาลาของตนไปนัดดูตัวด้วย ซึ่งถือเป็นประสบการณ์แสนสนุกเรื่องใหม่ของเขา
จากนั้นกระต่ายน้อยก็มาเยี่ยม หวังเป่าเล่อจึงทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากเลิกนัดดูตัวเสีย แต่เขาก็ยังมีความสุขกับการใช้เวลากับกระต่ายน้อย การทำวิจัยร่วมกันของพวกเขาทำให้ชายหนุ่มมีความสุขเป็นอันมาก
แต่ความสุขนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน ต่อมา…หลี่หว่านเอ๋อร์ก็มาเยี่ยมเยียน อารมณ์สุขใจของหวังเป่าเล่อแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวในทันที เขาเริ่มปวดศีรษะตุบ เวลาเดินหน้าผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนครบสามเดือน การดำเนินการของกลุ่มพันธมิตรเป็นไปอย่างราบรื่น และการฟื้นฟูบ้านเมืองก็ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว หลังจากที่ทุ่มเทกำลังกายกำลังใจทั้งหมดลงไป ต้วนมู่ฉีก็จัดระเบียบสหพันธรัฐได้สำเร็จในที่สุด ทุกสิ่งอย่างชี้ไปที่การเริ่มต้นใหม่อันสวยงาม ส่วนหวังเป่าเล่อก็นั่งเท้าคางเฝ้ารอด้วยความตื่นเต้น ทว่าในตอนนั้นเอง…
สหายมากมายของชายหนุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเยี่ยเหมิง หลิวต้าวปิน หลี่อู๋เฉิน จินตั้วหมิง หลินเทียนหาว และกงเต๋า ต่างมาเคาะประตูเยี่ยมเยียนเขาเพื่อบอกลา
พวกเขาไม่ได้บอกว่าตนเองจะจากไปที่แห่งใด บอกเพียงว่าจะไปทำภารกิจลับเท่านั้น และภารกิจนี้ก็อาจกินเวลาสั้นหรือยาวมากก็เป็นไปได้
ก่อนหน้านี้เจ้าเยี่ยเหมิงไม่ได้เข้าร่วมภารกิจด้วย เนื่องจากนางเป็นถึงบุตรสาวของเจ้านครดาวอังคารและเจ้าผินฟาง นางจึงมีอนาคตที่สดใสรุ่งโรจน์ในสหพันธรัฐและกลุ่มพันธมิตร แต่เจ้าเยี่ยเหมิงเลือกที่จะจากไปและเข้าร่วมภารกิจนี้ด้วยตนเอง ไม่มีใครทราบว่าเพราะเหตุใดนางจึงตัดสินใจเช่นนี้ นำเสียงของนางเย็นเยียบขณะมาบอกลาชายหนุ่ม นางทำแม้กระทั่งมองจิกเขาก่อนจะจากไป
ความไม่เป็นมิตรรุนแรงในแววตาของนางทำให้หวังเป่าเล่อตัวสั่นด้วยความรู้สึกผิด เขาให้อำนาจในการเข้าถึงข้อมูลลับของตนเพื่อค้นหาข้อมูลของภารกิจนี้ในทันที ไม่มีสิ่งใดในอาณาจักรนี้ที่เขาไม่มีสิทธิ์รับรู้
หลังค้นหาข้อมูลอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่อก็มีสีหน้าเคร่งขรึมลง ภารกิจนี้จัดได้ว่าลับมากที่สุด มีเพียงสี่คนจากทั้งอาณาจักรเท่านั้นที่เข้าถึงข้อมูลนี้ได้!
ซึ่งก็คือ หลี่ซิงเหวิน ต้วนมู่ฉี เจ้าผินฟาง และหวังเป่าเล่อ!
ภารกิจนี้คือภาคต่อของปฏิบัติการพันธุ์กล้าสหพันธรัฐ เป็นแผนของสหพันธรัฐที่มีสำนักวังเต๋าไพศาลเข้าร่วมด้วย แผนการนี้ร่างมานานหลายปีดีดักแล้ว ชื่อของมันก็คือ… ปฏิบัติการนกนางแอ่นดำ!
…………………………………..