หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 727 ศิษย์พี่มาแล้ว!
“นกนางแอ่นดำ…” สีหน้าของหวังเป่าเล่อจริงจัง อารมณ์แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมหลังจากที่อ่านรายละเอียดเต็มๆ ของภารกิจ
ภารกิจนกนางแอ่นดำคือภารกิจที่ต้องแฝงตัวเข้าไปอยู่ในดินแดนต่างถิ่น!
แต่การแฝงตัวนี้ไม่ใช่ที่ใดที่หนึ่งในสหพันธรัฐหรือสำนักวังเต๋าไพศาล แต่เป็นการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย…ในห้วงอวกาศที่ไม่เคยไปเยือนมาก่อน!
หลายปีก่อน ตอนที่ยุคกำเนิดวิญญาณเกิดขึ้นครั้งแรก สหพันธรัฐค้นพบการมีอยู่ของอารยธรรมอื่นรอบระบบสุริยะผ่านวิธีการพิเศษ
วิธีการที่ว่านั้นคือการใช้ยันต์พิเศษที่หลี่ซิงเหวินเคยเล่าให้หวังเป่าเล่อฟัง ซึ่งเป็นแก่นของวงแหวนปราณระบบสุริยะ นอกจากนี้ยังใช้โบราณสถานที่พบทั่วโลกเป็นเบาะแสอีกด้วย หวังเป่าเล่ออ่านเรื่องราวของภารกิจนกนางแอ่นดำ แล้วพบเข้ากับ…บันทึกเกี่ยวกับบิดาของหลินเทียนหาว หลินโยว!
บันทึกนั้นบอกเอาไว้ชัดเจนว่าหลินโยวเคยหายตัวไปในโบราณสถานแห่งหนึ่งตอนที่เขายังเป็นชายหนุ่ม และปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในที่แห่งเดิมหนึ่งปีถัดจากนั้น รายงานกล่าวว่าเขาถูกเคลื่อนย้ายไปยังอารยธรรมต่างดาว และนำข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับอารยธรรมอื่นๆ กลับมาให้สหพันธรัฐ
อีกชื่อหนึ่งในบันทึกที่ทำให้หวังเป่าเล่อต้องตกตะลึง คือชื่อของ…เซี่ยไห่หยาง!
บันทึกนี้กล่าวถึงพฤติกรรมประหลาดของเซี่ยไห่หยาง โดยเฉพาะการหายตัวไปจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ และการปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่สำนักวังเต๋าไพศาล สหพันธรัฐคาดการณ์ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสำนักวังเต๋าไพศาล แต่ก็สืบความต่อไม่ได้ เนื่องจากปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอารยธรรมกับสำนักบนกระบี่สำริดเขียวโบราณในตอนนั้น
หลังจากที่สงครามปิดฉากลง สหพันธรัฐก็เดินหน้าสืบสวนเรื่องนี้ต่อไป เพื่อหาต้นกำเนิดที่แท้จริงของเซี่ยไห่หยาง เกมที่เขาร่วมมือสร้างขึ้นมากับหวังเป่าเล่อเป็นหนึ่งในประเด็นหลักที่ถูกยกขึ้นมาวิเคราะห์เช่นกัน หากไม่ใช่เพราะสถานะพิเศษของหวังเป่าเล่อในสหพันธรัฐ เขาคงกลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายของการตรวจสอบด้วยเช่นกัน
แม้ว่าการสืบสวนจะไม่ได้ให้บทสรุปที่ตายตัว แต่เจ้าพนักงานที่ดูแลเรื่องนี้ก็ได้เบาะแสบางอย่างมาเช่นกัน พวกเขาเชื่อว่า…เซี่ยไห่หยางมาจากอารยธรรมอื่นที่ยิ่งใหญ่และพัฒนาไปไกล ซึ่งมาฝึกวิชาที่สหพันธรัฐ!
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคนที่เป็นเป้าของการสืบสวนลับนี้ หวังเป่าเล่อเจอรายชื่อกว่าร้อยรายชื่อ ทั้งหมดมาจากพื้นเพที่แตกต่างกันไป แต่ล้วนมีสองสิ่งที่เหมือนกัน ประการแรกคือพวกเขาเคยหายตัวไปและกลับมาอีกครั้งเหมือนหลินโยว… หรือไม่ก็มีสัญญาณบ่งบอกว่าไม่ใช่คนจากสหพันธรัฐ!
ชื่อของจั่วอี้ฟานและจั่วอี้เซียนก็อยู่ในบันทึกนี้เช่นกัน จากการสืบสวน ทั้งสองถูกเคลื่อนย้ายออกจากระบบสุริยะไปแล้วด้วยอำนาจลึกลับบางอย่าง!
เหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นซ้ำๆ นี้ ทำให้สหพันธรัฐต้องหันมาสนใจเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ทำให้ปฏิบัติการพันธุ์กล้าสหพันธรัฐและการเชื่อมสัมพันธ์กับสำนักวังเต๋าไพศาลยังดำเนินต่อไปในรูปแบบของ…ภารกิจนกนางแอ่นดำ เป้าหมายหลักของภารกิจคือการหาผู้ฝึกตนที่มีความสามารถเฉพาะตัว ทั้งยังเป็นคนที่สหพันธรัฐไว้ใจได้ และจัดการส่งพวกเขาเหล่านั้นไปปฏิบัติการนอกระบบสุริยะ โดยมีจุดประสงค์หลักคือการค้นหาอารยธรรมนอกระบบสุริยะนั่นเอง!
วิธีการเดินทางออกนอกระบบสุริยะนั้นคล้ายคลึงกับวิธีที่หลินโยวเคยทำในอดีต บันทึกระบุไว้ว่า สหพันธรัฐค้นพบสถานที่ที่คิดว่าเป็นวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายถึง 43 ที่!
เนื่องจากความเสี่ยงมีสูงมาก ทางการเองจึงยังไม่กล้าใช้วงแหวนปราณเหล่านี้ลองเคลื่อนย้ายแม้แต่ครั้งเดียว จึงไม่มีใครรู้ว่าวงแหวนปราณเหล่านี้ทำสิ่งใดได้บ้าง ผู้ปฏิบัติภารกิจนกนางแอ่นดำจะต้องไปหาข้อมูลที่นอกระบบสุริยะมาให้ได้มากที่สุด หากการเคลื่อนย้ายสำเร็จ พวกเขาจะต้องทำตามแผนการที่วางไว้ โดยการแทรกซึมเข้าอารยธรรมต่างดาวให้สำเร็จ นอกจากนั้นยังต้องระวังความปลอดภัยของตนเอง และรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้สหพันธรัฐเข้าใจว่าอารยธรรมต่างๆ ที่รายล้อมสหพันธรัฐเอาไว้เป็นอย่างไร
แผนการนี้ร่างขึ้นมาจากข้อมูลเท่าที่สหพันธรัฐมีอยู่ในมือ คนส่วนใหญ่ที่หายตัวไปด้วยการเคลื่อนย้ายมักจะไม่ได้กลับมาอีก แต่ก็มีบ้างที่เดินทางกลับมายังสหพันธรัฐได้อย่างปลอดภัยหลังจากที่เวลาผ่านไปหลายเดือน บางทีก็หลายปี
แผนการนี้คงจะเป็นการยากที่จะทำให้สำเร็จหากสหพันธรัฐต้องทำเพียงลำพัง ความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติภารกิจขึ้นอยู่กับจำนวนกระบวนเวทที่มีติดตัว รวมถึงวัตถุเวทที่จะทำให้พวกเขาสามารถซ่อนตัวและเปลี่ยนรูปร่างได้ตามใจชอบเพื่อแทรกซึม นอกจากนี้ยังต้องสามารถสื่อสารภาษาต่างดาวท้องถิ่นของพื้นที่นั้นๆ รวมถึงมีพลังปราณที่สูงพอสมควรด้วย
เมื่อมีผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลมาร่วมด้วยปัญหานี้ก็หมดไป ก่อนที่สำนักวังเต๋าไพศาลจะมา สหพันธรัฐกำลังอยู่ระหว่างการสร้างวัตถุเวทที่ช่วยปิดบังตัวตนและเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของผู้ใช้ แต่เมื่อมีสำนักวังเต๋าไพศาล เจ้าผินฟางก็สร้างวัตถุเวทเหล่านี้สำเร็จได้โดยง่าย นอกจากนี้สำนักยังช่วยกำจัดปัญหาเรื่องการพูดคุยกับสิ่งมีชีวิตต่างดาวให้ด้วย
ภารกิจนี้กลับมาฟื้นคืนชีพอีกครั้ง แม้จะดูเหมือนเป็นการตัดสินใจที่เร็วเกินไป แต่ทางสหพันธรัฐเองก็เริ่มวางแผนนี้มานานแล้ว
หวังเป่าเล่อจ้องบันทึกตรงหน้าที่ตนเพิ่งอ่านจบด้วยความเงียบงัน ใจหนึ่งเขาก็อยากหยุดเจ้าเยี่ยเหมิงและสหายเอาไว้ ให้ทุกคนถอนตัวออกจากปฏิบัติการนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าตนเองจะโน้มน้าวสหายของตนได้อย่างไร และไม่รู้แม้กระทั่งจะเริ่มพูดอย่างไร สหพันธรัฐทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ที่พยายามศึกษาจักรวาลรอบกายซึ่งอยู่นอกเหนืออาณาเขตตน พวกเขาต้องการรู้ให้ได้ว่าในบรรดาดาราจักรที่รายรอบนั้นมีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง หากต้องเผชิญกับอารยธรรมต่างแดนอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู พวกเขาก็จะสามารถป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ที่ต้องสู้รบระหว่างสำนักวังเต๋าไพศาลเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมอีก
นี่คือความพยายามของอารยธรรมที่จะพัฒนาไปข้างหน้า ลำพังตัวเขาเพียงคนเดียวคงทำสิ่งนี้ให้สำเร็จไม่ได้ เนื่องจากภารกิจนี้ต้องใช้กำลังคนมากมายในการพิชิต ยิ่งอารยธรรมของสหพันธรัฐรุดหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ คนจำนวนมากก็ต้องใช้ความสามารถของตนในการช่วยเหลืออาณาจักร และพิสูจน์ขีดความสามารถให้โลกได้รับรู้
แม้ภารกิจนี้จะดูอันตรายมาก แต่หวังเป่าเล่อก็เห็นว่าสหพันธรัฐให้ทรัพยากรจำนวนมากกับผู้เข้าร่วมปฏิบัติภารกิจ ทุกคนได้รับมอบระเบิดต้านทานวิญญาณรุ่นที่สองนับสิบลูก แต่ละลูกสามารถทำให้ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณบาดเจ็บหนักได้เลยทีเดียว
นอกจากนี้สหพันธรัฐยังเก็บตัวอย่างพันธุกรรมของทุกคนเอาไว้ และยังใช้นวัตกรรมจากสำนักวังเต๋าไพศาลในการเก็บเสี้ยวของวิญญาณเอาไว้เช่นกัน หากมีผู้ใดเสียชีวิตก็มีโอกาสจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ในวันที่เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์การวิญญาณของสหพันธรัฐก้าวไกลพอ!
สิ่งที่หวังเป่าเล่อทำได้คือการมอบอาวุธเวทที่เขาหลอมขึ้นมาเองให้เจ้าเยี่ยเหมิงและสหายคนอื่นๆ นอกจากนี้เขายังใช้พลังปราณของตนสร้างร่างอวตารของเขาขึ้นมาหลายร่างและมอบให้เหล่าสหายอีกด้วย เผื่อว่าร่างเหล่านี้จะมีประโยชน์ขึ้นมาวันหนึ่งในยามที่ต้องต่อสู้!
หวังเป่าเล่อตรวจดูจนแน่ใจว่าร่างอวตารเหล่านี้ไม่ได้ปล่อยพลังปราณออกมา มิเช่นนั้นอาจทำให้สหายของเขาตกอยู่ในอันตรายได้ เขาพยายามสุดความสามารถที่จะปกปิดพลังปราณของตนในร่างอวตาร จึงทำให้จิตเชื่อมโยงของเขากับร่างจำลองเหล่านี้อ่อนแอลงด้วย ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือร่างอวตารเหล่านี้ไม่มีสัญญาณพลังปราณให้ตรวจจับเลยแม้แต่น้อย แต่ยังคงทรงพลังเท่าเดิม!
ในวันต่อๆ มา หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าร่างอวตารของเขาพร้อมเจ้าของของมันได้หายออกไปจากจิตสัมผัสวิญญาณเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มรู้ดีว่าการหายตัวไปนั้นหมายถึงสิ่งใด…สหายของเขาไม่ได้อยู่ในระบบสุริยะอีกต่อไปแล้ว
ชายหนุ่มตกอยู่ในความเศร้าสร้อย เขาออกจากบ้านเพื่อไปเดินเล่นรอบนครศักดิ์สิทธิ์เพียงคนเดียว ดวงตาเฝ้ามองผู้คนที่สัญจรไปมา และยวดยานมากมายที่แล่นขวักไขว่ หูฟังเสียงอื้ออึงของบรรยากาศนครโดยรอบ ชายหนุ่มเดินไปอย่างไร้จุดหมาย จนพบว่าเท้าของเขาพาตัวเองมาถึงริมบึง เขานั่งลง จ้องมองผืนน้ำและใบบัวที่ลอยเอื่อยอยู่บนผิวน้ำ สมองเริ่มคิดย้อนไปถึงวันวาน
ชายหนุ่มคิดถึงวัยเด็ก วันเวลาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ และที่สำนักวังเต๋าไพศาล สุดท้ายแล้วเขาก็นึกถึงการต่อสู้ของเขากับโยวหรัน เมล็ดวิญญาณของจื่อเยว่ และเส้นด้ายของนางที่ทอดยาวไปในห้วงอวกาศกว้างใหญ่
เวลาเดินผ่านไปอย่างช้าๆ ดวงอาทิตย์ลาลับ ดวงจันทร์ขึ้นมาแทนที่ ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายกล้าขึ้น ชายหนุ่มไม่รู้สึกตัวว่ามีคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขามาพักใหญ่ ชายผู้นั้นมีใบหน้าอ่อนเยาว์ สะพายกระบี่ไม้ไว้บนหลัง ในมือถือน้ำเต้าอันใหญ่ และกำลังยืนพิงต้นไม้ยักษ์ เขามองหวังเป่าเล่อขณะที่ยกน้ำเต้าขึ้นดื่ม ดวงตาล้ำลึกด้วยความคิดที่อยากจะหยั่งถึง ดูเหมือนว่าชายผู้นี้กำลังพยายามเฟ้นหาคำพูดที่จะใช้ปลอบใจอีกฝ่าย
หวังเป่าเล่อไม่ได้รู้สึกตัวว่ามีผู้ใดอยู่เบื้องหลังตน แสงในดวงตาของเขาแรงกล้าขึ้น ชายหนุ่มเริ่มพึมพำกับตัวเอง
“พวกนั้นมีภารกิจของตัวเอง ข้าก็มีเช่นกัน…พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมภาระหน้าที่อันหนักอึ้ง ข้าอาจไม่สนใจทั้งชื่อเสียงและความโด่งดัง ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีไร้ซึ่งพันธะเหมือนนกป่า แต่เพื่อสหพันธรัฐแล้ว ข้าคงทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องรับหน้าที่ในฐานะผู้นำสหพันธรัฐ!
“ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว ข้าไม่ได้ร้องขอให้ตนเองมีพลังปราณที่ยิ่งใหญ่เหนือสวรรค์ หัวใจที่บริสุทธิ์ยุติธรรม และใบหน้าอันหล่อเหลาถึงเพียงนี้ คนของข้าต้องการข้า สหพันธรัฐต้องการข้า ใช่แล้ว…กลุ่มพันธมิตรระบบสุริยะต้องการให้ข้าเป็นผู้นำ!”
สีหน้าของชายหนุ่มที่กำลังพิงกำแพงอยู่นั้นเปลี่ยนเป็นปุเลี่ยนทันทีที่ได้ยิน เขาตบหน้าผากตัวเองเบาๆ พลันกลืนคำพูดปลอบใจลงคอไป
“ข้าจะมามัวเศร้าสร้อยกับการแยกย้ายของสหายไม่ได้ ข้าต้องเรียสติตนเองกลับคืนมา ข้าต้องปลดปล่อยพลังของข้า พลังของชายที่หน้าตาดีที่สุดในสหพันธรัฐ!” หวังเป่าเล่อทะลึ่งตัวขึ้นยืนพลางพูดพึมพำกับตนเอง เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้า อ้าปากจะพูดปลอบใจตนเองอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร เสียงกระแอมกระอก็ดังขึ้นจากด้านหลัง เสียงนั้นดูเต็มไปด้วยความรำคาญใจ
“ศิษย์น้องที่รักของข้า วิธีการปลอบใจตนเองของเจ้า…ช่างประหลาดเสียจริง”
เมื่อได้ยินคำนั้น ชายหนุ่มก็ตัวแข็งทื่อในทันที เขาหันหน้าขวับกลับไปมอง สายตาสบลงที่ชายหนุ่มผู้ซึ่งยืนพิงต้นไม้ใหญ่อยู่… ชายผู้นั้นคือศิษย์พี่ของเขา เฉินชิง!
หวังเป่าเล่อยืนมองเฉินชิง แต่แทนที่จะเปิดปากพูดคุยในทันที ชายหนุ่มกลับเงียบลง…
เฉินชิงเองก็เงียบเช่นกัน ทั้งสองยืนอยู่ข้างทะเลสาบ สายลมพัดผ่านส่งให้ผิวน้ำไหวเป็นระรอก เส้นผมของทั้งสองปลิวไสวในสายลม
หลังจากเวลาผ่านไปแสนนาน เฉินชิงก็นวดหน้าผากตนเอง เขาถอนหายใจก่อนโยนน้ำเต้าให้หวังเป่าเล่อ ดวงตาจริงจังขณะพูดเสียงเบา “เป่าเล่อ จิตวิญญาณที่ชาญฉลาดมักมาพร้อมกับความรู้สึกมากมาย ข้าเพิ่งรู้ซึ้งถึงความจริงข้อนี้เมื่อตอนที่มาถึงที่นี่เอง โปรดอย่าเข้าใจข้าผิด สิ่งที่เจ้ากำลังเป็นทุกข์อยู่ในใจนั้น ข้าไม่ได้เป็นคนก่อ”
……………………….