หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 746 ราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์!
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ดารานิรันดร์ที่แปรสภาพเป็นดวงตาส่งแรงดึงดูดมายังเรือบินรบ ลากให้มันเข้าไปใกล้ ขณะที่เรือบินรบกำลังมุ่งตรงไปหาดารานิรันดร์นั้นเอง หวังเป่าเล่อก็ค่อยๆ หายจากอาการตื่นตะลึง ชายหนุ่มตัดสินใจล้มเลิกแผนการเดิมและกดเก็บความต้องการจะหนีเอาไว้ก่อน
เขาจำได้ว่า วิชาดวงเนตรปีศาจที่เลือกฝึกเป็นวิชาที่ใช้สังหาร เป็นหนึ่งในบรรดาเคล็ดวิชาการฝึกตนที่หวังเป่าเล่อพบในสำนักแห่งความมืดตอนที่เขาอยู่ในนิมิตมืด
เคล็ดวิชาฝึกตนนี้ไม่สมบูรณ์แถมยังบรรลุสูงสุดได้เพียงขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น สำนักแห่งความมืดคงไม่ได้ให้ค่าพลังเทพเช่นนี้เท่าใดนัก เพราะอย่างไรเสีย สำนักก็มีเคล็ดวิชาฝึกปราณจำนวนมาก แต่ความลึกลับและชั่วร้ายของวิชาดวงเนตรปีศาจก็ทำให้มันแตกต่างจากวิชาอื่นๆ สุดท้ายแล้วสำนักแห่งความมืดจึงต้องหันมาปรับปรุงวิชาดวงเนตรปีศาจ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพิเศษและความทรงพลังของวิชาดวงเนตรปีศาจได้อย่างชัดเจน!
หวังเป่าเล่อจำได้ว่าเคยอ่านเชิงอรรถซึ่งผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดที่ทรงพลังคนหนึ่งเขียนไว้ในบันทึกของวิชาดวงเนตรปีศาจ เขาคร่ำครวญถึงการที่จารึกนั้นสิ้นสุดลงตรงขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น!
อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์และวิชาดวงเนตรปีศาจจะต้องมีความเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้งแน่นอน บางที…ข้าอาจจะพบบันทึกของเคล็ดวิชาฝึกปราณที่หายไป ณ ที่แห่งนี้ก็เป็นได้ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อลุกโชนแรงกล้า เรือบินรบพุ่งเข้าไปใกล้ดารานิรันดร์ขึ้นทุกขณะ และอุณหภูมิก็เริ่มพุ่งสูง มีพลังปราณสีเทาเบาบางพวยพุ่งออกมาจากดวงตาที่เคยเป็นดารานิรันดร์มาก่อนและเข้าห้อมล้อมเรือบินรบเอาไว้ มันทะลุผ่านตัวเรือบินเข้ามาล้อมรอบผู้ฝึกตนทุกคน
ศีรษะของหวังเป่าเล่อเริ่มวิงเวียน ชายหนุ่มไม่มีเวลาพินิจพิเคราะห์ปราณสีเทาที่กำลังห้อมล้อมกายเขาอยู่ วินาทีต่อมา เรือบินรบก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ก่อนจะพุ่งเข้าไปด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ จนกระทั่งเข้าไปยังดารานิรันดร์ ก่อนจะ…อันตรธานไป!
ทั้งเรือบินรบและผู้ฝึกตนทุกคนหายวับไปในอากาศ!
เวลาผ่านไป อาจจะชั่วกัปชั่วกัลป์ หรืออาจจะเพียงเสี้ยววินาที หวังเป่าเล่อตื่นขึ้นเพราะคลื่นความเจ็บปวดอันรุนแรงที่ไหลบ่าไปทั่วกาย สายตาของเขาพร่ามัวไปด้วยเลือด ลมหายใจหนักหน่วงและขาดช่วง
ชายหนุ่มไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับบาดเจ็บ ทุกคนบนเรือบินรบ รวมทั้งผู้อาวุโสสูงสุดเองก็ตัวสั่นเทา หลายคนถึงกับล้มฟาดลงไปบนพื้นเพราะความเจ็บปวดสุดจะทานทนที่พวกเขากำลังรู้สึกอยู่ มีผู้ฝึกตนนับสิบคนที่ดูเหมือนจะทนกับสิ่งนี้ไม่ไหว ร่างกายของพวกเขาระเบิด เลือดและเนื้อปลิวกระจายเปรอะทั่วผนังและพื้นของเรือบินรบ!
ผู้อาวุโสสูงสุดเหมือนจะทอดถอนใจออกมาอย่างโล่งอกในวินาทีนั้น น้ำเสียงอันแหบพร่าของเขาดังเข้ากระทบโสตประสาทของทุกคนในบริเวณ!
“ผู้ฝึกตนทั้งหลายเอย โปรดอย่าโทษข้าเลย สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ได้มาถึงจุดที่ต้องเดิมพันทุกสิ่งกับสิ่งเดียว ข้าได้จำนองทรัพย์สมบัติทั้งหมดของสำนักเพื่อแลกกับโอกาสในการได้ใช้หนึ่งในสองกระบวนเวทของราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์…วิชาดวงเนตรหมื่นปีศาจ!”
ความสับสนและคาใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทุกคนเมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้อาวุโสสูงสุดพูด ผู้ฝึกตนที่มีขั้นปราณต่ำลงมามีสีหน้าซีดเซียว ความหวาดกลัวบนใบหน้าปรากฏให้เห็นชัดเจน สีหน้าของผู้อาวุโสขั้นจุติวิญญาณก็หม่นหมองเช่นกัน พวกเขาจ้องมองออกไปยังโลกนอกเรือบินรบด้วยแววตาขึงขัง จากนั้นจึงหันหน้าจ้องมองกันอยู่ไปมา สุดท้ายผู้อาวุโสที่อยู่กับสำนักมานานที่สุดก็เอ่ยปากพูด
“ผู้อาวุโสสูงสุดขอรับ เรื่องนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่ง ท่านควรบอกพวกเราก่อนที่จะตัดสินใจทำเช่นนี้…”
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ขณะที่กำลังพยายามควบคุมลมหายใจ ชายหนุ่มก็ยกศีรษะขึ้นจ้องออกไปยังห้วงจักรวาลผ่านหน้าต่างของเรือบินรบ เขาไม่ได้ใส่ใจกับการที่ผู้อาวุโสสูงสุดเลือกจำนองสำนักและทรัพย์สินทั้งหมด มีสามสิ่งที่รบกวนจิตใจชายหนุ่ม สิ่งแรกคือราชวงศ์ อย่างที่สองคือกระบวนเวทที่แข็งแกร่งทั้งสอง และสิ่งที่สามก็คือ…วิชาดวงเนตรหมื่นปีศาจ!
ราชวงศ์อย่างนั้นหรือ…หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ดวงตาของเขาเป็นประกายขณะที่จ้องมองจักรวาลอย่างพินิจพิเคราะห์อีกครา ชายหนุ่มไม่อาจมองเห็นอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์และดารานิรันดร์ได้อีกแล้ว สิ่งที่เขาเห็นอาจจะเป็นดารานิรันดร์เช่นกัน แต่มีขนาดเล็กกว่ามาก มันส่องแสงเลือนรางออกมาราวกับว่ากำลังจะแตกดับ!
ที่นี่…ไม่ใช่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!
การเคลื่อนย้ายข้ามระบบดาวเคราะห์อย่างนั้นหรือ จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็เข้าใจสิ่งที่ผู้อาวุโสสูงสุดหมายถึงเมื่อชายชรากล่าวถึงการเปิดใช้วิชาดวงเนตรหมื่นปีศาจ มันคือการเคลื่อนย้ายขั้นสูงนั่นเอง!
หวังเป่าเล่อยังคงครุ่นคิดต่อไป ชายหนุ่มถอนสายตาออกมาและมองไปยังหมอกสีเทาที่รายล้อมกายเขาอยู่แทน หมอกนั้นไม่ได้หายไปหลังจากการเคลื่อนย้าย มันยังคงรายล้อมทุกคนบนเรือบินรบอยู่เช่นเดิม แต่ก็เจือจางเสียจนหากไม่เพ่งมองก็คงจะมองไม่เห็น
หวังเป่าเล่อมองเห็นหมอกนั้น เพราะวิชาดวงเนตรปีศาจในกายนั้นตื่นขึ้นและส่งคลื่นความหิวโหยที่อยากจะกลืนกินหมอกสีเทาออกมาเป็นระลอก
บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาอยู่ห่างจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มาไกล แต่หวังเป่าเล่อก็สามารถข่มความหิวโหยของดวงเนตรปีศาจเอาไว้ได้ ชายหนุ่มหวนคิดไปถึงดารานิรันดร์ที่แปรสภาพกลายเป็นดวงตาขนาดใหญ่อย่างเป็นปริศนาที่ เขานึกไม่ออกเลยว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น ทำให้หวังเป่าเล่อตัดสินใจไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม ชายหนุ่มหันไปมองผู้อาวุโสสูงสุดที่กำลังถูกบรรดาผู้อาวุโสตั้งคำถาม
ผู้อาวุโสสูงสุดสูดลมหายใจเข้าลึก มีประกายแสงกล้าส่องสว่างอยู่ภายในนัยน์ตาทั้งคู่
“การบอกพวกเจ้าตอนนี้ ถือว่าสายไปแล้วอย่างนั้นหรือ”
ผู้อาวุโสที่มีอายุงานในสำนักนานที่สุดนิ่งงันไป ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็นิ่งเงียบไปกันหมดรวมทั้งหวังเป่าเล่อด้วย
ผู้อาวุโสสูงสุดมีสีหน้าขึงขังขณะที่กวาดตามองผู้อาวุโสทุกคนและหวังเป่าเล่อ ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างช้าๆ และจริงจัง
“ไม่มีความจำเป็นที่ข้าจะต้องอธิบายสถานะของสำนักอย่างละเอียดให้พวกเจ้าฟัง พวกเจ้าควรรู้ดีกว่าใคร การปล้นชิงข้ามดวงดาวไม่ใช่เรื่องง่าย เหล่าดาวเคราะห์ที่ปลอดภัยซึ่งอยู่ในระยะที่ใกล้กับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ถูกปล้นจนหมดแล้ว แปลว่าแทบไม่มีอะไรเหลือให้เรา สิ่งนี้อาจไม่ใช่ปัญหาเท่าใดนักในอดีต แต่ตอนนี้สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ของเรากำลังเข้าตาจน เพื่อจะพลิกชะตากรรมของเรา เราจำเป็นต้องหาเงินก้อนใหญ่…แทนที่จะพยายามทำเพื่อแค่รอดชีวิต ทำไมเราจึงไม่ยอมเสี่ยงเล่า!
“นี่จึงเป็นเหตุผลที่ข้าจำนองสำนักของเราเพื่อแลกกับการเปิดใช้งานดวงเนตรหมื่นปีศาจ พวกเราได้สิทธิ์ในการเคลื่อนย้ายไปกลับ และสามารถเคลื่อนย้ายไปยังส่วนของจักรวาลที่ไม่มีใครรู้จักได้ ไปยังที่ที่ห่างไกลจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!
“ข้าจะพูดกับพวกเจ้าอย่างตรงไปตรงมา ข้าไม่คิดจะกลับไปมือเปล่า และข้าจะเอาเรือบินรบไปด้วย สำหรับพวกเจ้าที่เหลือ พวกเจ้าต้องเก็บหอมรอมริบทรัพยากรให้เพียงพอที่จะใช้ดวงเนตรหมื่นปีศาจเคลื่อนย้ายกลับไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!
“ข้าพูดจบแล้ว ได้โปรด…ไตร่ตรองเอาให้ดีเถิด”
ผู้อาวุโสสูงสุดจ้องมองหวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ด้วยสายตาลึกซึ้งเปี่ยมความหมายอยู่นานหลังจากที่พูดจบ จากนั้นก็หันหลังกลับเข้าไปยังห้องฝึกวิชา เขารู้ดีว่าสิ่งที่เพิ่งประกาศไปนั้นจะสร้างความตื่นตระหนกอย่างใหญ่หลวง แต่เขาก็ไม่สนใจ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความวุ่นวายและความรุนแรงที่ไม่จำเป็น ผู้อาวุโสสูงสุดรู้ดีว่าต้องให้เวลาคนอื่นๆ ได้ย่อยสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปและยอมรับกับความเป็นจริงในปัจจุบัน
เกิดความโกลาหลขึ้นในหมู่ผู้ฝึกตนทันทีที่ผู้อาวุโสสูงสุดจากไป ทุกคนเริ่มทุ่มเถียงกันอย่างเร่าร้อน ผู้อาวุโสบางคนดวงตาแดงก่ำด้วยความขึ้งโกรธ แต่พวกเขาก็ทำสิ่งใดไม่ได้ พลังในการเปิดการเคลื่อนย้ายที่จะส่งพวกเขากลับไปได้อยู่ในมือของผู้ที่ซื้อสิทธิ์นั้นมาเท่านั้น พวกเขาต้องเลือกระหว่างออกไปหาทรัพยากรมาให้มากพอเพื่อซื้อสิทธิ์เคลื่อนย้ายกลับบ้าน หรือสังหารผู้อาวุโสสูงสุดและชิงสิทธิ์ในการเปิดการเคลื่อนย้ายมา ไม่มีทางอื่นอีกแล้วที่พวกเขาจะกลับดาวบ้านเกิดได้
แน่นอนว่าแม้คำพูดของผู้อาวุโสสูงสุดจะไร้เยื่อใย แต่ทั้งหมดก็เป็นความจริง หากสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ไม่ได้กลับไปพร้อมทรัพย์ก้อนใหญ่เพื่อเจือจุนคลัง สำนักก็คงจะอยู่ได้อีกไม่นาน เป็นเหตุให้…อาจเป็นการดีกว่าที่จะทุ่มเททุกอย่างและลองเดิมพันดูสักครั้ง!
ในสายตาของหวังเป่าเล่อ ผู้อาวุโสสูงสุดนั้นค่อนข้างจะไร้ความปราณี ชายหนุ่มนึกถึงหมอกสีเทาเบาบางที่เขาเห็นล้อมรอบตัวเองและคนอื่นๆ เอาไว้และสรุปได้ว่ามันคืออะไร สิ่งนั้นจะต้องเป็นผนึกของดวงเนตรหมื่นปีศาจที่จะใช้พาพวกเขากลับบ้านแน่ๆ
ดูเหมือนว่าดวงเนตรหมื่นปีศาจจะสามารถเคลื่อนย้ายคนได้ในระยะที่ไกลมากๆ แถมผนึกของมันยังเคลื่อนย้ายคนกลับไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ได้โดยตรงอีกด้วย สิ่งนี้จะใช่วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายแบบสองทางหรือไม่นะ หวังเป่าเล่อรู้สึกฉงนเล็กน้อย สิ่งนี้แตกต่างจากดวงเนตรปีศาจที่ชายหนุ่มกำลังฝึกอย่างสิ้นเชิง แต่เขาก็ไม่ได้วิตกกังวล หวังเป่าเล่อเริ่มพูดคุยกับผู้อาวุโสจำนวนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ชายหนุ่มจะต้องรู้เรื่องของราชวงศ์และดวงเนตรหมื่นปีศาจมากกว่านี้เสียก่อน
ทุกคนกำลังประสบกับความรู้สึกมากมายจากสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น สิ่งที่หวังเป่าเล่อถามก็ไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด พวกเขาพากันสงสัยในความซื่อของหวังเป่าเล่อ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายเพิ่งได้เลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโสเมื่อไม่นานนี้ เหล่าผู้อาวุโสที่ขณะนี้กำลังเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ไม่ได้ใส่ใจเรื่องคำถามของหวังเป่าเล่อมากนัก จึงตอบออกมาทั้งหมดในเวลาไม่นาน
ราชวงศ์และสำนักใหญ่ทั้งสามแม้จะดูดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความตึงเครียดระหว่างทั้งสองกลุ่มนั้นล้ำลึกนัก!
ราชวงศ์ไม่ต้องการนิ่งเฉยและรอให้สำนักใหญ่ทั้งสามเติบโตขึ้นมาแทนที่ แต่พวกเขาก็ไม่อาจยึดอำนาจที่ได้แบ่งให้สำนักทั้งสามกลับคืน และไม่มีอำนาจที่จะตอบโต้ ราชวงศ์กำลังล้มลุกคลุกคลานจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด สำนักใหญ่ทั้งสามต้องการล้มล้างราชวงศ์ แต่เพราะเหตุผลบางประการที่คนอื่นๆ ไม่รู้ พวกเขาจึงทำไม่ได้
เครื่องมือที่ราชวงศ์ใช้ในการอยู่รอดมาจนทุกวันนี้ คือสิ่งเดียวกับที่ทำให้สำนักทั้งสามไม่อาจล้มล้างราชวงศ์ได้ มันคือ…กระบวนเวทอันยิ่งใหญ่ทั้งสองที่เป็นสมบัติของราชวงศ์!
บรรดาผู้อาวุโสไม่รู้ว่ากระบวนเวทแรกคืออะไร พวกเขาเคยได้ยินเพียงตำนานความแข็งแกร่งและความน่าสะพรึงกลัวที่กระบวนเวทนี้สามารถก่อขึ้นในจิตใจของศัตรู แม้อีกฝ่ายจะอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ก็ตามที กระบวนเวทนี้มีเพียงเหล่าสมาชิกราชวงศ์เท่านั้นที่ฝึกได้ คนภายนอกจึงไม่อาจขโมยกระบวนเวทนี้มาเป็นของตนได้โดยง่าย
กระบวนเวทที่สองคือวิชาดวงตาหมื่นปีศาจ ราชวงศ์เป็นเจ้าของกระบวนเวทนี้ และมีเหตุบางประการที่ทำให้ความเป็นเจ้าของไม่อาจถูกถ่ายโอนออกไปจากตระกูลได้ มันดูเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับการมีสายเลือดราชวงศ์ แต่สิทธิ์ในการใช้งานนั้นเป็นอีกเรื่องโดยสิ้นเชิง บรรยากาศทางการเมืองปัจจุบันภายในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ทำให้ราชวงศ์ไม่อาจถือครองสิทธิ์ในการใช้งานกระบวนเวทลำพังได้ สำนักทั้งสามเองก็มีสิทธิ์ในการใช้กระบวนเวทนี้ได้เช่นกัน!
น่าสนใจดีนี่ แสงแปลกแปร่งปรากฏวาบในดวงตาของหวังเป่าเล่อเมื่อเขาได้ข้อมูลที่ต้องการ ชายหนุ่มคิดถึงการที่วิชาดวงเนตรปีศาจช่วยเพิ่มพูนพลังปราณของเขาเสียจนน่ากลัว และความคิดเรื่องการครอบครองกระบวนเวทของราชวงศ์ก็ผุดขึ้นมาในใจ
ข้าไม่จำเป็นต้องรีบออกจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แต่อย่างใด มีโอกาสไม่น้อยที่ราชวงศ์จะมี…วิชาดวงเนตรปีศาจขั้นต่อไปอยู่ในมือ!
……………………….