หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 752 กำราบเต๋อคุนจื่อ!
ในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ เขาย่อมรู้ข่าววงในที่คนอื่นไม่มีวันได้ล่วงรู้ นอกจากนี้เขายังยอมศิโรราบให้กับสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ด้วย จึงทำให้รู้ว่าแม้ราชวงศ์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นั้นจะดูเหมือนมีความสัมพันธ์อันดีกับสามสำนักใหญ่ แต่ในความเป็นจริงแล้วความตึงเครียดระหว่างขั้วอำนาจทั้งสองจวนเจียนจะเปลี่ยนไปเป็นความขัดแย้งรุนแรงอยู่รอมร่อ
เป็นธรรมดาที่ราชวงศ์จะไม่พอใจหรือยินยอมให้อำนาจการปกครองของตนตกอยู่ในเงื้อมมือของผู้ใต้บังคับบัญชา และยิ่งไม่ต้องการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ราวกับเป็นนักโทษที่ถูกจองจำในบ้านพักของตนเอง ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ยังรู้ด้วยว่า แม้อำนาจของราชวงศ์จะถดถอยลง แต่รากฐานความแข็งแกร่งอันยืนนาน ยังคงทำให้สามสำนักใหญ่รู้สึกยำเกรงอย่างเสียมิได้
และสิ่งที่พวกเขากลัวมากที่สุดก็คือ…กระบวนเวทลับสุดยอดของราชวงศ์ วิชาหนึ่งเดียวที่มีเพียงผู้สืบทอดสายเลือดบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะร่ำเรียนได้…วิชาดวงเนตรสวรรค์นั่นเอง!
แต่ในขณะเดียวกันผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็ยังเดาได้ว่า มีรายละเอียดสำคัญบางอย่างเกี่ยวกับความไม่ลงรอยกันของราชวงศ์และสำนักหลักทั้งสามที่เขายังไม่เข้าใจดีนัก
ตัวเขาเองไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองนี้แต่อย่างใด ดังนั้นทันทีที่สัมผัสได้ถึงพลังงานรุนแรงที่หวังเป่าเล่อปล่อยออกมา ความต้องการที่จะหนีไปให้พ้นจากที่แห่งนี้ก็ทวีความรุนแรงขึ้นอีก แม้เขาจะไม่เห็นวิชาดวงเนตรสวรรค์จริงๆ ใช้เพียงสัญชาตญาณเบื้องลึกในการตัดสินใจเท่านั้น โดยไม่ได้ตรวจดูอีกรอบให้แน่ใจก่อน
ทว่า…มันก็สายเกินไปเสียแล้ว
ทันทีที่เขาพุ่งออกจากที่แห่งนั้น เงาของหวังเป่าเล่อซึ่งเดินออกจากลูกตาของดวงตาปีศาจสีดำก็หายตัวไปในฉับพลัน ก่อนมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งภายในพริบตาเดียวข้างๆ ร่างอวตารของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์
การปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลันของหวังเป่าเล่อทำให้ร่างอวตารสั่นเทา ความกลัววาบเข้ามาในแววตา หัวใจเต้นแรงด้วยความกระวนกระวายที่ซัดโหมเข้ามาในดวงจิต ร่างอวตารนั้นก้าวถอยหลังโดยสัญชาตญาณ พยายามแสร้งฉีกยิ้ม ก่อนพูดด้วยท่าทีอ่อนน้อม
“อย่าเข้าใจผิดไป ผู้อาวุโสหลงหนานจื่อ ข้ารู้สึกได้ว่าเจ้าใกล้จะบรรลุขั้นปราณแล้ว ข้าเป็นห่วงจึงตามมาดูเพื่อปกป้องเจ้าจากภัยอันตราย… ฮ่าๆ ยินดีด้วยนะผู้อาวุโสหลงหนานจื่อ ที่ในที่สุดก็บรรลุปราณขั้นเชื่อมวิญญาณ!” ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์แสร้งหัวเราะฝืน ขณะที่เขากำลังหัวเราะอยู่นั้นเอง ก็สังเกตเห็นสีหน้าเย็นชาไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ของหวังเป่าเล่อ และดวงตาตายด้านที่มองเขาอยู่ เสียงหัวเราะฝืดจึงกลายเป็นความกระอักกระอ่วนไปในที่สุด หน้าผากพรายไปด้วยเหงื่อที่ผุดออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ปาดเหงื่อของตนเองทิ้งตามสัญชาตญาณ ต้องการจะพูดบางสิ่งเพื่อทำลายความเงียบงันน่าอึดอัดนี้ เขารู้สึกได้ถึงความอันตรายของสถานการณ์ในตอนนี้ และรู้ว่าหากตนเองไม่ทำอะไรสักอย่างจะต้องสิ้นชีพแน่นอน ด้วยความสามารถในการสังหารของหวังเป่าเล่อและแรงอาฆาต ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ชายหนุ่มตรงหน้าจะเพิ่มความเร็วของตนให้ไล่ตามเรือบินรบทัน เพื่อพุ่งเข้าไปสังหารร่างจริงของผู้อาวุโสสูงสุด
“ผู้อาวุโสหลงหนานจื่อ ข้ายังมีประโยชน์นัก ก่อนหน้านี้ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ข้า…ข้าเกลียดสำนักหลักทั้งสามมากเหลือ ข้าจงรักภักดีกับราชวงศ์เพียงเท่านั้น สวรรค์และผืนดินเป็นพยานได้!”
หวังเป่าเล่อฟังพร้อมด้วยประกายที่วาบเข้ามาในแววตา สัญชาตญาณของผู้อาวุโสสูงสุดไม่ได้ผิดไปแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อเองก็คิดเช่นเดียวกัน แต่หากเขาไม่เข้าใช้ร่างของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์และทิ้งร่างของหลงหนานจื่อ การตายของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณย่อมกลายมาเป็นจุดสนใจของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ที่ชายผู้นี้รับใช้อยู่อย่างแน่นอน ทว่าชายหนุ่มก็รู้สึกว่าการสังหารผู้อาวุโสสูงสุดและเข้าใช้ร่างอีกฝ่ายไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ
ยิ่งเขากระทำการเช่นนี้บ่อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งง่ายที่จะทำสิ่งผิดพลาดขึ้นเท่านั้น หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าการทิ้งร่างของหลงหนานจื่อไปเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่ง เพราะได้ทำความรู้จักและใช้ร่างนี้จนชินมือแล้ว
แม้จะยังมีทางเลือกอื่นอยู่อีก เช่น กลายร่างเป็นผู้อาวุโสสูงสุดและเลือกเดินทางแยกไปคนเดียว หรือไม่ก็ปลีกตัวไปถือสันโดษฝึกวิชา แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นทางเลือกที่ค่อนข้างเกินจริงไปนิด ทว่าการปล่อยให้อีกฝ่ายรอดชีวิตกลับไปได้นั้นแย่เสียยิ่งกว่า
ด้วยเหตุนี้…ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังไตร่ตรองข้อดีข้อเสียอยู่นั้น เขาก็ได้ยินผู้อาวุโสสูงสุดพูดถึงราชวงศ์ จึงยกมือขวาขึ้นคว้าตัวชายตรงหน้าเอาไว้ในทันที!
ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ระวังตัวทุกฝีก้าว และพร้อมที่จะหนีไปทันทีที่มีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่ความแตกต่างด้านพลังระหว่างคนทั้งสองทำให้เขาไปไหนไม่พ้น แม้ว่าจะพยายามเบี่ยงหลบเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์ ศีรษะของเขาถูกหวังเป่าเล่อคว้าเอาไว้ได้อย่างฉับพลัน
ในเวลาเดียวกันนั้น ณ ห้วงอวกาศไม่ไกลจากอารยธรรมแห่งนี้นัก ร่างที่แท้จริงของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ซึ่งกำลังทำสมาธิอยู่ในเรือบินรบก็สั่นสะท้าน ก่อนเปลือกตาจะพลันเปิดขึ้น แม้จะไม่อยากทำ แต่ตอนนี้เขาต้องตัดจิตเชื่อมโยงระหว่างร่างอวตารกับวิญญาณของตนเองแม้ว่ามันจะทำให้ร่างกายของเขาบาดเจ็บสาหัสก็ตาม ทว่าวินาทีต่อมาสีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดก็เปลี่ยนไปทันที
ทำไมตัดไม่ได้
ราวกับว่าวิญญาณที่เชื่อมต่อร่างจริงกับร่างอวตารถูกเวทมนต์ทำให้สายสัมพันธ์นั้นแข็งแกร่งยิ่งขึ้น จนตัดจิตเชื่อมโยงระหว่างกันไม่ได้ ขณะที่ผู้อาวุโสสูงสุดกำลังตื่นตกใจอยู่นั้น ดวงตาของหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ที่อารยธรรมกลายพันธุ์ก็สว่างโชติช่วงด้วยเปลวไฟสีดำ
“เจ้ากล้าใช้วิชาเวทวิญญาณต่อหน้าสำนักแห่งความมืดกระนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อพูดเสียงเบา ประกายความน่าขนลุกในแววตาของเขาทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มปล่อยวิชาค้นวิญญาณใส่ร่างอวตารของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ในทันที!
หากเป้าหมายของวิชาค้นวิญญาณเป็นร่างจริงของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ หวังเป่าเล่อคงต้องใช้วิชาเพิ่มพลังของตนเองให้มากกว่านี้ แต่สำหรับร่างอวตาร พลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณบวกกับวิชาแห่งศาสตร์มืด ทำให้ชายหนุ่มสามารถทำลายปราการป้องกันในจิตใจของผู้อาวุโสสูงสุดได้ในทันที เขาส่งจิตเข้าตรวจค้นความทรงจำของผู้อาวุโสสูงสุดผ่านร่างอวตารของอีกฝ่าย!
ผลดารานิรันดร์รึ ใช่แก่นในที่มีความเป็นไปได้ว่าจะปรากฏขึ้นหลังจากที่ดารานิรันดร์ดับสูญหรือเปล่า หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองดารานิรันดร์ที่อยู่ไม่ไกลออกไป เขาส่วยศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะเดินหน้าสืบค้นความทรงจำของผู้อาวุโสสูงสุดต่อ
แม้จะดูความทรงจำย้อนกลับไปไม่ได้มากเนื่องจากเป้าหมายเป็นเพียงร่างอวตาร แต่ก็เพียงพอสำหรับหวังเป่าเล่อที่จะปะติดปะต่อเรื่องราวได้อย่างรวดเร็ว และเข้าใจในที่สุดว่าความเข้าใจผิดของผู้อาวุโสสูงสุดนั้นเกิดมาจากสิ่งใด!
กระบวนเวทลับสุดยอดของราชวงศ์ วิชาดวงเนตรสวรรค์ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ผู้อาวุโสสูงสุดเข้าใจว่าดวงตาขนาดยักษ์ที่ปรากฏขึ้นเบื้องหลังชายหนุ่ม และการเพิ่มขึ้นของพลังปราณของเขาเป็นผลมาจากวิชาดวงเนตรสวรรค์ อีกฝ่ายเข้าใจว่าตัวตนที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อ คือชายชราสักคนหนึ่งจากบรรดาราชวงศ์ที่เข้าสิงสู่ร่างของหลงหนานจื่อ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าวิชาที่เขาใช้นั้นไม่ใช่วิชาดวงเนตรสวรรค์ แต่เป็นวิชาดวงเนตรปีศาจต่างหาก!
หากวิชาดวงเนตรสวรรค์เป็นกระบวนเวทพื้นฐานของวิชานี้แล้วละก็ วิชาดวงเนตรปีศาจก็คือวิชาดวงเนตรสวรรค์ที่ถูกสำนักแห่งความมืดนำมาดัดแปลง โดยใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดเป็นเครื่องมือ!
ส่วนวิชาใดจะแข็งแกร่งกว่ากันนั้น ตอบได้ยากยิ่ง!
ความเข้าใจผิดเช่นนี้…ก็ไม่ได้แย่นะ หวังเป่าเล่อหรี่ตาอีกครั้ง ล้มเลิกความคิดที่จะสังหารผู้อาวุโสสูงสุดในทันที เขายกมือขวาขึ้นทำสัญญาณมือ จากนั้นลูกไฟสีดำก็ปรากฏขึ้นในฝ่ามือของเขาทันที เขาคว้าดวงตาสีดำลูกเล็กจากในดวงตาขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังมาไว้ในมือ หลอมมันเข้ากับเปลวไฟสีดำ ก่อนสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ และตบลูกไฟลงบนหน้าผากของร่างอวตาร
ผนึกหลอมรวมเข้าไปในหน้าผากของร่างจำแลงทันที ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่างเป็นดวงตา ผนึกนี้ไม่ได้ประทับอยู่บนผิวหนังหรือกระดูกเท่านั้น แต่ยังอยู่บนวิญญาณด้วย จากนั้นหวังเป่าเล่อก็สร้างผนึกฝ่ามืออย่างรวดเร็วด้วยมือข้างเดียว เปลวไฟสีดำในร่างกระจายออกไป แสงมืดเรืองออกจากดวงตาปีศาจใหญ่ยักษ์เบื้องหลัง เข้าเสริมพลังให้กับผนึก การประทับตราลงบนร่างอวตารนี้ทำให้ชายหนุ่มสามารถประทับดวงวิญญาณในร่างที่แท้จริงของผู้อาวุโสสูงสุดได้เช่นกัน!
บนเรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ในห้วงอวกาศที่ไกลออกไป ร่างจริงของผู้อาวุโสสูงสุดสั่นอย่างรุนแรง เขากระอักเลือดออกมาชุดใหญ่ขณะที่พยายามต่อต้านการควบคุมวิญญาณด้วยพลังทั้งหมดที่มี แต่ผนึกหน้าตาแบบเดียวกันก็ปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วทั้งสองข้างจนได้
มันคือกระบวนเวทต้องห้ามจากวิชาดวงเนตรปีศาจ เป็นกระบวนเวทแขนงหนึ่งที่สำนักแห่งความมืดสร้างขึ้น มีอำนาจใกล้เคียงกับคำสาปแห่งความตาย ทันทีที่ถูกประทับตรา ชีวิตและความตายของเหยื่อจะตกอยู่ในกำมือของหวังเป่าเล่อ เพียงแค่คิดเขาก็สามารถคร่าชีวิตที่ตนเองควบคุมได้ในทันที และเปลี่ยนให้มันกลายเป็นดวงตาปีศาจอีกดวงหนึ่ง!
ร่างอวตารของผู้อาวุโสสูงสุดมีสีหน้าอ่านยาก ทว่าหลังจากที่ประทับตราแห่งความตายเสร็จเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็ยกมือขึ้นจับมือของร่างอวตาร ก่อนพูดอย่างสงบนิ่ง
“กลับกันเถิด” ชายหนุ่มเอ่ยก่อนก้าวไปข้างหน้า ส่วนผลดารานิรันดร์ในความทรงจำของผู้อาวุโสสูงสุดนั้น หวังเป่าเล่อก็เห็นเช่นกัน แต่สัมผัสของเขาบอกว่าผลดารานิรันดร์นั้นได้แห้งเหี่ยวและตายไปนานแสนนานพร้อมกับอารยธรรมที่ล่มสลายนี้แล้ว สิ่งที่ผู้อาวุโสสูงสุดรู้สึกได้ก่อนหน้านี้เป็นเพียงร่องรอยที่ยังเหลืออยู่ที่สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ยักษ์ปล่อยออกมาเท่านั้น
นอกจากนี้เขายังเชื่อว่าด้วยสติปัญญาของผู้อาวุโสสูงสุด อีกฝ่ายต้องสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างจากผนึกที่เขาประทับลงไปอย่างแน่นอน การปะติดปะต่อเรื่องราวและความเข้าใจผิดจะหยั่งรากลึกลงในใจของอีกฝ่ายขึ้นไปอีก และมันก็เป็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องการ
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย ร่างอวตารของผู้อาวุโสสูงสุดที่ยืนอยู่ด้านหลังหวังเป่าเล่อมีสีหน้าอ่านยาก เขาถอนหายใจออกมาเงียบๆ ด้วยความโล่งอก แม้จะโล่งที่ตนเองไม่ถูกฆ่าตาย แต่ก็ขมขื่นกับความจริงที่ว่าชีวิตและความตายของตนไม่ได้อยู่ในความควบคุมของตัวเองอีกต่อไป กระนั้นเขาก็ยังรู้ดีว่านี่อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว และตราประทับบนดวงวิญญาณของเขาก็ช่วยยืนยันความคิดนี้ได้เป็นอย่างดี
เอาละ ในเมื่อข้าหนีชะตากรรมนี้ไปไม่ได้ ก็คงทำได้เพียงยอมรับมัน…ข้อดีก็คือ อย่างน้อยข้าก็ยอมรับได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในสมาชิกราชวงศ์ ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ปลอบใจตนเองอยู่ลับๆ ก่อนบังคับให้ตัวตรงขึ้นเพื่อพยายามตามหวังเป่าเล่อให้ทัน ระหว่างที่กำลังตามชายหนุ่มอยู่นั้น เขาก็คิดหาวิธีการที่จะเข้ากับชายหนุ่มตรงหน้าให้ได้ในอนาคตไปด้วย
ดูเหมือนว่าข้าจะต้องงัดเอากระบวนเวทเก่าเก็บที่ไม่เคยทำสำเร็จเสียทีมาใช้เสียแล้ว คราวนี้ข้าจะต้องพยายามเต็มที่เพื่อให้สำเร็จให้ได้! ผู้อาวุโสสูงสุดคิดอยู่คนเดียวในใจ แววตาวาวด้วยความมุ่งมั่นขณะเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังของหวังเป่าเล่อ ประกายแสงโชติช่วงขึ้นในดวงตาทั้งสองข้าง ขณะที่เขาพูดด้วยเสียงดังพอให้หวังเป่าเล่อได้ยิน
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตของข้า เต๋อคุนจื่อ จะมาเปลี่ยนไปในช่วงเวลานี้…
“ข้าเคยหลงทางอยู่กับการเดินทางตามความต้องการของตนเอง ใช้เวลามัวเมาไปกับกลเม็ดสกปรกมากมาย ข้าเคยนึกอิจฉาผู้อื่นที่มีพื้นเพยิ่งใหญ่มั่งคั่งสุขสบาย แต่ในตอนนี้…ข้าเข้าใจแล้วว่าตัวเองในอดีตนั้นตื้นเขินเพียงใด นั่นเพราะตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้ามีนายท่านให้รับใช้แล้ว! ข้าไม่เคยเชื่อเลยว่าในจักรวาลแห่งนี้จะมีนักบุญผู้บริสุทธิ์โดยเนื้อแท้อยู่ แต่ข้าเชื่อแล้วในวันนี้เมื่อได้เจอกับนายท่าน!”
……………………