หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 765 ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลาง!
เคล็ดวิชาหลอมโอสถของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นั้นไม่ได้มีความพิเศษเหมือนเคล็ดวิชาหลอมวัตถุเวท ส่วนใหญ่จะไปขโมยโอสถมาหรือไม่ก็ใช้วิธีบางอย่างในการแลกเปลี่ยนกับอารยธรรมที่แข็งแกร่งอื่นๆ
ถึงพวกเขาจะไม่คุ้นชินกับการหลอมโอสถ แต่ประสบการณ์หลายปีก็ทำให้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์รู้จักโอสถมีชื่อรวมถึงอิทธิฤทธิ์ของมันไม่น้อย โอสถอมตะชั้นสูงเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ไม่ใช่ทุกอารยธรรมเก่าแก่จะหลอมโอสถนี้ขึ้นได้ มีเพียงอารยธรรมขนาดใหญ่เท่านั้นที่สามารถหลอมได้ มีการใช้สูตรปริศนาในการหลอม ทำให้โอสถนี้มีจำนวนน้อย อิทธิฤทธิ์หลักของมันคือการช่วยให้ผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วไปสามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จในการใช้ปราณวิญญาณหนาแน่น เพื่อบรรลุจากขั้นเชื่อมวิญญาณไปขั้นจิตวิญญาณอมตะ ในขณะเดียวกัน เพราะสูตรปริศนาที่ใช้หลอม โอสถนี้จึงถือว่าเป็นโอสถเฉพาะทาง ผู้ฝึกตนสามารถดื่มได้แค่หนเดียวในชีวิต หากดื่มหนที่สองจะสร้างความเสียหายรุนแรงให้ร่างกาย
แม้จะเป็นโอสถเฉพาะทาง แต่ด้วยความน่าดึงดูดใจและอิทธิฤทธิ์ที่รุนแรง ทำให้โอสถนี้มีราคาสูงมากในอารยธรรมเล็กๆ จริงๆ แล้วก็มีราคาตั้งไว้ แต่ไม่มีใครซื้อ!
เมื่อหวังเป่าเล่อออกไปค้นข้อมูล ชายหนุ่มเห็นหลายคนยอมแลกเรือบินรบสิบลำกับโอสถอมตะชั้นสูง ซึ่งทำให้เขาแปลกใจเป็นอันมาก
ไม่รู้ว่าใครซื้อมาไว้ใช้กับตัวเอง แต่ตอนนี้ข้าได้มาไว้ในมือแล้ว หวังเป่าเล่อมองโอสถในมือด้วยความสุขใจ เขาจำไม่ได้ว่าได้โอสถนี้มาจากใคร แต่ถ้าเจ้าลาเป็นคนเก็บมาก็แสดงว่าน่าจะเป็นของกองทหารมังกรหยดหมึก
พอรู้ว่าเดิมทีโอสถนี้เป็นของกองทหารมังกรหยดหมึก ประกอบกับการที่ได้ใช้วิธีต่างๆ ตรวจสอบดูและพบว่าโอสถไม่ได้มีความผิดปกติอะไร หวังเป่าเล่อก็ยิ่งสุขใจมากขึ้น ความจริงแล้วเพื่อป้องกันเผื่อมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น เขาถึงกับขูดผงจากโอสถไปป้อนให้เจ้าลา ซึ่งตอนนี้ก็มั่นใจแน่นอนแล้วว่าโอสถนี้ไม่มีอะไรแปลกปลอม
ชายหนุ่มนั่งลงขัดสมาธิ เริ่มฮัมเพลง ขณะที่เจ้าลาที่อยู่ข้างๆ มองมาด้วยความขุ่นเคืองใจ
ก่อนจะดื่มโอสถ ข้าควรฉลองก่อนเสียหน่อย หวังเป่าเล่อหยิบขนมมากมายออกมากิน หลังจากนั้นก็ดื่มน้ำเย็นหล่อวิญญาณที่เก็บไว้ เขาลูบกล้ามท้องอย่างสบายใจก่อนจะถอนใจออกมา
มีร่างอวตารก็ดีเหมือนกัน เพราะต่อให้กินเท่าไหร่ก็ไม่มีทางอ้วน ต่อไปถ้าอยากกินอะไรก็ให้ร่างอวตารเป็นคนกินแล้วกัน…ทำไมถึงคิดอะไรแสนชาญฉลาดเช่นนี้ได้กันนะ หวังเป่าเล่อ เจ้าช่างอัจฉริยะเสียจริง! หวังเป่าเล่อจมอยู่ในห้วงความคิด รู้สึกว่าตนฉลาดขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างที่เขากำลังสุขใจเป็นล้นพ้น สายตาก็เหลือบไปเห็นเจ้าลาที่อยู่ไม่ไกลกำลังโกรธเคืองขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มจึงปลดผนึกเจ้าลาให้มันสามารถอ้าปากได้…จากนั้นก็โยนวัตถุดิบที่ไม่ต้องการไปให้
เจ้าลาตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที มันสวาปามอย่างบ้าคลั่ง ครู่ต่อมาก็กินทุกอย่างจนหมด จากนั้นจึงส่งสายตาเว้าวอนไปหาหวังเป่าเล่อไม่หยุด
ข้าช่างใจอ่อนเสียจริง หวังเป่าเล่ออดใจไม่ได้ หลังจากค้นหาอยู่สักพักก็เจอวัตถุดิบที่ไม่ใช้และโยนไปให้มัน หลังจากนั้นก็ไม่ได้สนใจเจ้าลาอีก ชายหนุ่มหยิบโอสถอมตะชั้นสูงตรงหน้าขึ้นมา ดวงตาฉายแสงวาบขณะครุ่นคิดในใจอีกรอบ
ควรเก็บไว้ตอนบรรลุขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์แล้วดีหรือไม่ ถึงตอนนั้นจะเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการดื่มโอสถ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานเท่าใดกว่าจะบรรลุไปถึงชั้นนั้นได้…อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นั้นแสนอันตราย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก่อนที่ข้าจะได้บรรลุไปขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ คนอื่นอาจจะแย่งโอสถไปได้ ข้าก็จะเสียโอกาสไป
ถ้าเช่นนั้น…ถึงจะเสียของไปหน่อย แต่ข้าก็ควรกินตอนนี้! ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบ เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เขาก็ตรวจดูรอบๆ จากนั้นก็หยิบแผ่นหยกสื่อสารออกมาผนึกไว้เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่โดนรบกวนระหว่างช่วงเวลาสำคัญตอนดื่มโอสถ หลังจากเตรียมการเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มก็หยิบโอสถออกมา ใส่เข้าปากและกลืนลงคอ!
ทันทีที่เขากลืนโอสถลงคอก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนในหัว ราวกับว่ามีภูเขาไฟระเบิดส่งไอร้อนระอุไปทั่วร่าง ภูเขาไฟนั้นยังปะทุเดือดต่อไปขณะไอร้อนแผ่กระจายไปทั่ว ท่ามกลางคลื่นการปะทุนั้น เหมือนว่าจำนวนของภูเขาไฟจะทวีคูณเพิ่มขึ้นหลายเท่า ปราณวิญญาณหนาแน่นปะทุไปทั่วร่างของชายหนุ่มในทันใด
ในชั่วพริบตาเดียว เหงื่อก็เริ่มไหลจากหน้าผากของหวังเป่าเล่อ โอสถอมตะชั้นสูงนั้นมีอิทธิฤทธิ์รุนแรงเกินไป ส่งผลให้เขารู้สึกเหมือนเส้นปราณกำลังขยายตัว…
โอสถนี่แรงเกินไป! หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัวขณะคุมการไหลเวียนของพลังปราณและต้านทานพลังวิญญาณที่ปะทุขึ้นในร่าง ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนมีดาบฟันร่างของตนขาดเป็นสองท่อน หลังจากหันมองรอบบริเวณที่ใช้ถือสันโดษคร่าวๆ ว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เขาก็หลับตาลงและมุ่งความสนใจไปที่การดูดซับและย่อยโอสถ
หลังจากนั้นไม่นาน ประมาณสิบนาทีต่อมา ร่างของหวังเป่าเล่อก็แดงจัดเหมือนโลหะร้อนและระเบิดกลายเป็นหมอกควันกระจายทั่วพื้นที่ปิด จากนั้นก็กลับมารวมตัวกันดังเดิมในสภาพนั่งสมาธิ เขาใช้วิธีนี้เพื่อทำให้ตนเองดูดซับโอสถได้ดีขึ้น
พลังที่แผ่ออกจากร่างซึ่งรวมตัวขึ้นใหม่นั้นแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้ พลังปราณพุ่งสูงขึ้นหลายเท่าหลังจากที่เปลี่ยนเป็นหมอกและกลับมารวมตัวกันใหม่
แต่เห็นได้ชัดว่าการจะดูดซับโอสถให้สมบูรณ์นั้นเป็นเรื่องยากสำหรับเขา ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงสลายร่างและกลับมารวมตัวกันใหม่ถึงสามครั้งด้วยกัน เมื่อชายหนุ่มดูดซับโอสถได้หมด ระดับการฝึกตนของเขาก็บรรลุจากขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้น…ไปเป็นขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลาง!
พลังวิญญาณไร้ขอบเขตไหลเวียนอยู่ในร่าง ทุกครั้งที่เขาหายใจจะเหมือนดังว่ามีมังกรสองตัวลอยออกมาจากโพรงจมูก บินไปรอบๆ ก่อนจะกลับเข้าไป ชายหนุ่มอยู่ในสภาพเช่นนั้นเจ็ดวันก่อนทุกอย่างจะค่อยๆ จบลง เมื่อหวังเป่าเล่อลืมตาขึ้นอีกครั้งหลังจากทำสมาธิอยู่เจ็ดวัน ก็เหมือนดังว่ามีสายฟ้าอยู่ในดวงตา ทำให้ห้องลับที่เข้ามาถือสันโดษนั้นสว่างไสวยิ่งกว่าเดิม
แม้หวังเป่าเล่อจะกดทับพลังปราณไว้ แต่พลังกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างและแสงที่ซ่อนอยู่ในดวงตาก็ยังไม่หายไปไหน ส่งผลให้ห้วงอวกาศรอบสะเก็ดดาวบิดเบี้ยวไป
ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลาง! ผ่านไปสักพัก หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้น แม้จะเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว แต่เขาก็ยังตื่นกลัวพลังของโอสถอมตะชั้นสูง ถึงกระนั้นก็ยังแอบรู้สึกเสียดาย เพราะโอสถนั้นเป็นของสุดพิเศษที่สามารถดื่มได้หนเดียวในชีวิตของผู้ฝึกตกขั้นเชื่อมวิญญาณ การดื่มไปตอนนี้ก็เท่ากับเป็นการลดทอนประสิทธิภาพในการบรรลุไปขั้นจิตวิญญาณอมตะ
ข้าจะไม่มัวคิดมากแล้ว! หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงพลังปราณที่แปรเปลี่ยนไป ดวงตาของเขาฉายแววดุดัน ชายหนุ่มคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากพบกับผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกอีกครั้งและในที่สุดก็ได้คำตอบ แม้ตัวตนของเขาในปัจจุบันจะไม่สามารถเทียบชั้นกับขั้นแสร้งอมตะได้ แต่ก็มีโอกาสสูงที่ชายหนุ่มจะสามารถสังหารอีกฝ่ายได้ด้วยการสละร่างอวตาร!
เมื่อมั่นใจเช่นนั้น เขาก็สัมผัสสภาพร่างที่แท้จริงของตนอีกครั้ง เนื่องจากร่างอวตารสร้างมาจากกระบวนท่าสารัตถะ พลังที่เพิ่มพูนขึ้นของร่างอวตารจึงส่งผลต่อร่างจริงไปด้วย ดังนั้นร่างจริงที่อยู่ในโลงศพบนดาวเอกของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จึงบรรลุไปขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลางด้วยเช่นกัน
หากร่างอวตารผสานกลับสู่ร่างหลัก แม้ระดับการฝึกตนของร่างหลักจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร แต่พลังต่อสู้ก็ต้องทวีคูณเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
ผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะธรรมดาๆ ไม่เห็นจะน่ากลัวเลย! เมื่อคิดว่าตนเก่งกาจขึ้นแค่ไหน หวังเป่าเล่อก็มีความมั่นใจมากขึ้น เขาปลดผนึกแผ่นหยกสื่อสารและเปิดดูว่ามีใครส่งข้อความเสียงมาหาหรือไม่ในเจ็ดวันที่ผ่านมา
ทันทีที่เขาเปิดแผ่นหยกสื่อสาร ข้อมูลมากมายก็ส่งผ่านเข้ามาทันที มีทั้งข้อความจากเต๋อคุนจื่อ คนแปลกหน้าอีกสองสามคน และคำสั่ง!
หวังเป่าเล่อหยุดชะงัก หลังจากตรวจดูอีกครั้ง ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย
จักรพรรดิสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อยากพบข้าอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อใจเต้นแรง เขาเห็นว่าเต๋อคุนจื่อก็ส่งข้อความเสียงมาบอกเรื่องเดียวกัน หลังจากไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง ชายหนุ่มก็ติดต่อไปหาเต๋อคุนจื่อและได้คำตอบหลังจากถามคำถามไปสองสามข้อ
หวังเป่าเล่อได้ก่อจลาจลครั้งใหญ่ในการต่อสู้กับกองทหารมังกรหยดหมึกและมีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้ได้รับความสนใจจากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และจักรพรรดิที่อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์
เขาจึงออกคำสั่งเรียกตัวให้หวังเป่าเล่อเข้าพบในการประชุมสามัญครั้งต่อไปของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ปกติแล้ว มีเพียงผู้ที่มีอำนาจระดับหนึ่งในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และบรรลุขั้นเชื่อมวิญญาณแล้วเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้าประชุมสามัญ ผู้ฝึกตนจากสำนักย่อยนั้น ถ้าไม่ได้สร้างความสำเร็จหรือความดีความชอบครั้งใหญ่ให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็ไม่ทางได้รับเชิญ หากได้รับเชิญแสดงว่าสำนักใหญ่นั้นตระหนักถึงตัวตนของคนผู้นั้นในระดับหนึ่ง
คำเชิญนี้คือสิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องการและเป็นจุดประสงค์ที่ก่อการจลาจลขึ้น เขาตื่นเต้นมากเมื่อพบว่าตนทำได้สำเร็จ ขณะเดียวกันเมื่อคำนวณเวลาดูและพบว่าการประชุมจะจัดขึ้นในอีกสามวัน ดังนั้นหลังจากพิจารณาดูและมั่นใจว่าไม่มีปัญหาใหญ่อะไร ชายหนุ่มก็ออกจากสะเก็ดดาวที่ใช้ถือสันโดษและมุ่งหน้าไปยังตัวสำนักใหญ่ของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์…ที่ดาวเคราะห์มหาทัณฑ์!
……………………………….