หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 768 เทพธิดาหลิงโยว!
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าขณะที่ตั้วโหย่วจื่อยอมจำนนให้กับโชคชะตาตนเอง สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ไม่ได้เตรียมที่พักไว้ให้พวกเขาทำให้พวกที่มาถึงเร็วต้องนั่งสมาธิรออยู่ตรงที่นั่ง ตั้วโหย่วจื่อไปทักทายสหายผู้ฝึกตนที่รู้จัก และทำถึงขนาดหาจุดทำสมาธิบริเวณอื่นเพื่อที่จะได้ไม่ต้องกลับไปยังที่นั่ง…
หวังเป่าเล่อรู้สึกเบื่อมาก แต่ก็ไม่ได้คิดจะไปยังถ้ำที่พักของผู้ฝึกตนหญิงที่นำทางเขาก่อนหน้านี้ โชคดีที่ในที่ประชุมมีผลไม้วิญญาณให้ไม่จำกัด ตลอดสองวันที่ผ่านมา ชายหนุ่มนั่งกินผลไม้วิญญาณไปหลายพันลูกไม่ได้ลุกไปไหน ทำให้เขากลายเป็นที่เกลียดชังของหมู่ศิษย์ในครัวสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ไปแล้ว
สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์…ไม่เคยพบเจอคนกระเพาะรั่วเช่นนี้มาก่อน!
ยิ่งเขาสวาปามเข้าไปมาเท่าไหร่ เหล่าศิษย์ในครัวก็จะขโมยอาหารกลับไปได้น้อยลงเท่านั้น ศิษย์เหล่านี้มองการประชุมสามัญเป็นโอกาสทองที่จะร่ำรวยจากการขโมยเอาอาหารไปขาย จึงรู้สึกเจ็บปวดใจกับการสูญเสียรายได้ครั้งนี้
เหล่าศิษย์ในครัวต่างพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อผู้ประชุมในการประชุมสามัญมาถึงกันครบถ้วน ทำการประชุมสามัญจะได้เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการเสียที มิเช่นนั้น จากการคำนวณของพวกเขา เสบียงที่เตรียมไว้คงต้องหมดลงในเร็ววันเป็นแน่
ตั้วโหย่วจื่อต้องจำใจกลับที่นั่ง ชายชราแอบถอนหายใจเมื่อนั่งลงข้างหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มหันไปสำรวจตั้วโหย่วจื่อด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้พยายามจะทำให้อีกฝ่ายอึดอัดใจ จากนั้นจึงหันไปมองผู้อาวุโสในชุดคลุมสีดำซึ่งนั่งอยู่ตัวคนเดียวบนแท่นชั้นสอง
เขาเป็นเพียงคนเดียวที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่น แม้จะพยายามสะกดพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะเอาไว้ แต่พลังที่ล้นเหลือก็ยังเล็ดลอดออกมาจากร่างกายอยู่ดี ทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ใกล้ภูเขาไฟที่จวนเจียนจะระเบิด ทั่วทั้งโถงล้วนตกอยู่ในความเงียบงัน
เขาอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์! หวังเป่าเล่อตื่นตะลึง มีเพียงผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์และขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์เท่านั้นที่สามารถข่มพลังผู้ฝึกตนทั้งหมดในโถงด้วยพลังปราณของตนเพียงอย่างเดียว และเนื่องจากเขาไม่ได้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ ดังนั้นจึงต้องอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์
หากอิงตามเกณฑ์นี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะระบุตัวตนของผู้อาวุโสคนนั้น!
“ตั้วโหย่วจื่อ ข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรก บอกข้าทีว่าคนนั้นใคร” หวังเป่าเล่อเหลือบมองตั้วโหย่วจื่อที่นั่งสงวนท่าทีอยู่ในที่นั่งของตนเอง จากนั้นก็ส่งข้อความเสียงไปหาอีกฝ่าย
ตั้วโหย่วจื่อทำหน้านิ่วเล็กน้อย เขาเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะส่งข้อความเสียงกลับไปหาหวังเป่าเล่อสั้นๆ
“นั่นผู้บัญชาการกองทหารปลาคุนสีเขียว กองทหารอันดับหนึ่งของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ สหายเต๋ากูโม่!”
หวังเป่าเล่อพิจารณาผู้อาวุโสคนนั้นอยู่ครู่หนึ่งเพื่อจดจำใบหน้าอีกฝ่ายไว้ ทันใดนั้นสหายแห่งเต๋ากูโม่ ผู้บัญชาการกองทหารปลาคุนสีเขียวก็ลืมตาขึ้น ลมกรรโชกพัดโหมไปทั่วโถงแค่เพียงเขาลืมตา ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบงันทันที
“การประชุมสามัญจะเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้!” ทั้งห้องโถงตกอยู่ในความเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเสียงประกาศจะดังขึ้น จากนั้นผู้คนก็เริ่มพูดขึ้นทีละคนตามลำดับบางอย่าง การประชุมครั้งนี้มีคนมากมายเกินไป กว่าที่พันคนแรกจะพูดจบก็ผ่านไปแล้วหกวัน
หกวันที่ผ่านมา ในหมู่หนึ่งพันคนแรกที่ได้พูด บ้างก็ร้องทุกข์ บ้างก็ยื่นคำร้อง บ้างก็ร้องเรียน สหายแห่งเต๋ากูโม่ ประเมินแต่ละเรื่อง ทั้งยอมรับและบอกปฏิเสธไปทีละเรื่อง
หวังเป่าเล่อฟังอย่างเพลิดเพลินในช่วงแรก ก่อนจะค่อยๆ เริ่มเบื่อและรำคาญใจ ศิษย์ที่รับผิดชอบเติมผลไม้วิญญาณให้ชายหนุ่มยืนเป็นกังวลอยู่ด้านหลังเมื่อเห็นเขาเริ่มกินอีกครั้ง
ชายหนุ่มกินผลไม้วิญญาณไปกว่าสองพันลูกตลอดหกวันที่ผ่านมา จากนั้นผู้บัญชาการจากกองทหารอันดับสองก็มารับช่วงดำเนินการประชุมต่อจากสหายเต๋ากูโม่ ทุกอย่างดำเนินไปตามเดิม หวังเป่าเล่อไม่สามารถเพ่งความสนใจไปที่วาระการประชุมได้ จึงหยิบผลไม้มากินเล่นต่อ
จากนั้นผู้บัญชาการกองทหารอันดับสามและสี่ก็เข้ามารับช่วงต่อ ตามด้วยผู้บัญชาการกองทัพอันดับห้าถึงเก้าที่ขึ้นไปนั่งบทแท่นชั้นสาม พวกเขาสลับกันดูแลการประชุม กว่าจะหมดช่วงที่คนเหล่านี้ดูแลก็ผ่านไปแล้วยี่สิบวัน ตลอดช่วงเวลานั้น หวังเป่าเล่อกินผลไม้วิญญาณไปเกือบสามหมื่นลูก และได้ประจักษ์กับตาถึงความแข็งแกร่งของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ เพราะผู้บัญชาการกองทหารหกอันดับต้นล้วนอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสิ้น!
ส่วนผู้บัญชาการกองทหารอันดับเจ็ดลงมาอยู่ในขั้นแสร้งอมตะ ขณะที่ศิษย์ในครัวสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์กำลังจะทนไม่ไหวเพราะเสบียงที่หดหายไปอย่างรวดเร็ว ผู้บัญชาการกองทหารอันดับสิบก็มาปรากฏตัวในที่สุด!
นางคือผู้บัญชาการหญิงคนเดียวในสิบอันดับกองทหารทรงอำนาจประจำสำนัก ภายใต้ชุดเกราะสีดำมีหุ่นโค้งเว้าได้รูปและใบหน้าอันงดงามเกินบรรยาย พลังรัศมีเย็นชาพวยพุ่งออกมาจากร่างกายราวกับเป็นพายุลูกใหญ่ซึ่งเป็นพลังแห่งธรรมชาติที่ดึงดูดสายตาผู้ชายทุกคน
ตัวตนของนางเมื่อมาถึงไม่อาจเทียบชั้นได้กับพลังที่เหล่าผู้บัญชาการขั้นจิตวิญญาณอมตะคนก่อนหน้าปลดปล่อยออกมา แต่ก็เหนือชั้นกว่าผู้บัญชาการขั้นแสร้งอมตะคนอื่นๆ ดวงตาทุกคนเป็นประกายเมื่อเห็นความงดงามของนาง แม้หลายคนจะผุดความคิดผิดบาปขึ้นมา แต่ก็ไม่มีใครกล้ามองนางตรงๆ แม้แต่คนเดียว
“โหย่วจื่อ บอกข้าที่ว่านางคือใคร!” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงทันที นางคือผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่เขาพบตอนอยู่ด้านนอกที่ประชุม การปรากฏตัวของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มผุดคำถามขึ้นในหัว ดูจากระดับพลังปราณในปัจจุบันของนางแล้ว กองทัพที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของนางไม่น่าจะอยู่ในสิบอันดับต้นได้ หวังเป่าเล่อจึงส่งข้อความเสียงไปหาตั้วโหย่วจื่อ
ตั้วโหย่วจื่อเงียบไปครู่หนึ่ง เขาไม่ชอบชื่อที่หวังเป่าเล่อเรียกตนมาตลอดสิบกว่าวันที่ผ่านมา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่ตอบคำถามไปอย่างว่าง่าย
“นางคือผู้บัญชาการกองทหารวิหคน้ำแข็ง กองทัพอันดับสิบของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์…ผู้มีนามว่าเทพธิดาหลิงโยว นางเพิ่งบรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะและขึ้นมารับตำแหน่งโดยไม่ได้เข้ารับการทดสอบของกองทหาร มิเช่นนั้น หากว่ากันที่อันดับแล้ว นางควรจะอยู่ในระดับเดียวกับผู้บัญชาการกองทหารอันดับเจ็ด ซึ่งนั่นถือเป็นตำแหน่งที่สูงมากของสำนัก!”
“ไม่แย่ นางมีเนื้อคู่แห่งเต๋าแล้วหรือยัง” หวังเป่าเล่อกะพริบตา ด้วยรูปโฉมอันหล่อเหลาของเขา น่าจะโปรยเสน่ห์ใส่นางและเปิดโอกาสให้ตนเองได้ ชายหนุ่มรู้สึกตื่นตะลึงในความแข็งแกร่งของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ด้วยเช่นกัน ผู้บัญชาการกองทหารอันดับเจ็ดของสำนักเต๋าใหม่ม่วงครามนั้นมีระดับการฝึกตนแค่ขั้นแสร้งอมตะ เทียบกันดูแล้ว สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นแข็งแกร่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด การที่สองสำนักเหมือนจะอยู่ในระดับที่เท่าเทียมกันย่อมหมายความว่าสำนักเต๋าใหม่ม่วงครามยังมีพลังบางยังที่ชายหนุ่มไม่รู้เก็บซ่อนไว้อยู่!
ตั้วโหย่วจื่อถึงกับหันมามองหวังเป่าเล่อเมื่อได้ยินคำถาม เขาจ้องชายหนุ่มอย่างระแวดระวังก่อนจะสงบใจลงได้ จากนั้นก็ตอบข้อความเสียงกลับ
“ยังไม่มี ขอให้โชคดี สหายเต๋าหลงหนานจื่อ!”
หวังเป่าเล่อไม่สนใจสายตาซึ่งเขาคิดว่าเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาของตั้วโหย่วจื่อที่มองมา และเริ่มพิจารณาเทพธิดาหลิงโยวที่เพิ่งรับหน้าที่ผู้ดำเนินการประชุมไป ยิ่งมองก็ยิ่งมั่นใจว่าแผนของตนจะต้องสำเร็จ ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกลังเลใจเล็กน้อยเมื่อต้องตัดสินใจ
หวังเป่าเล่อผู้นี้เป็นคนยึดมั่นในหลักการ ข้ามีเส้นแบ่งที่จะไม่ก้าวข้าม แต่ถ้าเทพธิดาหลิงโยวตกหลุมรักข้าหัวปักหัวปำและไม่สามารถห้ามความปรารถนาอยากเชยชมความหล่อเหลาของข้าได้จะทำอย่างไรเล่า หวังเป่าเล่อถอนใจเมื่อคิดได้ดังนั้นและตัดสินใจไม่เอาตัวเข้าไปเสี่ยง เหล่าศิษย์จากในครัวยืนมองด้วยใจอันเจ็บจี๊ดเมื่อเห็นชายหนุ่มหยิบผลไม้วิญญาณเข้าปากอีกลูก
ห้าวันผ่านไป เมื่อจบช่วงของเทพธิดาหลิงโยว ผู้บัญชาการคนอื่นๆ ของกองทหารสิบอันดับต้นก็ปรากฏตัวจากด้านบนและลงมายืนอยู่บนแท่นชั้นที่สองและชั้นที่สาม ทุกคนในที่ประชุมลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีขึงขัง หวังเป่าเล่อก็เช่นกัน
ผู้บัญชาการทั้งสิบของกองทหารสิบอันดับต้นมาปรากฏตัวกันพร้อมหน้า เหล่าผู้บัญชาการของกองทหารสี่อันดับต้นยืนอยู่บนแท่นชั้นที่สอง ในขณะที่คนอื่นๆ ยืนอยู่บนชั้นที่สาม ในหมู่พวกเขามีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเจ็ดคนและขั้นแสร้งอมตะอีกสามคน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อม ทั้งห้องโถงตกอยู่ในความเงียบไปครู่หนึ่งก่อนสหายเต๋ากูโม่ ผู้บัญชาการกองทหารอันดับหนึ่งจะพูดขึ้น เสียงของเขาดังลั่นโถงประชุมราวกับเป็นสายฟ้าที่ฟาดผ่าลงมาโดยไม่ทันให้ตั้งตัว
“ต้อนรับท่านจักรพรรดิผู้สูงส่ง!”
ผู้ฝึกตนทุกคนในโถงประชุมสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินที่เขาพูด พวกเขารีบโค้งคำนับไปทางแท่นที่อยู่ตรงกลางโถง เสียงคนนับพันดังก้องขึ้นถึงสวรรค์!
“ต้อนรับท่านจักรพรรดิผู้สูงส่ง!”
สหายเต๋ากูโม่ เทพธิดาหลิงโยว และผู้บัญชาการกองทหารสิบอันดับต้นคนอื่นๆ ก็โค้งคำนับด้วยเช่นกัน ทันใดนั้น ผืนดินก็สั่นไหวส่งเสียงกึกก้องไปทั่ว การสั่นสะเทือนครั้งนี้สามารถได้ยินและสัมผัสได้แม้อยู่ด้านนอกที่ประชุม พลังแข็งแกร่งเกินบรรยายจุติลงมาบนแท่น
คลื่นพลังพัดกระจายไปทั่วทั้งโถงประชุมราวกับเกิดพายุรุนแรง เหล่าผู้ฝึกตนในโถงเป็นเหมือนเรือแพในคลื่นมหาสมุทรปั่นป่วน ไม่สามารถทำอะไรได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับวายุอันแข็งแกร่งที่ร้องขู่จะถล่มเรือพวกเขาลงทุกเมื่อ
หวังเป่าเล่อสะดุ้งด้วยความตื่นตกใจ แม้จะเคยพบผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์มาก่อน ก็ยังรู้สึกอึดอัดเมื่อได้พบตัวตนใหม่ที่เพิ่งปรากฏ ชายหนุ่มพยายามเงยหน้าขึ้นมอง หางตาเหลือบไปเห็นห้วงอวกาศที่จู่ๆ ก็แหวกออกเป็นรอยแยกส่องแสงสุกสว่างอยู่ด้านบนของแท่น!
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมหลากสีก้าวออกมาจากรอยแยกพร้อมรอยยิ้มอันอบอุ่น เหมือนเป็นเทพจุติลงมายังโลกมนุษย์ก็ไม่ปาน ในหัวทุกคนเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึงเมื่อเขาปรากฏตัว
หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว รู้สึกปวดตาขึ้นมาเมื่อมองชายตรงหน้าเพียงแค่แวบเดียว แสงเรืองรองที่เปล่งออกมานั้นไม่ต่างจากคมมีดอย่างไรอย่างนั้น
ชายหนุ่มไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป แม้จะต้องละสายตาออกมาเพราะความเจ็บปวด แต่เขาก็สามารถเห็นอีกฝั่งหนึ่งของรอยแยกที่จักรพรรดิระดับดาวพระเคราะห์ก้าวออกมาจากการมองเพียงแค่แวบเดียวได้ อีกด้านหนึ่งคือห้วงอวกาศกว้างใหญ่ไพศาลที่มีดาวเคราะห์ส่องแสงสุกสว่างอยู่ดวงหนึ่ง!
เมื่อเหลือบไปเห็นดาวเคราะห์ดวงนั้น ความรู้ที่หวังเป่าเล่อได้อ่านมาจากบันทึกโบราณของสำนักแห่งความมืดเกี่ยวกับวิธีบรรลุระดับดาวพระเคราะห์ก็ผุดขึ้นในหัว การจะบรรลุระดับดาวพระเคราะห์ได้นั้น…ผู้ฝึกตนจะต้องหลอมตนเองเข้ากับดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์ดวงนั้นจะกลายเป็นผู้ฝึกตนและผู้ฝึกตนก็จะกลายเป็นดาวเคราะห์ ทั้งสองจะผสานรวมเป็นหนึ่ง!
ดาวเคราะห์ดวงนั้นจะหายไปจากห้วงอวกาศและคงอยู่ในหัวของผู้ฝึกตนแทน!
ยิ่งผู้ฝึกตนหลอมตนเองเข้ากับดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่และพิเศษมากเท่าใดก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น แต่ดาวเคราะห์เช่นนั้นหาได้ยากยิ่ง ถึงจะมีอยู่ก็มีผู้ฝึกตนทรงอำนาจค้นพบและถือครองไว้เป็นของตนเองแล้ว
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจมอยู่ในห้วงความคิด พลังกดดันทั่วบริเวณก็หายวับไปหมด ชายวัยกลางคนที่ปรากฏตัวจากรอยแยกนั่งลงบนชั้นบนสุดของแท่น รอยแยกหดขนาดลง กลายเป็นช่องเล็กที่ส่องแสงออกมา ดูแล้วเหมือนกับ…ดวงตาของงูไม่มีผิด!
“ถวายบังคมจักรพรรดิผู้สูงส่ง!” สหายแห่งเต๋ากูโม่กล่าวขึ้นอีกครั้ง ทุกคนพูดตามเขา เสียงของเหล่าผู้ฝึกตนดังก้องขึ้น ขณะที่เสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ หวังเป่าเล่อก็กะพริบตาและตะโกนสุดเสียงที่เขามี
“ถวายบังคมจักรพรรดิผู้สูงส่ง! ขอให้หนึ่งรัชสมัยของท่านเจริญรุ่งโรจน์ ให้สองมังกรยอมสยบอยู่ใต้บัญชาท่าน ให้สามดินแดนยอมกำราบในความองอาจ ให้สี่ทิศของโลกยอมจำนนเป็นข้ารองบาท ให้นิ้วทั้งห้าของท่านลงทัณฑ์บัญชา! ขอให้ท่านหลุดพ้นจากสังสารวัฏหกวิถี ให้วิญญาณของท่านคงอยู่ตราบนานเท่าที่เจ็ดดาวฤกษ์ยังส่องสว่าง ให้จิตใจของท่านแข็งแกร่งเหนือการยั่วยุจากหมู่มารทั้งแปดแคว้น ให้สติปัญญาของท่านแจ่มชัดปราดเปรื่องในเก้าอารมณ์ และขอให้ระดับดารานิรันดร์อยู่ห่างจากท่านแค่เพียงสิบก้าว!”
………………………………..