หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 782 เกิดบ้าอะไรขึ้น
ณ ห้วงเวลานี้ ทั่วทั้งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์กำลังจับจ้องไปที่กองทหารวิหคน้ำแข็ง การที่กองทหารสิบอันดับแรกของสำนักผนึกกำลังเพื่อห้ำหั่นกันเองนั้น เป็นเรื่องที่เกิดได้ยากยิ่ง
เรื่องทั้งหมดนี้เกิดจากความทะเยอทะยานของเทพธิดาหลิงโยวเอง หากนางต้องการนำกองทหารของตนผงาดขึ้นมาเป็นกองทหารอันดับที่หก ด้วยพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะของนางก็คงทำได้ไม่ยาก ทุกสิ่งคงเป็นไปอย่างง่ายดายตามครรลองของมัน เนื่องจากกองทหารอันดับหกคงไม่สามารถต้านทานพลังของหญิงสาวได้
แต่สิ่งที่นางต้องการกลับไม่ใช่อันดับหก แต่เป็นอันดับห้า!
ซึ่งแปลว่านางกำลังเพิ่มความยากให้ภารกิจของตน โดยการท้าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคนอื่นๆ สู้ ด้วยเหตุนี้นางจึงกลายมาเป็นจุดสนใจของทุกคน ดังนั้นกองทหารอันดับห้าจึงร่วมมือกับกองทหารอื่นๆ เพื่อสยบเทพธิดาหลิงโยวและทำให้นางได้สำนึกถึงตำแหน่งของตัวเอง
การต่อสู้ครั้งนี้…ดึงความสนใจได้แม้กระทั่งผู้อาวุโสระดับดาวพระเคราะห์ประจำสำนัก เขาเองก็กวาดสายตาผ่านห้วงอวกาศไปจับจ้องอยู่ที่สนามรบเช่นกัน
ขณะที่สายตาทุกคู่กำลังจับจ้องไปที่สมรภูมิ ผู้ฝึกตนหญิงใบหน้ารูปไข่ก็ออกคำสั่งเคลื่อนกำลังพล เสียงร้องของปักษาดังกังวานไปทั่วบริเวณของกองทหารวิหค พลันโล่เปลวเพลิงล่องหนที่สร้างมาจากเพลิงสีฟ้า ก็เข้าครอบทั้งกองทัพเอาไว้เหมือนถ้วยคว่ำ คอยปกป้องผู้ฝึกตนน้อยใหญ่จากภัยภายนอก
นี่คือวงแหวนปราณป้องกันของกองทหารวิหคน้ำแข็ง วงแหวนปราณเพลิงเย็นปักษาผงาด!
ขณะที่ท้องฟ้าและผืนดินกำลังสั่นสะเทือนอยู่นั้น เปลวเพลิงสีฟ้าไม่ได้ปล่อยความร้อนระอุออกสู่บรรยากาศภายนอก หากแต่เป็นความเย็นจับขั้วหัวใจ ไอเย็นนี้แพร่กระจายไปทั่วบริเวณ จนเริ่มเห็นเกล็ดหิมะก่อตัวขึ้น ลอยละล่องอยู่ทั่วสนามรบ เรือบินรบจำนวนมากเคลื่อนที่ออกจากรอยแยกบนท้องฟ้าไกลจากวงแหวนปราณของกองทหารวิหคน้ำแข็ง
ในหมู่เรือบินรบมีอยู่สามลำที่มีรูปลักษณ์พิเศษและพลังปราณเข้มข้นกว่าใครเพื่อน เรือบินรบสามลำนี้เป็นของผู้บัญชาการกองทหารอันดับที่หก เจ็ด และสิบเอ็ด ลำหนึ่งเป็นทรงพีระมิด อีกลำเป็นวงแหวน ส่วนลำสุดท้ายที่เป็นของกองทหารอันดับสิบเอ็ดนั้น ผู้บัญชาการสูงสุดประจำกองทหารยืนผงาดอยู่บนดอกบัวเพลิงเย็นขนาดยักษ์ ในมือถือหอกยาว ภาพนี้ทำให้ชายผู้นี้ดูน่าเกรงขามเป็นอันมาก
แต่จากเรือบินรบทั้งหมดแล้ว ลำที่โดดเด่นที่สุดคือลำที่อยู่เบื้องหลัง มันรูปร่างเหมือนมังกรยักษ์สีแดง ลำตัวของมังกรใหญ่มหึมา พลังกดดันที่ปล่อยออกมาอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะ ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่บนมังกรสีแดงนั้น เขาอยู่ในชุดคลุมยาว ดูน่าเกรงขามดุดันแม้ไร้ซึ่งโทสะ พลังปราณของเขาอยู่ที่ขั้นจิตวิญญาณอมตะเช่นเดียวกัน
ชายผู้นี้คือผู้บัญชาการของกองทหารอันดับที่ห้า ผู้มีนามว่าศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดง มังกรยักษ์ที่อยู่แทบเท้าของเขาก็คือเรือบินรบเวทนั่นเอง!
“สหายเต๋าหลิงโยว ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้ายอมทิ้งความคิดที่จะท้าทายกองทหารมังกรแดงของข้าหรือไม่!” ประกายแสงวาบเข้ามาในแววตาของชายวับกลางคนขณะพูด เขาไม่สนใจทั้งวงแหวนปราณและกองทหารวิหคน้ำแข็งที่อยู่ภายใน แต่มองไปที่ตำหนักซึ่งอยู่หลังสุดของกองทัพทั้งหมด ราวกับว่าดวงตาของเขาสามารถมองทะลุกำแพงตำหนัก และเห็นเทพธิดาหลิงโยวที่กำลังนั่งขัดสมาธิ ซึ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ได้
“สหายเต๋ามังกรแดง พยายามพูดไปก็ป่วยการเปล่า”
ศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดงที่อยู่ภายนอกวงแหวนปราณส่ายหน้าเล็กน้อยหลังจากได้ยิน เขารู้สึกได้ถึงโทสะที่ค่อยๆ สุมอยู่ภายในใจ ก่อนหน้านี้กองทหารมังกรแดงอยู่อันดับสี่ แต่ก็พ่ายแพ้ให้กองทหารเกราะดำในการแข่งขัน จึงถูกลดอันดับมาอยู่ที่อันดับห้า เพียงเท่านั้นเขาก็รู้สึกหัวเสียมากแล้ว แต่บัดนี้กองทหารวิหคน้ำแข็งยังวางแผนท้าสู้กับเขาอีกด้วย ดวงตาของศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดงสว่างวาบ เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ยกมือขวาขึ้นกำโดยฉับพลัน ทันใดนั้น เปลวเพลิงก็พวยพุ่งออกจากร่าง มังกรแดงที่อยู่แทบเท้าอ้าปากคำราม ก่อนพ่นไฟประลัยกัลป์ออกมา เปลวเพลิงนั้นเมื่อรวมเข้ากับพลังเทพของศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดงก็พลันก่อรูปร่างกลายเป็นมือเพลิงยักษ์ในทันที มือยักษ์สีแดงฉานฟาดทับลงมาที่วงแหวนปราณของกองทหารวิหคน้ำแข็ง!
แต่ก่อนที่มือยักษ์จะทันได้ตบลงไปที่วงแหวนปราณ มือยักษ์อีกมือหนึ่งก็ยื่นออกจากเปลวไฟสีฟ้าที่ล้อมกองทหารวิหคน้ำแข็งเอาไว้ มือยักษ์ต่างขั้วพุ่งเข้าปะทะกันกลางอากาศ
เสียงปะทะดังสะเทือนไปทั่ว มือยักษ์เปลวไฟสีฟ้าถูกลมพัดปลิวสลายไป เผยให้เห็นเรือบินรบของหลิงโยวที่ซ่อนอยู่ภายใน เรือบินรบของนางดูราวกับเป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม ที่แหวกการเกาะกุมของมือยักษ์พุ่งทะยานเข้าใส่ศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดงในทันที!
ทั้งสองห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด ส่วนกองทัพภายนอกวงแหวนปราณก็เริ่มต่อสู้กัน ผู้ฝึกตนมากมายเหาะเหินไปในอากาศ เรือบินรบจำนวนมากเรียงตัวเป็นแนวเสาสว่างจ้าที่มีพลังทำลายล้างรุนแรง เมื่อแนวเรือบินรบลงจอดบนวงแหวนปราณของกองทหารวิหคน้ำแข็งได้สำเร็จ กองทหารวิหคน้ำแข็งก็เริ่มกระโจนเข้าตอบโต้ในทันที
หุ่นเชิดรูปปั้นมากมายผงาดขึ้นจากพื้นดินตามบัญชาการของผู้ฝึกตนหญิงใบหน้ารูปไข่ กองทหารอันดับที่แปดและเก้าซึ่งเป็นพันธมิตรกับกองทหารวิหคน้ำแข็งเพิ่งมาถึง และเข้าร่วมการตะลุมบอนด้วยเช่นกัน
เสียงการสู้รบกึกก้องไปทั่วทุกสารทิศ พลังเทพทำให้พื้นพิภพสั่นสะท้านและระเบิดใส่วงแหวนปราณ การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด มีหลายคนได้รับบาดเจ็บ แม้ผู้เสียชีวิตจะยังมีไม่มากนัก แต่หากเหตุการณ์ยังดำเนินไปในรูปการณ์นี้สถานการณ์จะต้องย่ำแย่ลงอย่างแน่นอน
หากเป็นเมื่อก่อน หวังเป่าเล่อที่เห็นฉากตรงหน้าอาจรู้สึกฮึกเหิมไปตามบรรยากาศ แต่ไม่ใช่ในครั้งนี้ สิ่งเดียวที่อยู่ในห้วงความคิดของเขาคือการหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสิบแปดให้ได้ เขาไม่สนใจว่าใครจะตีกับใครเพื่อแย่งชิงอะไรทั้งสิ้น และยังคงวิเคราะห์ทฤษฎีของตนเองอยู่ในใจ ราวกับวิญญาณได้ออกจากร่างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนการซ่อมแซมนั้นสามารถดำเนินไปเองโดยไม่ต้องการความช่วยเหลือของเขาแม้แต่น้อย เมื่อหุ่นเชิดที่ได้รับความเสียหายเดินกลับมาที่โรงซ่อม ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวทเหมือนหวังเป่าเล่อ ก็รีบพุ่งเข้าไปซ่อมแซมอย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงมีเวลาว่างนั่งคำนวณในหัวอยู่คนเดียวโดยไม่มีใครสนใจ เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างเชื่องช้า การต่อสู้ในสนามรบเริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่เกิดรอยแยกขึ้นบนวงแหวนปราณกองทหารวิหคน้ำแข็งถึงสองรอย ผู้ฝึกตนมากมายกระโจนเข้าไปในรอยแยกเหล่านั้นพร้อมด้วยเสียงดังลั่น
ผู้ฝึกตนจากกองทหารวิหคน้ำแข็งมีสีหน้าจริงจังขึ้นมาและรวมทัพในทันที ส่วนผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ทั้งสามคนก็ล่าถอยกลับมาอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองฝั่งต่อสู้กันอย่างดุเดือด วงแหวนปราณที่เสียหายซ่อมแซมตนเองอย่างรวดเร็ว ตอนที่วงแหวนปราณกำลังจะปิดสนิทลงอีกครั้งนั้น รังสีพลังรุนแรงสองสายก็พุ่งพรวดออกจากรอยแยก ผ่านเข้ามาภายในวงแหวนปราณเหมือนดาวตก ก่อนจะเหยียบลงบนพื้นของสมรภูมิเบื้องล่าง
“ประมุขหลิงเถา!”
“ปรมาจารย์เต๋าเมฆาวารี!” เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังไปทั่วกองทหารวิหคน้ำแข็ง ส่วนเสียงหัวเราะกึกก้องนั้นดังมาจากร่างทั้งสองที่เพิ่งลงสู่พื้น ทั้งสองคือผู้บัญชาการของกองทหารอันดับเจ็ดและสิบเอ็ด!
ประมุขหลิงเถาปล่อยพลังปราณขั้นแสร้งอมตะให้กระจัดกระจายไปทั่วสนามรบเหมือนพายุร้าย ดวงตาของเขาหรี่แคบขณะมองผู้ฝึกตนหญิงจากกองทหารวิหคน้ำแข็งที่กำลังทำทีเหมือนพวกเขาเป็นคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจ และเมื่อเห็นผู้ฝึกตนหญิงรูปร่างสวยงามยั่วยวน ประกายร้ายกาจในแววตาของปรมาจารย์เต๋าเมฆาวารีก็ชัดเจนจนปิดไม่มิด
รอยแยกทั้งสองไม่ได้อยู่ไกลจากตัวหวังเป่าเล่อเท่าใดนัก แต่เขาทำเพียงเงยหน้าขึ้นมองเท่านั้น ไม่คิดใส่ใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย การคำนวณสูตรหลอมโล่ในใจกำลังเดินทางมาถึงจุดสำคัญ จนเขารู้สึกได้ว่าตนเองกำลังจะบรรลุวิชาครั้งใหญ่
ทว่า…แม้ตัวเขาจะไม่ได้ใส่ใจผู้บัญชาการทั้งสอง แต่ด้วยความที่เป็นชาย จึงย่อมดูโดดเด่นออกมาจากผู้ฝึกตนรอบกายที่ส่วนมากเป็นสตรีเพศ แม้เขาจะไม่ใช่คนเดียวที่เป็นบุรุษ แต่คนอื่นๆ ที่เหลือต่างมีสีหน้ากระวนกระวายและจริงจัง มีหวังเป่าเล่อเพียงคนเดียวที่ดวงตาล่องลอยเหมือนกำลังฝันกลางวันอยู่ เขาจึงไปเตะตาผู้บัญชาการกองทหารอันดับเจ็ดเข้าจนได้
หลงหนานจื่อรึ ประกายแสงสว่างวาบในแววตาของชายที่เพิ่งมาถึง ค่าหัวของหวังเป่าเล่อผุดขึ้นในสมอง ส่วนประมุขหลิงเถาก็ดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน
ประมุขหลิงเถาถือหอกเอาไว้ในมือ มีก้อนน้ำแข็งสีดำราวแปดก้อนอยู่แทบเท้า ทันทีที่พลังปราณก้าวเข้าสู่ขั้นแสร้งอมตะ ความมั่นใจของเขาก็เพิ่มมากขึ้น เมื่อเข้ามาในวงแหวนปราณได้ ประมุขหลิงเถาก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่นด้วยความยโสโอหัง
“หลังการต่อสู้ในครั้งนี้ กองทหารของข้าจะต้องก้าวขึ้นมาสู่สิบอันดับแรกอย่างแน่นอน!” ประมุขหลิงเถาพูดพร้อมวาดหอกเป็นครึ่งวงกลม เขากวาดสายตามองรอบตัว และสังเกตเห็นหวังเป่าเล่อในทันทีเช่นเดียวกับผู้บัญชาการกองทหารอันดับทเจ็ด ภาพที่ทั้งสองมองเห็นคือ ภาพของหวังเป่าเล่อที่กำลังก้มหน้าครุ่นคิดเหมือนฝันกลางวันท่ามกลางผู้ฝึกตนหญิงมากมายที่รายล้อม
เมื่อเห็นดังนั้น ดวงตาของประมุขหลิงเถาก็วาววับ เขาดูประหลาดใจมาก รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏบนใบหน้าขณะพุ่งตรงเข้าไปหาหวังเป่าเล่อ ราวกับกลัวว่าปรมาจารย์เต๋าเมฆาวารีจะชิงตัดหน้าเก็บหวังเป่าเล่อไปก่อน
ส่วนโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่ลอยอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มนั้น แน่นอนประมุขหลิงเถาย่อมรู้ว่ามันคือสิ่งใด แต่เขาก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย เนื่องจากดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นโล่ระดับต่ำที่คงไม่ระคายผิวเขาแต่อย่างใด!
ความต้องการสังหารพุ่งออกจากร่างประมุขหลิงเถา ดวงตาของเขาไม่ได้มองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าว่าเป็นหวังเป่าเล่อ หากแต่เป็น…รางวัลค่าหัวจำนวนมหาศาลที่สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำนำมาล่อ!
“เจ้าอยู่ที่นี่เอง!” เสียงของเขาก้องไปในอากาศ ร่างเข้ามาประชิดตัวในทันทีเหมือนสายฟ้าฟาด ประมุขหลิงเถาปล่อยพลังปราณของตนเองเต็มพิกัด เปลวไฟสีดำระเบิดออกมาจากปลายหอกในมือ แปรเปลี่ยนเป็นสุนัขป่าสีดำที่กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะทะยานเข้าหาหวังเป่าเล่อ
ภาพของสุนัขสีดำที่รวบรวมพลังปราณขั้นแสร้งอมตะของประมุขหลิงเถาเอาไว้ พุ่งเข้าปะทะหวังเป่าเล่อจากด้านหน้าในทันที ในตอนนั้นเอง โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาก็สะท้อนแสงสว่างเจิดจ้าราวกับเป็นดวงอาทิตย์ โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับเจ็ดทั้งหมด 20,000 ชิ้นผนึกรวมกำลังกันเป็นหนึ่งท่ามกลางแสงสว่างนั้น และปล่อยพลังอันน่าเหลือเชื่อของโล่ระดับสิบเจ็ดออกมาด้วยพลังสะท้อนกลับระดับตำนานที่ร้อยละ 170…
สิ่งที่ตามมา…คือเสียงกรีดร้องแหลมสูงด้วยความเจ็บปวดโหยหวนน่าขนลุกที่กระจายไปทั่วบริเวณ เสียงดังกล่วฟังดูตกใจจนแทบสิ้นสติ ไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย เสียงนั้นดังขึ้นพร้อมร่างของประมุขหลิงเถาที่ปลิวไปด้านหลังด้วยความเร็วมากกว่าตอนที่เขาพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อเสียอีก หอกในมือแตกสลาย ส่วนแขนก็ระเบิดกระจุยกระจาย เลือดสดๆ สาดกระเซ็นไปทุกหนแห่ง กระทั่งแขนอีกข้างก็ยังระเบิดออกดังโพละ…
สมรภูมิโดยรอบเงียบสงัดลงในวินาทีนั้น มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่ยังคงมีท่าทีประหลาดอยู่ เขาเพิ่งคำนวณจุดสำคัญที่สุดในสมการ และมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับความคิดตนเองโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีบางสิ่งพุ่งเข้ามาใส่ตน จนส่งผลให้โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาทำงาน…
“เกิดบ้าอะไรขึ้น” หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้ารำคาญใจ
………………………………