หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 797 สมรภูมิเลือด!
ที่แห่งนี้ดูโล่งตา ไม่มีอะไรอื่นนอกจากเศษสะเก็ดดาว ไม่ต้องหวังว่าจะพบดาวเคราะห์เพราะไม่มีแม้แต่เศษซากหรือสิ่งมีชีวิต
มีแสงริบหรี่อยู่โดยรอบ และห้วงอวกาศก็มืดสนิท
อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ช่างเหมือนฝูงตั๊กแตน ใครจะรู้กันว่าพวกเขาออกปล้นอารยธรรมโดยรอบ…ไปกี่หนกันแล้ว หวังเป่าเล่อมองไปรอบๆ แม้จะรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ แต่ก็อดถอนหายใจไม่ได้อยู่ดี
ข้าต้องไปให้ไกลกว่านี้… หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอย่างเงียบเชียบ หางตาเหลือบไปเห็นเจ้าลาที่จ้องมองด้านในของเรือบินรบเวทตั๊กแตนด้วยดวงตาเป็นประกาย มันเลียริมฝีปากไม่หยุด น้ำลายเริ่มหยดย้อยลงพื้น…
เจ้าอู๋น้อยนั่งอยู่ข้างเจ้าลา มองออกไปในห้วงอวกาศ เหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด หวังเป่าเล่อเองก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่
ชายหนุ่มไม่สนใจเจ้าอู๋น้อย เขาหันไปจ้องเจ้าลาโดยไม่ต้องเอ่ยพูดอะไร แค่สายตาติเตือนก็เพียงพอ เจ้าลาได้รับสารที่เขาสื่อ มันก้มหน้าจ๋อย แลบลิ้นเลียกองน้ำลาย…
พอเห็นเจ้าลาสำเหนียกตัวเอง หวังเป่าเล่อก็เลิกมองมันด้วยแววตาข่มขู่ เขาสร้างผนึกฝ่ามือ กองเรือบินรบมารวมตัวรอบชายหนุ่มในทันใด ก่อนจะหายวับเข้ากำไลคลังเวทไปทีละลำ เหลือเพียงตั๊กแตนที่ยังมุ่งหน้าท่องอวกาศออกไปไกล
จุดที่เขาเลือกเคลื่อนย้ายมานั้นเป็นคนละจุดกับที่สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เลือก หวังเป่าเล่อคุ้นกับเส้นทางของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์มากกว่า แต่บริเวณนั้นถูกปล้นไปหมดแล้ว ทำให้ชายหนุ่มเลือกเสี่ยงดวงในจุดอื่นแทน
หวังเป่าเล่อมีแผนที่ดวงดาวของบริเวณนี้ แต่ก็ใช้ประโยชน์ไม่ค่อยได้เท่าไหร่ เพราะมันบอกเพียงขอบเขตที่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ได้ออกสำรวจแล้ว ด้วยความเร็วของตั๊กแตน พวกเขาจึงมาถึงขอบสุดของบริเวณที่ผ่านการสำรวจมาแล้วภายในสองสัปดาห์ ถึงตอนนี้แผนที่ดวงดาวก็กลายเป็นของไร้ประโยชน์ในทันที
เขตแดนข้างหน้าเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ถูกบันทึกไว้ในแผนที่ แต่ก็เป็นไปได้ที่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะเคยบุกปล้นไปแล้ว แต่ยิ่งไปไกลเท่าไหร่ โอกาสที่จะมีคนเคยบุกมาก็ยิ่งน้อยลง… หวังเป่าเล่อตื่นเต้นขึ้นมา รีบคุมตั๊กแตนมุ่งหน้าตรงไปเรื่อยๆ
ทว่า…โชคกลับไม่เข้าข้างหวังเป่าเล่อในการออกสำรวจครั้งนี้ สองสัปดาห์ผ่านไป อวกาศรอบๆ ก็ยังมีแต่ความมืดดำ ไร้ซึ่งแม้ดาวเคราะห์สักดวง
หวังเป่าเล่อหงุดหงิดใจ เจ้าลาเลียด้านในเรือบินรบเวทช้าลงเมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์ฉุนเฉียวของเจ้านาย ถึงกระนั้น ทุกครั้งที่เห็นมันน้ำลายหกเมื่อไหร่ ชายหนุ่มก็จะหันมาถลึงตาใส่ทันที
“อู๋น้อย!”
“ขอรับ ท่านบิดา!” เจ้าอู๋น้อยที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดมาตลอดหนึ่งเดือนสะดุ้งลุกยืนพร้อมตะโกนตอบเมื่อได้ยินเสียงหวังเป่าเล่อ
“ข้าจะมอบภารกิจให้เจ้า จับตาดูเจ้าลาไว้ อย่าให้มันทำน้ำลายสอและห้ามมันกินอะไรสักอย่าง!”
เจ้าอู๋น้อยแทบขาดใจเมื่อได้ยินคำสั่ง เขารู้รสนิยมการกินอาหารของเจ้าลาดีและรู้ว่าไม่มีอะไรในโลกที่มันกินไม่ได้ จริงๆ แล้วเด็กหนุ่มถึงกับแอบคิดว่าเจ้าลาอาจหันมายิงเขี้ยวใส่ตนก็ได้ถ้ามันหิวจัดขึ้นมา…
เขาถึงขนาดคิดไปว่าถ้าอะไรๆ เข้าที่เข้าทาง เจ้าลาอาจเขมือบทั้งอาณาจักรพิภพทมิฬเลยก็เป็นได้…
เขาหันมองเจ้าลาสลับกับหวังเป่าเล่อ ก่อนจะพึมพำขึ้นด้วยสีหน้าน่าสงสาร “ท่านบิดา ข้าห้ามเจ้านายลำดับสองไม่ได้ เขาถือเป็นศิษย์พี่…”
“ข้าจะกัดเจ้าตามจำนวนครั้งที่มันกัดอะไรเข้า!” หวังเป่าเล่อมองตาขวาง เจ้าอู๋น้อยสั่นกลัวเมื่อเห็นเช่นนั้นเพราะมั่นใจว่าผู้เป็นนายสามารถทำตามที่พูดได้แน่ ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นทันใด ก่อนจะร้องตอบเสียงดัง
“ไม่ต้องเป็นห่วง ท่านบิดา ข้าจะห้ามไม่ให้เจ้านายลำดับสองทำอะไรที่ไม่สมควร!”
หวังเป่าเล่อแค่นเสียงทางจมูกก่อนจะหันหนี เลิกสนใจเจ้าอู๋น้อยที่กำลังทำหน้าไม่สบายใจขณะเจรจาบอกเจ้าลาให้คุมความหิวกระหาย
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ขณะหวังเป่าเล่อขี่ตั๊กแตนท่องห้วงอวกาศมืดมิด เขาท่องข้ามจักรพิภพแล้วจักรพิภพเล่าราวกับเป็นอสูรเดียวดาย ทุกแห่งนั้นว่างเปล่าเหมือนกันหมด ปราศจากแม้สัญญาณสิ่งมีชีวิตหรือเศษซากอารยธรรม
การเดินทางที่แสนน่าเบื่อและไร้ทิศทางทำให้ชายหนุ่มเริ่มไม่แน่ใจ เขาสงสัยว่าควรจะเลิกเสียเวลาและหันกลับไปทางอื่นดีหรือไม่ อะไรๆ อาจจะดีกว่านี้ก็เป็นได้
ขณะที่ความไม่มั่นใจเริ่มก่อตัวขึ้นภายใน ห้วงอวกาศเบื้องหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ตอนนี้มีแสงส่องสว่างอยู่ไกลๆ ไม่ได้มีเพียงความมืดมิดเหมือนก่อนแต่อย่างใด
แสงสว่าง! การค้นพบครั้งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกกระปรี้กระเปร่า เมื่อมีแสงก็แสดงว่าต้องมีดารานิรันดร์อยู่ที่ไหนสักแห่งภายในบริเวณนี้ เขาไม่รู้ว่าดารานิรันดร์ที่ว่ามีสภาพเป็นอย่างไร แต่ก็รู้ดีว่าดารานิรันดร์คือแก่นของทุกอารยธรรม ถ้ามีดารานิรันดร์ ก็มีโอกาสที่จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่สูง
การค้นพบนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเปลี่ยนทิศทาง เขามุ่งหน้าตรงไปยังจุดกำเนิดแสงด้วยความเร็วเต็มพิกัด ผ่านไปสิบวัน แสงก็เริ่มส่องสว่างมากขึ้น ชายหนุ่มเห็นเค้าโครงดารานิรันดร์ขนาดใหญ่อยู่ไกลออกไป!
ดารานิรันดร์ที่ว่านี้ใหญ่กว่าดารานิรันดร์ในอารยธรรมดวงเนตรปีศาจ แต่ไม่ได้ฉายแสงสุกสว่างเท่า เขาแทบไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นจากแสงเลย เหมือนมันจะผ่านการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างจนมีสภาพเป็นหินไปแล้ว
แต่แหล่งกำเนิดแสงจากแก่นในไม่ได้ดับหายไป แสงยังคงทะลุผ่านชั้นเปลือกหินของดารานิรันดร์ และส่องสว่างไปทั่วบริเวณ
หวังเป่าเล่อใจเต้นรัวเมื่อได้เห็นภาพเบื้องหน้า เขาหยุดตั๊กแตนโดยไม่ลังเลใจ จากนั้นก็โบกมือขวาเรียกเข็มทิศออกมา
เข็มทิศนี้เป็นของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ใช้ในการตรวจสอบดินแดนอวกาศและสร้างแผนที่ดวงดาว กลุ่มผู้ฝึกตนที่ไปรุกรานสหพันธรัฐก็ใช้ของคล้ายๆ กันนี้ในการตรวจสอบระบบสุริยะเช่นกัน
เข็มทิศของหวังเป่าเล่อเหนือชั้นกว่าเข็มทิศของผู้ฝึกตนกลุ่มนั้นมาก ทั้งในแง่ของความแม่นยำและขอบเขตในการตรวจสอบ มันเป็นของจำเป็นที่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์มอบให้เหล่ากองทหาร
“แดง ส้ม เหลือง ฟ้า เขียว น้ำเงิน และม่วง แดงหมายถึงพลังระดับดารานิรันดร์ ส้มหมายถึงระดับดาวพระเคราะห์ เหลืองเข้มคือขั้นจิตวิญญาณอมตะ…เหลืองอ่อนคือขั้นเชื่อมวิญญาณ…” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเองขณะตรวจสอบเข็มทิศ ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังดาวเคราะห์ทั้งห้าดวงที่ปรากฏอยู่บนเข็มทิศ!
ดวงที่ใหญ่ที่สุดที่หวังเป่าเล่อกำลังมองอยู่คือดารานิรันดร์ สัมผัสของเขานั้นถูกต้อง พื้นที่ส่วนใหญ่ของดารานิรันดร์ได้กลายสภาพเป็นหินไปแล้ว ส่วนอีกสี่ดวงที่เหลือในจักรพิภพนี้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์และล้วนกลายเป็นหินไปทั้งสิ้น!
ทั้งสี่ดวงแปรสภาพเป็นหินมากกว่าดารานิรันดร์ เกือบจะกลายเป็นหินโดยสมบูรณ์ แทนที่จะเรียกว่าดาวเคราะห์ อาจมองได้ว่า…ทั้งสี่ดวงคืออุกกาบาตขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่กลางห้วงอวกาศ!
ส่วนสีของเหล่าดาวเคราะห์นั้น…แม้เข็มทิศจะไม่สามารถระบุสีของดารานิรันดร์ได้ แต่ก็ระบุได้ว่าดาวเคราะห์อีกสี่ดวงมีสีดำ ซึ่งหมายความว่าไม่มีสัญญาณของปราณวิญญาณบนดาวเคราะห์เหล่านี้ หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเมื่อพบเช่นนั้น
อารยธรรมกลายพันธุ์อีกแล้วหรือ หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่เงียบๆ ขณะบังคับตั๊กแตนมุ่งหน้าเข้าไปในจักรพิภพ เขาปลดปล่อยพลังปราณเพื่อเปิดใช้พลังเต็มขั้นของตั๊กแตน พร้อมที่จะเร่งความเร็วหรือตอบโต้เมื่อจับสัญญาณอะไรได้
ตั๊กแตนมุ่งหน้าเข้าไปใกล้จักรพิภพแห่งใหม่อย่างมั่นคงภายใต้การเฝ้าระวังของหวังเป่าเล่อ เมื่อเข้ามาในจักรพิภพ ใบหน้าของเขาก็ฉายแววตื่นตกใจ ตั๊กแตนหยุดชะงักทันใด!
ก่อนหน้านี้…ชายหนุ่มมองเห็นอะไรได้ไม่ชัดเจนเพราะอยู่ไกล นอกจากนี้ยังมีพลังประหลาดบางอย่างปกคลุมทั่วจักรพิภพทำให้เข็มทิศไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ละเอียดนัก ทว่าพอเข้ามาในจักรพิภพ ทุกอย่างก็เริ่มชัดเจนในสายตา…
ที่แห่งนี้คือสมรภูมิเลือด!
ศพมากมายลอยอยู่กลางอวกาศ พร้อมด้วยเศษซากเรือบินรบและสมบัติเวท ทุกอย่างลอยไปมาอยู่เต็มพื้นที่…ในระยะสายตาที่มองเห็นได้!
ข้าอยู่ที่ใดกัน! อาการตื่นกลัวฉายชัดบนใบหน้าของชายหนุ่ม ภายในรู้สึกอึดอัดเกินบรรยาย หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายที่คืบคลานมาจากรอบด้าน!
…………………….