หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 814 แปลงเป็นนก!
เมื่อผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายไล่ตามลงไปใต้ดิน ร่างสารัตถะของหวังเป่าเล่อที่แปรสภาพเป็นเศษฝุ่นก็เคลื่อนย้ายหนีไปไกลทันทีด้วยพลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลาย เมื่อชายหนุ่มมาปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็แปลงกายเป็นนกแล้วส่งเสียงร้องไปยังฝูงนกที่บินสวนมาบนฟ้า ก่อนจะร่วมบินมุ่งตรงไปยังขอบฟ้ากับฝูงนกเหล่านั้น
ไม่เพียงเท่านั้น หวังเป่าเล่อ ผู้ที่กลัวว่าจะถูกไล่ตามทันก็แปลงกายอีกครั้ง หลังจากสัมผัสได้ว่าสัมผัสเทพที่ลงลึกไปใต้ดินของเขาสลายไป อีกทั้งสัมผัสเทพอื่นๆ ที่ชายหนุ่มปล่อยออกไปก็ค่อยๆ จางหายไปตามๆ กัน หวังเป่าเล่อแปลงสภาพกลายเป็นขนนกเส้นหนึ่งที่ค่อยๆ ร่วงหล่นลงไปบนผิวของแม่น้ำ ก่อนจะกลายเป็นก้อนหิน ที่หลังจากจมลงไปยังก้นแม่น้ำแล้ว จึงค่อยแปรสภาพเป็นปลารีบว่ายหนีไปตามกระแสน้ำ
ผ่านไปสิบห้านาที เมื่อหวังเป่าเล่อออกมาจากฝูงนกแล้ว ร่างของนกทั้งฝูงก็สั่นเทาก่อนร่วงหล่นลงมาตายพร้อมๆ กัน ข้างๆ ซากนกเหล่านั้น ปรากฏใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเกรี้ยวกราดของผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้น หลังจากที่กวาดตามองไปรอบๆ แล้วไม่พบหวังเป่าเล่อ โทสะในใจของผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นก็พุ่งสูงถึงขีดสุด
ในฐานะผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่ไล่ตามผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ การถูกผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณสลัดหลุดได้ถือเป็นการเสียหน้าครั้งใหญ่ สิ่งที่ทำให้ผู้อาวุโสยิ่งเกรี้ยวกราดก็คือเขาตกหลุมพลางเหยื่อล่อเมื่อครู่!
เจ้าคนนี้เชี่ยวชาญการแปลงกาย! ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นกัดกรามแน่น แม้ว่าเขาจะเฉลียวใจเรื่องนี้มาบ้าง แต่เมื่อเข้าใจวิธีการของหวังเป่าเล่อมากขึ้น ชายชราก็อดรู้สึกเสียท่าไม่ได้จนต้องส่งเสียงคำรามออกมา จากนั้นก็ปลดปล่อยสัมผัสเทพออกไปไกลร่วมสามร้อยกิโลเมตรโดยไม่สนใจผลที่จะตามมา แล้วส่งคลื่นกระแทกออกไปพร้อมดวงจิตของตน ไม่ว่าดวงจิตจะเดินทางไปที่ใด ทุกสรรพชีวิตที่สัมผัสมันจะต้องสั่นสะท้านก่อนแหลกสลายไป
แต่ไม่รวมหวังเป่าเล่อ ก่อนที่ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นจะปรากฏกาย ชายหนุ่มก็เคลื่อนย้ายหนีไปอีกครั้งในร่างปลา เมื่อมาปรากฏตัวอีกรอบ เขาก็อยู่ห่างออกมามาก ยิ่งไปกว่านั้น หวังเป่าเล่อยังแปลงร่างอีกครั้ง กลายเป็นผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นก่อนจะออกวิ่งหนีต่อ
แต่นั่นยังไม่ใช่การแปลงกายครั้งสุดท้ายของหวังเป่าเล่อ ขณะที่หนีต่อไปนั้น บางครั้งชายหนุ่มก็แปลงร่างเป็นอสูรตัวจ้อยไร้พิษสงที่วิ่งอยู่บนดิน บางครั้งก็กลายเป็นแมลงไปซ่อนในซอกดิน มีกระทั่งแปลงร่างเป็นผู้มาจุติคนอื่นๆ ด้วยซ้ำ ด้วยวิธีนี้เขาจึงเพิ่มระยะห่างระหว่างตนและผู้อาวุโสออกไปทีละน้อย และเมื่อสะสมไปเรื่อยๆ ระยะทางระหว่างทั้งคู่ก็ห่างไกลจนเกินกว่าจะไล่ตามไหว
ด้วยเหตุนี้ แม้ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะจะไล่ตามไปอีกหลายต่อหลายครั้ง ก็ยังไม่อาจตามหวังเป่าเล่อทัน กระทั่งแกะรอยหวังเป่าเล่อไม่ได้เลยในตอนท้าย จนสุดท้ายต้องออกคำสั่งและประกาศให้หน่วยย่อยของตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งหมดร่วมกันค้นหาบุรุษสวมหน้ากากสุกรจนทั่ว
แม้วิธีนี้จะไม่ได้ผลมากนัก แต่ก็ยังดีกว่าอยู่เฉยๆ ขณะเดียวกัน ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะก็คิดอยู่ในใจว่า หน่วยย่อยของตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งหมดล้วนเป็นเพียงเหยื่อล่อ ทันทีที่บุรุษในหน้ากากสุกรปรากฏตัวขึ้นและสังหารใครสักคน เขาก็จะมีร่องรอยให้ติดตามอีกครั้ง!
ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งหมดบนดาวเคราะห์ต่างก็เคลื่อนไหวตามคำสั่งของผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะ พวกเขาล้วนออกตามหาบุรุษในหน้ากากสุกรพร้อมจิตสังหารอันรุนแรง การออกตามล่าเช่นนั้นสร้างความวิบัติขนานใหญ่ให้บรรดาเหล่าผู้มาจุติชนิดที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ในความเป็นจริงแล้ว ตอนนี้ตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งหมดกำลังตามหาเพียงหน้ากากสุกรเท่านั้น แต่ขณะเดียวกัน เพราะคำสั่งของผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะ พวกเขาต่างก็ระแวดระวังกันและกัน ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทุกคนต่างก็แบกรับความกดดันหนักอึ้งเอาไว้ในใจ จนถึงขนาดที่ว่าพุ่งเข้าจู่โจมผู้มาจุติทันทีที่มองเห็น พวกเขาจะรุมตีผู้มาจุติจนตาย หรือหากไม่สามารถสังหารได้ ก็จะจับมาสอบสวนว่าหน้ากากสุกรอยู่ที่ใดกันแน่!
ด้วยเหตุนี้ บรรดาผู้มาจุติทุกคนจึงรู้สึกคั่งแค้นอยู่ในใจ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าหน้ากากสุกรนั้นไปอยู่ที่ใด ดังนั้นจึงเกิดการบุกรุกและสังหารกันอยู่บ่อยครั้งในหลายๆ เขตบนดาวเคราะห์นี้ ทำให้บรรดาผู้มาจุติต่างรู้สึกขมขื่นใจ และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมล้มเลิกภารกิจ พวกเขาเริ่มซ่อนตัวกันบ่อยขึ้นเพื่อซื้อเวลารอให้ภารกิจจบลง จะได้เคลื่อนย้ายออกไปจากสถานที่สุดอันตรายแห่งนี้ ในเวลาเดียวกัน ความเกลียดชังในใจก็เพิ่มพูนขึ้น พวกเขาทุกคนต่างก็คิดเช่นเดียวกัน นั่นก็คือ…ต้องควานหาตัวหน้ากากสุกรและสังหารเขาทันทีที่กลับไป!
ปรมาจารย์แห่งไฟเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ในแง่หนึ่ง ชายชรารู้สึกว่าหวังเป่าเล่อที่ใช้ทักษะการปลอมแปลงกายในการหลบหนีนั้นหัวไวยิ่ง แต่อีกแง่ เมื่อได้เห็นความเกลียดชังที่ผู้มาจุติคนอื่นๆ รู้สึกต่อหวังเป่าเล่อ เขาก็รู้สึกสนใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
และในขณะที่ดาวเคราะห์ทั้งดวงตกอยู่ภายใต้ความวุ่นวายอย่างหนัก หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งเป็นต้นเหตุก็รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองก่อนที่จะแปลงกายเป็นนกอีกครั้ง ชายหนุ่มร่อนลงเกาะกิ่งไม้หนึ่งในป่าใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นซึ่งเหาะข้ามท้องฟ้าเบื้องบนไป
แย่แล้ว เหลือเวลาอีกเพียงสิบชั่วโมงก่อนที่เวลาจะหมด หวังเป่าเล่อปวดศีรษะยิ่ง เขาเข้าร่วมภารกิจนี้เพราะอยากได้ผลึกสีชาด แต่อีกด้านหนึ่ง ชายหนุ่มก็อยากใช้วิชาดวงเนตรปีศาจสังหารผู้คนเพื่อบรรลุขั้นปราณ
ก่อนหน้านี้ ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเป็นไปตามแผน หวังเป่าเล่อได้ผลึกสีชาดจากการสังหารผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้น ควบคู่ไปกับการผลักดันวิชาดวงเนตรปีศาจให้ก้าวหน้าไปพร้อมกัน ชายหนุ่มรู้สึกลิงโลดใจเป็นอย่างยิ่ง วิชาดวงเนตรปีศาจเองก็มาถึงจุดที่เพิ่มพลังปราณของหวังเป่าเล่อได้อย่างมาก จนกระทั่งอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายในที่สุด
จากการคำนวณของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มคิดว่า หากเดินหน้าต่อไป ตัวเขาย่อมสามารถบรรลุขั้นปราณได้ก่อนที่ภารกิจจะจบลงแน่ เพราะระดับปราณของบรรดาผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นช่างสูงส่งและให้ประโยชน์กับเขามากมาย
ตอนนี้ข้าซวยแล้ว! หวังเป่าเล่อเศร้าสร้อยเล็กน้อย ชายหนุ่มยืนจิกขนอยู่บนกิ่งไม้พลางคิดหาวิธีรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบัน ขณะกำลังคิดอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงดังสนั่นกึกก้องขึ้นมาในศีรษะ
“ช่วยข้าด้วย… ช่วยข้าด้วย…”
เสียงนั้นทำเอาหวังเป่าเล่อสะดุ้งไปทั้งกาย นัยน์ตาเบิกโพลง ชายหนุ่มบินขึ้นฟ้าก่อนจะหันรีหันขวางอย่างตื่นตระหนก รีบใช้สัมผัสเทพกวาดสำรวจรอบกายตามสัญชาติญาณแต่ก็ไม่พบสิ่งใด จนสีหน้าของหวังเป่าเล่อบูดเบี้ยวไป
แม้ในตอนที่เสียงนั้นอ่อนแรงลงจนกระทั่งค่อยๆ จางหายไป หวังเป่าเล่อที่ระแวดระวังตัวเต็มที่ก็ยังไม่พบสิ่งแปลกปลอมในป่าบริเวณนี้ ในที่สุด นกหวังเป่าเล่อก็ลงเกาะกิ่งไม้อีกครั้งก่อนจะหรี่ตาลง
ครั้งที่สองแล้วนะ! หวังเป่าเล่อจำที่เสียงปรากฏขึ้นในหัวครั้งแรกได้ชัดเจน หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าเสียงนั้นชัดเจนกว่าครั้งแรก ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างประหลาดนัก ขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกเช่นเดียวกับครั้งก่อน ความรู้สึกรางๆ บ่งบอกว่าเสียงนั้นมาจากตำแหน่งหนึ่งที่ลึกลงไปในดิน
นี่ข้าได้ยินคนเดียว…หรือทุกคนก็ได้ยินกันนะ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ขณะที่กำลังครุ่นคิด ชายหนุ่มก็เงยศีรษะขึ้นมองไปยังที่ที่ห่างไกลลึกเข้าไปในป่า
ตอนนั้นเองที่บริเวณชายป่า ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังมองไปยังทิศทางเดียวกัน บุรุษรูปร่างกำยำใส่หน้ากากกระทิงก็กำลังวิ่งเต็มฝีเท้าเข้ามาในป่า หลังจากที่เข้ามาได้ สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง ชายหนุ่มหันกลับไปมองข้างหลังอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่ได้ลดความเร็วลงแม้จะวิ่งลึกเข้ามาในป่าแล้วก็ตาม ขณะเดียวกัน ภายใต้พลังการปกปิดของหน้ากาก รัศมีของเขาก็ถูกสภาพแวดล้อมรอบข้างอำพรางไว้อย่างรวดเร็ว หากหวังเป่าเล่อไม่ได้เล็งเป้าชายหน้ากากกระทิงไว้ตั้งแต่แรก ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะตามตัวอีกฝ่ายพบพบ
เจ้านั่นนี่นา เมื่อมองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคย หวังเป่าเล่อก็หัวเราะออกมา ชายหนุ่มยังเห็นอีกว่า มีหน่วยย่อยของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นสองหน่วยวิ่งไล่ตามมา ในกลุ่มนั้นมีผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายอยู่สองคน และชั้นสมบูรณ์อีกหนึ่งคน
เจ้านี่คงไปแหย่รังแตนมาด้วยกระมัง ทำไมถึงมีคนตระกูลไม่รู้สิ้นไล่ตามมามากขนาดนั้น หลังจากที่เห็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ตกใจเล็กน้อย ท่ามกลางความตื่นตะลึง บุรุษในหน้ากากกระทิงก็เข้าไปหลบใต้ต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะใช้กระบวนท่าที่หวังเป่าเล่อไม่รู้จัก ตอนนั้นเองรัศมีที่ยากจะจับได้ในตอนแรกก็หายไปในพริบตา ยิ่งไปกว่านั้น แม้บุรุษหน้ากากกระทิงจะยืนอยู่ตรงนั้น แต่ดูเหมือนว่าบรรดาผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นกลับมองไม่เห็นอีกฝ่ายเลย แม้จะกำลังเดินอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มก็ตาม
หวังเป่าเล่อตกใจเล็กน้อย ชายหนุ่มหรี่ตาก่อนจะสะบัดปีกบินมุ่งตรงเข้าไป และร่อนไปเกาะบนกิ่งไม้เหนือศีรษะชายหนุ่มร่างกำยำเพื่อจะมองให้ชัดๆ
ไม่นานนัก หวังเป่าเล่อก็เห็นว่าบุรุษร่างกำยำกำลังถือบางอย่างอยู่ในมือ ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่ไล่ตามมาต้องคว้าน้ำเหลว ก่อนจะวิ่งไล่ต่อไป เมื่อทุกคนจากไปแล้ว บุรุษร่างกำยำจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ราวกับว่าไม่สามารถจะรักษาสภาพนั้นไว้ได้นานนัก อึดใจถัดมา เขาก็เปิดฝ่ามือขึ้นเผยให้เห็นของที่ถืออยู่ในมือ เป็นใบไม้สีหยกใบหนึ่งนั่นเอง!
ใบไม้นั้นสุดแสนจะธรรมดา แทบไม่ต่างอะไรกับใบไม้ทั่วๆ ไป แต่เมื่อคิดว่ามันสามารถซ่อนรัศมีได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็ย่อมไม่ใช่ใบไม้ธรรมดาแน่ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อลุกโชนเมื่อเริ่มครุ่นคิดว่าจะขอยืมใบไม้นั้นจากบุรุษร่างกำยำดีหรือไม่ ทันใดนั้นเอง บุรุษร่างกำยำก็ขากเสลดลงบนพื้นใกล้ๆ เขากองใหญ่
“ไอ้หัวหมูบัดซบ ข้าทำภารกิจนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ไม่เคยมีครั้งไหนที่ตระกูลไม่รู้สิ้นคลั่งเท่านี้ เจ้าหัวหมูมันสมควรตายนัก ข้ากลับไปเมื่อใด จะฉีกเส้นเอ็นและขยี้กระดูกมันให้สิ้นเชียว!” บุรุษร่างกำยำพูดเสียงเบาด้วยนัยน์ตาอาฆาตและกรามที่กัดแน่นจนเป็นสัน ก่อนจะเตรียมพลิกตัวเพื่อจากไป…
ทว่าตอนนั้นเอง นกตัวหนึ่งที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้เหนือศีรษะก็ส่งเสียงร้องออกมาดังลั่นก่อนจะจ้องเขาเขม็ง…
…………………………