หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 817 เหมาะกับการเป็นขโมย!
หวังเป่าเล่อคิดเอาไว้เช่นนั้น ความคิดและการกระทำของร่างอวตารร่างใหม่ถูกเขาควบคุมทั้งหมด ตอนนั้นเอง ชายหนุ่มก็ควบคุมให้ร่างอวตารหลอมหน้ากากสุกรขึ้นมา และพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วด้วยการพลิกกายเพียงครั้งเดียว ในขณะเดียวกัน ร่างสารัตถะของเขาก็ออกเดินทางไปยังทิศทางของค่ายทหารพลางใช้ผนึกฝ่ามือสร้างแขนใหม่ให้ตนเอง
ในเวลาเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็แบ่งสมาธิไปควบคุมร่างอวตารที่สร้างขึ้นจากแขนด้วย เพื่อให้มันไปปรากฏตัวอยู่ที่โลกภายนอก และเพราะร่างอวตารนั้นแตกต่างจากร่างสัมผัสเทพของเขา มันจึงคงอยู่ได้ไม่นานนัก แต่ถึงกระนั้นความสามารถด้านการต่อสู้ของมันก็ยังแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นการต่อสู้และการหลบหนีจากตระกูลไม่รู้สิ้นจึงสมจริงตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้ ร่างอวตารจึงถูกผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเล็งเป้า และเร่งฝีเท้าเต็มที่เพื่อมุ่งไปหามันทันที
พอผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะเข้ามาใกล้ ร่างสารัตถะที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อที่ถือใบไม้และผ้าคลุมอยู่ก็ใช้ความเร็วเต็มที่มุ่งหน้าไปยังค่ายทหารทันที
หวังเป่าเล่อเข้าใจแจ่มแจ้งว่าร่างอวตารที่หลอมขึ้นจากแขนซ้ายของเขานั้นสามารถทิ้งได้ และเมื่อมันปล่อยพลังเต็มพิกัดออกมาแล้ว ก็จะอยู่ต่อไปได้ราวสองถึงสี่ชั่วโมงเท่านั้น
แต่สองถึงสี่ชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว เพราะอย่างไรเสีย ภารกิจนี้ก็เหลือเวลาอยู่อีกไม่ถึงสี่ชั่วโมงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ หวังเป่าเล่อจึงต้องใช้เวลาทุกนาทีอย่างมีค่า
ดังนั้นทันทีที่เข้ามาใกล้ค่ายทหาร หวังเป่าเล่อก็ไม่รอช้า รีบพุ่งตัวเข้าไปก่อนจะแปลงกายเป็นผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทันที สำหรับคนที่เขาจะแปลงกายตามนั้น ชายหนุ่มเลือกมาอย่างดีหลังจากที่คิดอย่างหนัก
หวังเป่าเล่อไม่ได้แปลงกายเป็นสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นทั่วๆ ไป ชายหนุ่มไม่ได้แปลงเป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่พบก่อนหน้าเช่นกัน เพราะอย่างไรเสีย ไม่ว่าเขาจะแปลงกายเป็นใคร ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นส่วนมากก็กำลังไล่ล่าอยู่ด้านนอก ดังนั้นใครก็ตามที่กลับมาก็ดูน่าสงสัยทั้งสิ้น อีกทั้งหวังเป่าเล่อก็รู้ดีว่าความสามารถในการแปลงกายของเขาถูกตระกูลไม่รู้สิ้นค้นพบเสียแล้ว
ดังนั้น…ชายหนุ่มจึงสามารถเลือกที่จะไม่แปลงกายและพุ่งตัวเข้าไปทั้งอย่างนี้ ซึ่งวิธีนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ยิ่งไปกว่านั้น หากผิดพลาดเพียงนิดเดียวก็อาจทำให้ถูกพบตัวเร็วขึ้นก็เป็นได้ อีกทางเลือกหนึ่งก็คือ…แปลงกายและซื้อเวลาให้ตัวเองอีกสักหน่อยเพื่อเพิ่มโอกาสในการฉกชิงสิ่งของให้ได้มากที่สุด
หวังเป่าเล่อเลือกอย่างหลัง และคนที่เขาเลือกจะแปลงร่างก็คือ…ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย!
แม้การทำเช่นนี้จะเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากใครสักคนส่งข้อความไปถึงผู้อาวุโส พวกเขาก็จะรู้ความจริงในทันที แต่การซ่อนตัวในที่แจ้งนั้นย่อมแนบเนียนที่สุด ในแง่หนึ่ง การที่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะจะกลับมาที่ค่ายก็ฟังดูสมเหตุสมผล และไม่มีใครกล้าถามแน่นอนว่ากลับมาทำไม ในอีกแง่หนึ่ง…มีผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นไม่มากนักที่สามารถติดต่อกับผู้อาวุโสเพื่อยืนยันตำแหน่งที่อยู่ของเขาผ่านข้อความเสียงได้
แม้ว่าพวกเขาอาจจะตรวจสอบกับสหายผู้ฝึกตนรอบกายแทนการส่งข้อความเสียงโดยตรงไปยังผู้อาวุโส แต่ก็มีผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นไม่มากนักที่สามารถยืนยันได้ เพราะตระกูลไม่รู้สิ้นมีระบบอาวุโสที่เข้มงวด ความรู้สึกสงสัยจึงแทบไม่เคยปรากฏขึ้นในจิตใจของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นชั้นผู้น้อยเลย
แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่แน่นอน และการกระทำของหวังเป่าเล่อก็ยังไม่แน่นอน หลังจากที่ตัดสินใจได้แล้ว หวังเป่าเล่อจึงแปลงกายเป็นผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะแห่งตระกูลไม่รู้สิ้น สีหน้าของเขาบิดเบี้ยว มีจิตสังหารแพร่กระจายออกมาจากกายอยู่จางๆ ชายหนุ่มทำหน้าดุร้ายพลางเหาะไปยังค่ายทหาร
แม้ค่ายทหารจะปกคลุมไปด้วยวงแหวนปราณ แต่หวังเป่าเล่อก็ทดสอบความแข็งแกร่งของกระบวนท่าสารัตถะมาหลายต่อหลายครั้ง เมื่อใดก็ตามที่แปลงกายเป็นใครสักคน ก็ดูเหมือนว่าจะปลอมรัศมีของคนๆ นั้นได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นหากวงแหวนปราณของค่ายยังไม่ถึงระดับดารานิรันดร์ วงแหวนปราณที่อาศัยการจับรัศมีของคนก็จะไม่มีผลกับเขาเลย
หวังเป่าเล่อเร่งฝีเท้ามุ่งตรงไปยังค่ายทหารด้วยสีหน้าน่าเกลียดน่ากลัว ทันทีที่ชายหนุ่มเข้าไปยังค่ายทหาร สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นหลายคนก็ผุดลุกขึ้นทำความเคารพ ทุกคนต่างสำรวมเป็นอย่างยิ่ง บ้างก็อยากจะพูด แต่หลังจากที่เห็นท่าทางเคร่งเครียดของหวังเป่าเล่อแล้ว ทุกคนต่างก็สูดลมหายใจและไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไร
“ไอ้พวกขยะ!” หวังเป่าเล่อเลียนเสียงผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะและใช้ภาษาของตระกูลไม่รู้สิ้นในการสบถ ชายหนุ่มส่งเสียงฮึดฮัดและไม่สนใจผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่ยืนรายล้อมอยู่ ก่อนจะเหาะไปยังตำหนักภายในค่ายทหารทันที
เมื่อเห็นเช่นนั้น ทุกคนต่างก็หลุบศีรษะลงต่ำ และเงยหน้าขึ้นเมื่อหวังเป่าเล่อจากไปแล้ว ความวิตกกังวลในใจยิ่งหนักหน่วงเมื่อเห็นสีหน้าของหวังเป่าเล่อเมื่อครู่
ขณะเดียวกัน เมื่อเข้าไปยังค่ายทหาร หวังเป่าเล่อก็แผ่สัมผัสเทพออกมา ชายหนุ่มกวาดดูเพียงครั้งเดียว ก็พบว่ามีผู้ฝึกตนเหลืออยู่ในค่ายเพียงไม่กี่พันคนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่มีผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณหลงเหลืออยู่สักคน ระดับปราณสูงสุดอยู่ในขั้นจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์เท่านั้น
เรื่องนี้ทำให้ชายหนุ่มไม่พอใจอย่างยิ่ง เขารู้สึกว่าตนเองลงทุนลงแรงไปมากแต่กลับได้รางวัลไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย เพราะหวังเป่าเล่อขณะนี้ใกล้จะบรรลุขั้นปราณเต็มแก่ แม้การสังหารผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณจะสามารถใช้เป็นอาหารให้วิชาดวงเนตรปีศาจได้เช่นกัน แต่ปริมาณของมันก็ยังน้อยมากเว้นเสียแต่ว่าเขาจะสังหารผู้ฝึกตนจำนวนมาก และต่อให้สังหารผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งหมดในค่ายก็อาจไม่ได้ผลมากมายนัก
เจ้าเฒ่านั่นให้เกียรติข้าเกินไปแล้ว เขาส่งผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งหมดไปตามหาข้า…หวังเป่าเล่อปวดศีรษะเมื่อคิดว่าเขาต้องลงทุนไปมากมายเพียงใด เรื่องนี้ทำให้อารมณ์ของชายหนุ่มย่ำแย่เท่าเทียมกับสีหน้าที่เขาแสร้งทำเมื่อครู่ แต่ชายหนุ่มก็ยังทำตามแผนต่อไปอย่างระแวดระวัง เขาหักนิ้วออกมาห้านิ้วแล้วหลอมร่างอวตารขึ้นมาห้าร่าง ก่อนจะให้กริชสี่เล่มกับร่างสี่ร่างเพื่อไปสังหารผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นและขโมยรูปลักษณ์มา จากนั้นก็ให้แต่ละคนถือประคำระเบิดเอาไว้คนละกำ เพื่อไปวางไว้ในค่ายทหารโดยรอบ
ส่วนร่างสารัตถะของหวังเป่าเล่อก็ยังครุ่นคิดต่อไปด้วยความรู้สึกที่ขุ่นมัว สุดท้ายแล้ว ชายหนุ่มก็เข้าไปในคลังอาวุธของค่ายทหาร สถานที่แห่งนี้มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์สูงและมีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์เฝ้ายามอยู่สองคน คลังอาวุธนี้มีวงแหวนปราณครอบอยู่ด้วย พวกเขาจึงไม่มีความวิตกกังวลว่าจะถูกปล้น แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว แนวป้องกันเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด
ชายหนุ่มเดินอาดๆ ไปยังคลังอาวุธด้วยรูปลักษณ์ของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ จึงไม่มีใครกล้าขวางทาง ในไม่ช้า ชายหนุ่มก็เข้าไปในคลังอาวุธด้วยพลังอันน่าทึ่งของร่างสารัตถะและมองเห็นวัตถุดิบจำนวนมากจนแทบไม่สิ้นสุดอยู่ภายใน!
เมื่อหวังเป่าเล่อมองเห็นวัตถุดิบเหล่านั้น ชายหนุ่มก็สูดลมหายใจลึก ก่อนจะทำตาเบิกโพลง หัวใจสั่นไหว
อันที่จริงแล้ว…หลังจากปรายตามอง หวังเป่าเล่อก็ไม่อาจคาดคะเนปริมาณของทรัพยากรในคลังอาวุธและมูลค่าของพวกมันได้ นัยน์ตาของชายหนุ่มแดงก่ำ และเริ่มขโมยของทันที แม้กำไลคลังเวทและกระเป๋าคลังเก็บจะเต็มจนล้นปรี่ก็ไม่สำคัญ เพราะในคลังอาวุธมีวัตถุเวทคลังเก็บอื่นๆ ให้ใช้ ดังนั้นภายในสิบห้านาที หวังเป่าเล่อก็มีวัตถุเวทคลังเก็บนับร้อยชิ้นอยู่ในตัว ชายหนุ่มขโมยของหมดคลังอาวุธในพริบตา
ข้าคงเหมาะกับการเป็นขโมยจริงๆ…นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย ก่อนจะกวาดตามองคลังอาวุธที่ว่างเปล่า ในวินาทีนั้น ชายหนุ่มก็ไม่รู้สึกอยากสังหารคนอีกต่อไป เขาหันหลังกลับและกำลังจะเดินออกจากคลังอาวุธรวมถึงค่ายทหารไป
แต่ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจะเดินออกจากคลังอาวุธนั่นเอง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป หนึ่งในร่างอวตารส่งข้อมูลกลับมา ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะตัวจริงกลับมาแล้ว!
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงขณะที่พุ่งตัวออกจากคลังอาวุธอย่างรวดเร็ว ตอนนั้น มีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณเพียงคนเดียวยืนอยู่หน้าคลังอาวุธ หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าอีกคนหนึ่งหายไปไหนและไม่มีเวลาตามหาความจริง นัยน์ตาของชายหนุ่มทอประกาย เขาแปลงกายเป็นหมอก สังหารผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้ตั้งตัว
สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นผู้นั้นละลายหายไป เมื่อหมอกควบกายมาเป็นหวังเป่าเล่ออีกครั้ง เขาก็แปลงร่างมาเป็นผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่เพิ่งถูกกลืนเข้าไป ทันทีที่ชายหนุ่มเหาะออกจากค่าย สายรุ้งทอดยาวก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและพุ่งลงมายังค่าย พร้อมรัศมีรุนแรงที่สั่นคลอนจนถึงสวรรค์!
ผู้ที่มาถึงก็คือผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะของตระกูลไม่รู้สิ้นนั่นเอง สีหน้าเขาเคร่งเครียดยิ่งกว่าหวังเป่าเล่อเสียอีก และดูเหมือนว่าโทสะของเขาจะพุ่งสูงถึงขีดสุด จนหากสัมผัสเข้าเพียงนิดเดียว เขคงจะระเบิดออกมาและสังหารทุกคนในทันใด
กระแสพลังรบกวนในพลังปราณของผู้อาวุโสก็ดูเหมือนจะไม่คงที่ แม้ว่ามันจะถูกกดเอาไว้อย่างรุนแรงก็ตาม เพราะหลังจากที่ชายชราไล่ล่าบุรุษในหน้ากากสุกรไป เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลและเมื่อสังหารมันได้ เขาก็ตระหนักได้ว่าตนเองตกหลุมพรางเสียแล้ว ขณะที่เร่งฝีเท้ากลับมาอย่างโกรธเกรี้ยว ก็ถูกผู้มาจุติขั้นจิตวิญญาณอมตะสี่คนลอบโจมตี ชายชราสังหารไปสองคนในขณะที่อีกสองคนหนีรอดไปได้ ส่วนตัวเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
อาการบาดเจ็บของผู้อาวุโสไม่ได้รุนแรงอย่างที่เห็น เขายังควานหาบุรุษในหน้ากากสุกรต่อไปแต่ก็ไร้ผล จึงมุ่งหน้ากลับมายังค่ายทหารทันที
ชายชรารู้สึกได้ว่าไอ้หน้ากากสุกรผู้นี้อาจวางแผนล่อให้เขาออกไปเพื่อจะมาซ่อนตัวในค่ายทหารก็เป็นได้ แม้ว่าจะไม่ได้พบสิ่งแปลกปลอมหลังจากการใช้สัมผัสเทพกวาดดูทั่วค่าย แต่เพราะความสามารถด้านการแปลงกายของหวังเป่าเล่อ ชายชราจึงรู้ได้เองโดยสัญชาติญาณว่าอาจถูกหลอก
อันที่จริง ระหว่างทางกลับค่าย ชายชราก็ได้วิเคราะห์เอาไว้แล้ว หากชายหนุ่มในหน้ากากสุกรซ่อนอยู่ในค่ายจริง ก็ต้องอยากลอบสังหารเขามากกว่าที่จะฆ่าตรงๆ ดังนั้น…ชายชราจึงจงใจเปิดเผยอาการบาดเจ็บให้เห็น เพราะจากการคาดคะเนของเขาแล้ว หากเขากลับมาที่ค่ายด้วยสภาพบาดเจ็บ ใครก็ตามที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ยิ่งน่าสงสัยเข้าไปใหญ่!
………………………………..