หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 843 ใครจะไปคิดว่าจะสูงถึงเพียงนี้
ชายชราในชุดหรูหราจ้องมองบุรุษทั้งสามอย่างสิ้นหวัง ความกลัวที่สะท้อนชัดอยู่ในแววตาดูเหมือนจะแสดงสิ่งที่เขารู้สึกลึกๆ ลงไปในวิญญาณออกมาได้อย่างชัดเจน
แต่หวังเป่าเล่ออ่านอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงมามากเกินไป ชายหนุ่มเชื่อว่าไม่ควรตัดสินใครจากรูปลักษณ์ภายนอก คนเช่นชายชราผู้นั้นมักเป็นคนที่ทำสิ่งเกินคาดได้เสมอ ยิ่งดูหวาดกลัวและไร้ทางสู้เพียงใด ก็ยิ่งเป็นไปได้ว่าจะลอบโจมตีอีกฝ่ายทันทีเมื่อคล้อยหลังมา
เห็นได้ชัดจากเสื้อผ้าและคำพูดของคนอื่นๆ ว่าชายชราผู้นั้นคือจักรพรรดิแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ หวังเป่าเล่อกะพริบตาก่อนจะจับตามองภาพตรงหน้าต่อไป
ชายหนุ่มจ้องมองขณะที่จักรพรรดิพูดจนจบ และผู้อาวุโสในชุดสีม่วงที่ยืนรายล้อมอยู่มีสีหน้าหม่นหมองลง คนที่พูดก่อนหน้านี้จ้องมององค์จักรพรรดิด้วยสายตาเย็นชา เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก่อนที่จะได้เปิดปากพูดนั่นเอง จู่ๆ ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงริมกลุ่ม ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ก็หัวเราะขึ้นมา
“ศิษย์ร่วมสำนักเต๋าเหออวิ๋นจื่อ พี่ชายของท่าน จักรพรรดิองค์ปัจจุบันแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์…ดูท่าจะไม่ทรงให้ความร่วมมือเท่าที่ควรเลย”
“ใจเย็นก่อน ศิษย์ร่วมสำนักเต๋าจื่อหลัว!” ชายชราในชุดคลุมสีม่วง ที่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะผู้นั้นเรียกว่าเหออวิ๋นจื่อ รีบยกมือประสานเร็วๆ ไปทางอีกฝ่ายเมื่อได้ยิน จากนั้นจึงหันกลับไปมองจักรพรรดิแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ท่านพี่ โปรดหยุดการเพ้อฝันไร้แก่นสารของท่านและเลิกทดสอบความอดทนของข้าเสียทีเถิด อีกอย่างหนึ่ง…สิ่งที่พวกเรากำลังทำนี้ก็เพื่อความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ตระกูลดวงเนตรสวรรค์ โปรดมองดูสิ่งที่สมาชิกครอบครัวของเรากำลังทำอยู่เถิด นี่คืออนาคตที่พวกเรากำลังมุ่งหน้าไปหา!”
“เหออวิ๋นจื่อ นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด ข้าทำอะไรไม่ได้เลย ข้ารู้ดีว่าสมาชิกแทบทุกคนในตระกูลของเราสนับสนุนการเข้าเป็นพันธมิตรกับอารยธรรมครามทองคำ ข้าเองไม่อาจทำใจเห็นด้วยได้ แต่รู้ดีว่าตัวข้าเป็นจักรพรรดิเพียงในนามเท่านั้น ข้าไม่มีอำนาจจะไปขัดขวางการเป็นพันธมิตรในครั้งนี้ได้” จักรพรรดิพูดกับเหออวิ๋นจื่อด้วยใบหน้าบูดเบี้ยว
“ข้าดีใจที่ท่านเข้าใจ เปิดสุสานบรรพชนเสีย พวกเราจะได้ปลดผนึกประตูสู่ดวงเนตรสวรรค์โดยสมบูรณ์ จากนั้น ตามข้อตกลงที่มีกับอารยธรรมครามทองคำ พวกเขาก็จะมาเยือนอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ทำลายสำนักหลักทั้งสาม และนำพาราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์กลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครา พี่ชายที่รัก ท่านไม่อยากให้พวกเรากลับไปครองอำนาจอีกอย่างนั้นหรือ” เหออวิ๋นจื่อจ้องมองจักรพรรดิตาไม่กะพริบขณะที่พูดทุกถ้อยคำอย่างชัดเจน มีประกายแรงกล้าลุกโชนอยู่ในแววตาขณะที่พูด
“กลับสู่อำนาจอีกครั้ง…” จักรพรรดิยิ้มอย่างอ่อนใจ นัยน์ตาแห้งผากไม่เหลือร่องรอยความหวังหรือกระทั่งชีวิต ชายชรานิ่งเงียบไปหลายอึดใจก่อนจะถอนใจออกมายกใหญ่
“ข้าต้องการให้ราชวงศ์ของเรากลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่เช่นกัน แต่การจะทำเช่นนั้นโดยหยิบยืมมือชาวต่างถิ่น ก็เหมือนเป็นการเชื้อเชิญฝูงสุนัขป่าดุร้ายเข้ามาในบ้าน ต่อให้เราประสบความสำเร็จ อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะเป็นเช่นเดิมอยู่หรือ ยิ่งไปกว่านั้น อารยธรรมครามทองคำก็ทรงพลังยิ่งนัก เหตุใด…พวกเขาจะต้องมาร่วมมือกับเราด้วย พวกเราทุกคนรู้คำตอบนั้นดีอยู่แก่ใจ!”
“ถึงข้าจะคิดเช่นนั้น ก็ไม่ได้แปลว่าข้าไม่ตั้งใจช่วย เหออวิ๋นจื่อ ทำไมเจ้าจึงไม่ยอมรับราชบังลังก์จากข้าไปเล่า ข้าทำดีที่สุดแล้ว แต่เลือดในกายข้านั้นไม่บริสุทธิ์พอ เรื่องนั้นข้าแก้ไขอะไรไม่ได้” จักรพรรดิดูราวกับว่าร่ำๆ จะร้องไห้ออกมาอยู่เต็มที ความตื่นตะลึงและวิตกไหลบ่าเข้ามาในกายหวังเป่าเล่อที่มองดูอยู่จากที่ไกลๆ
ชายหนุ่มเหมือนมาพบเข้ากับข้อมูลชิ้นสำคัญ ตอนนี้เขารู้แล้วว่ากลุ่มผู้ฝึกตนในชุดสีรุ้ง ซึ่งซุกซ่อนใบหน้าเอาไว้เบื้องหลังหน้ากากสีม่วงเป็นใครกันแน่ พวกเขาเหล่านั้นเป็นคนของอารยธรรมครามทองคำ
ความไม่สบายใจของหวังเป่าเล่อมีเหตุมาจากองค์จักรพรรดิเอง ชายหนุ่มอ่านชายชราผู้นี้ไม่ออกจริงๆ ประสบการณ์บอกเขาว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับจักรพรรดิองค์นี้
ไม่ใช่เพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่คิดเช่นนี้ เหออวิ๋นจื่อเองก็คิดแบบเดียวกัน ชายชราจ้องมองไปยังจักรพรรดิชราตาไม่กะพริบ จิตสังหารทอประกายวาบบนแววตาอีกครั้งหนึ่ง
“ท่านพี่ ท่านอาจจะแสร้งทำตัวโง่เขลาตลอดเวลาหลายปีมานี้ แต่ข้ารู้ดีว่าความเจ้าเล่ห์เพทุบายของท่านนั้นเหนือกว่าพวกเราหลายขุมนัก ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม หากท่านไม่ปลดผนึกประตู ข้าก็ต้องขออภัยท่านล่วงหน้า ที่จะลืมสายสัมพันธ์ครอบครัวของเราและทำการล่วงเกินท่าน!” น้ำเสียงบ้าคลั่งสะท้อนอยู่ภายในถ้อยคำสุดท้ายจากปากเขา ชายชรายกมือขวาขึ้นช้าๆ บังเกิดเสียงสายฟ้าดังครั่นครืนอยู่ไกลๆ และสายลมก็เริ่มพัดแรงอย่างบ้าคลั่ง ในเวลาเดียวกัน ผนึกขนาดมโหฬารก็ก่อตัวขึ้นเหนือศีรษะเขา
“หนึ่ง!”
“ข้าพูดความจริง…”
“สอง!”
“สวรรค์ ทำไมเจ้าจึงไม่ยอมเชื่อข้าเลย!”
“สาม!” เส้นเลือดบนใบหน้าของเหออวิ๋นจื่อบวมปูดขึ้นมาขณะที่เขาส่งเสียงคำราม ชายชราพร้อมแล้วที่จะส่งมือขวาของตัวเองไปโจมตีในชั่วพริบตา
“ข้าเปิดแล้ว! ข้าเปิดแล้ว!” ใบหน้าของจักรพรรดิชราซีดขาวราวศพ สีหน้าของเขาแสดงความหวาดกลัวสุดขีดขณะตะเกียกตะกายไปหารูปปั้น มงกุฎหลุดร่วงหายไประหว่างทาง แต่ชายชราก็ไม่มีเวลาแม้จะหันกลับมาหยิบ ใบหน้าของเขายู่ยี่เพราะความกลัวขณะที่เนื้อตัวก็สั่นเทา ชายชรากัดนิ้วที่บาดเจ็บของตนเองไว้ ก่อนจะใช้พลังปราณบังคับให้เลือดขึ้นมาอยู่บริเวณผิวหนัง จากนั้นก็สะบัดเลือดนั้นไปทางดวงตาของรูปปั้น
“จงเปิดออก! ข้าขอสั่งเจ้า!”
รูปปั้นสั่นคลอนเล็กน้อยอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะกลับมาสนิทนิ่งอีกครั้ง…
สีหน้าของเหออวิ๋นจื่อและผู้อาวุโสในชุดคลุมสีม่วงอีกสองคนมืดหม่น ก่อนที่เหออวิ๋นจื่อจะระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมา จิตสังหารทอประกายอยู่ในดวงตาของเขาอีกครั้ง ชายชราลดมือขวาลงมา ผนึกขนาดยักษ์ส่งเสียงคำรามลั่นก่อนจะพุ่งเข้าไปทางจักรพรรดิชราอย่างรวดเร็ว
รัศมีแห่งความตายแผ่ออกมาจากผนึกที่มุ่งหน้าไปหาเป้าหมายราวกับเป็นพลังซึ่งไร้ทางต่อต้าน สายลมส่งเสียงลือลั่นระหว่างที่มันเคลื่อนที่ไป ขณะที่ผนึกนั้นกำลังจะปะทะเข้ากับกายของจักรพรรดิชรานั้นเอง ชายชราก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความกลัวก่อนจะร่วงลงไปนั่งคุกเข่าเสียงดัง น้ำตาไหลอาบแก้มขณะส่งเสียงครวญครางต่อหน้ารูปปั้น
“ปรมาจารย์ ได้โปรด เมตตาข้าด้วย ข้าน้อยวอนขอให้ท่านเปิดประตูสู่สุสานบรรพชน… ข้า…ข้า…” ความกลัวไหลบ่าผ่านเส้นเลือดเข้าท่วมจิตใจเขา จักรพรรดิตัวสั่นก่อนจะปัสสาวะรดกางเกง…เขาหยุดนิ่งไปชั่วครู่ก้มลงมองและระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็ล้มตัวลงกับพื้นแล้วเริ่มสะอื้นเสียงดังสนั่น
เสียงร้องไห้คร่ำครวญน่าเวทนามีผลกับทุกๆ คนในที่นั้นโดยทั่วถึงกัน
หวังเป่าเล่อถึงกับตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น ลูกนัยน์ตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า ชายหนุ่มจ้องมองจักรพรรดิชราอย่างถี่ถ้วนก่อนจะอ้าปากค้าง หากชายชราไม่ใช่คนที่ทั้งเจ้าเล่ห์แสนกลอย่างยิ่ง…ก็ต้องมีการเข้าใจผิดกันเกิดขึ้นจริงๆ เป็นแน่
เหออวิ๋นจื่อเองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน ชายชราจ้องมองจักรพรรดิผู้กำลังร้องไห้คร่ำครวญ จากนั้นเขาจึงหันไปมองกลุ่มผู้ฝึกตนที่อยู่ขอบกลุ่มด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย
“สหายร่วมสำนักเต๋าจื่อหลัว ข้าขออภัยที่ท่านต้องมาเห็นเหตุการณ์เช่นนี้”
จื่อหลัวผู้อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะ หัวเราะขณะยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้ฝึกตนจากอารยธรรมครามทองคำ นัยน์ตาของเขาส่องประกายพลางจ้องมองไปรอบกายก่อนจะหันไปหาเหออวิ๋นจื่อ และกล่าวอย่างเยือกเย็น “ข้าไม่ถือสาแม้แต่น้อย ข้ามาที่นี่ก็เพื่อจัดการกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ ในเมื่อเลือดจักรพรรดิของท่านดูจะไม่บริสุทธิ์พอ เช่นนั้น…พวกเราควรรวมเอาเลือดของทุกคนในราชวงศ์มาเก็บเอาไว้ในภาชนะ วิธีนี้อาจจะได้ผลก็เป็นได้”
“ข้ามีสมบัติเวทที่ปรมาจารย์ของเรามอบไว้ให้อยู่กับตัว มันสามารถจุดไฟในสายโลหิตของทุกคนในบริเวณใกล้เคียงและแสดงสายเลือดแฝงของพวกเขาออกมาพร้อมกัน ด้วยการรวมพลังของทุกคนในตระกูลเช่นนี้ ย่อมต้องทำให้เราเปิดผนึกประตูได้สำเร็จเป็นแน่!” ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะพูดไปก็พลิกฝ่ามือขวาไปด้วย กระทั่งตะเกียงทองแดงปรากฏขึ้นบนฝ่ามือเขา เขาเหวี่ยงตะเกียงนั้นไปทางเหออวิ๋นจื่อ
“เหออวิ๋นจื่อ ยกตะเกียงขึ้น แล้วจงใช้พลังปราณทั้งหมดของเจ้าจุดมัน มันจะช่วยให้เจ้าเปิดผนึกสายโลหิตของสมาชิกราชวงศ์ทุกคนที่นี่!”
รัศมีเก่าแก่แผ่ออกมาจากตะเกียงขณะที่มันลอยละล่องไปหาเหออวิ๋นจื่อ การเดินทางแหวกอากาศนั้นมองดูคล้ายการเคลื่อนคล้อยของกาลเวลา ตะเกียงพุ่งไปหาเหออวิ๋นจื่อ ผู้ซึ่งรับมันไว้ด้วยมือที่สั่นเทา โลหิตในกายเขาพลันปั่นป่วนขึ้นมาทันที ก่อนจะไหลมารวมกันอยู่ในฝ่ามือและพวยพุ่งเข้าไปยังตะเกียงทองแดง ชายชราไม่อาจควบคุมพลังปราณที่จู่ๆ ก็ไหลบ่าออกมาอย่างไม่บอกไม่กล่าวได้
ภาพมายาของดวงเนตรสวรรค์ปรากฏขึ้นด้านหลังเขาก่อนจะถูกดูดเข้าไปในตะเกียงทองแดง ประกายแสงปรากฏขึ้นในไส้ตะเกียงด้านในทันที มันค่อยๆ ส่องสว่างก่อนจะกลายเป็นเปลวไฟ เสียงระเบิดดังขึ้นเมื่อไฟในตะเกียงลุกท่วมขึ้นมา!
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ประกายไฟก็ปะทุขึ้นจากไส้ตะเกียงก่อนจะหลั่งไหลออกมาภายนอก และท่วมไปทั้งบริเวณทันที ใบหน้าของสมาชิกราชวงศ์ทุกคนแสดงอารมณ์อันหลากหลาย ร่างกายของพวกเขาสั่นเทา ร่องรอยรูปดวงตาปรากฏขึ้นบนหน้าผากของทุกคน ทั้งพลังปราณและโลหิตในกายของพวกเขาต่างก็พวยพุ่งออกมาจากทางด้านบนศีรษะ
เริ่มที่เหออวิ๋นจื่อ แสงสีโลหิตติดขึ้นบนศีรษะเขา ก่อนจะพวยพุ่งขึ้นไปสูงร่วมยี่สิบเมตร เป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวยิ่ง เช่นเดียวกับผู้อาวุโสในชุดม่วงอีกสองคน หอคอยสีแดงฉานของพวกเขาไม่ได้ขึ้นไปสูงเท่า สูงแค่ราวๆ สิบห้าเมตรเท่านั้น
แต่ภาพนั้นก็ยังดูยิ่งใหญ่ไม่ใช่น้อย สมาชิกราชวงศ์คนอื่นๆ ต่างก็ตัวสั่นก่อนจะปล่อยแสงสีแดงคล้ายกันออกมา แสงของแต่ละคนสูงต่ำไม่เท่ากัน บ้างก็สูงร่วมสิบเมตร ของบ้างคนก็แค่ไม่กี่เซนติเมตร หวังเป่าเล่อมีอารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลาย วิชาดวงเนตรปีศาจในกายเขาตื่นขึ้นด้วยตัวเองอีกครั้ง เจตจำนงภายในดวงเนตรปีศาจที่ถูกกักเก็บเอาไว้ในกายเขานั้นจู่ๆ ก็ปะทุขึ้นมา ดูราวกับว่ากำลังจะหาทางหลุดรอดออกมาจากกายกระนั้น
ไม่นะ! หวังเป่าเล่อตัวแข็ง
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังพยายามสะกดเจตจำนงอยู่นั่นเอง ลำแสงสีแดงจำนวนมากก็พวยพุ่งขึ้นไปสู่สวรรค์ราวกับเป็นเสาขนาดมหึมาเสาที่สูงที่สุด…มาจากจักรพรรดิชราขี้แย เสาสีแดงเหนือศีรษะเขาสูงร่วมร้อยเมตร ดึงดูดทุกสายตาให้หันไปจับจ้อง
เมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามแผน เหออวิ๋นจื่อก็ระเบิดเสียงหัวเราะ ชายชราหันไปหาจักรพรรดิชราก่อนจะกล่าวว่า “ตอนนี้เราก็สามารถ…”
ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนก่อนที่ชายชราจะทันพูดจบ สายลมเริ่มคำราม ก้อนเมฆบนสรวงสวรรค์หมุนวน สายฟ้าส่งเสียงครั่นครืน ทันใดนั้นเอง ม่านหมอกสีแดงก็ระเบิดออกมาท่ามกลางสมาชิกราชวงศ์และพวยพุ่งขึ้นไปสู่ท้องฟ้า ก่อนจะไหลบ่าเข้าท่วมทุกมุมของอาณาเขตสุสาน ราวกับเป็นผ้าคลุมสีแดงที่ปกคลุมท้องฟ้าและผืนปฐพีไว้!
ทุกคนต่างก็ใบ้เบื้อเมื่อได้เห็น เหออวิ๋นจื่อ ผู้อาวุโสในชุดคลุมม่วงอีกสองคน จักรพรรดิชรา และราชวงศ์ที่เหลือ รวมไปถึงบรรดาผู้ฝึกตนจากอารยธรรมครามทองดำ ต่างก็เบนสายตาไปมองในทิศทางเดียวกัน ก่อนจะเห็นหวังเป่าเล่อ…และแสงสว่างสุดยอดจากเสาสีโลหิตที่ออกมาจากเหนือศีรษะเขาพวยพุ่งขึ้นไปสู่สวรรค์!
ความสูงของเสาสีแดงของหวังเป่าเล่อนั้น…ไม่สามารถวัดเป็นหน่วยเมตรได้อีกต่อไป มันสูง…ขึ้นไปจนเสียดฟ้า ประมาณราวๆ หลายร้อยกิโลเมตร และเข้าไปผสานรวมอยู่กับขอบของชั้นบรรยากาศ…ไม่มีใครบอกได้ว่ามันสูงขนาดไหน
“นี่มันอะไรกัน…” เหออวิ๋นจื่อพึมพำด้วยความตกตะลึง พลางรู้สึกมึนชาศีรษะ
……………………….