หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 882 หุ่นเชิดระดับดาวพระเคราะห์!
อาจกล่าวได้ว่าถึงแม้ผู้อาวุโสฝ่ายขวานั้นตอบโต้ช้าเกินไปเล็กน้อย แต่หลังจากที่เขาใจเย็นลง การตัดสินใจและการกระทำของผู้อาวุโสก็ถือเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสถานการณ์ในปัจจุบัน
ทันทีที่หวังเป่าเล่อเห็นเช่นนั้น สีหน้าของเขาก็พลันเหยเก จุดอ่อนที่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเผยให้เห็นเมื่อครู่ไม่น่าจะคงอยู่อีกต่อไปในสภาพพายุสุริยะเช่นนี้ แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีทางหยุดการกระทำของผู้อาวุโสฝ่ายขวาได้ จิตสังหารแผ่ไปทั่วร่างของเขาในบัดดล ที่ทำได้ในตอนนี้มีเพียงปลดปล่อยพลังปราณอีกครั้งและขยายรอยแยกบนฟองอากาศสีรุ้งให้กว้างขึ้นด้วยการระเบิดของเรือบินรบเวท รอยแยกขยายใหญ่จนได้ยินเสียงปริแตก ทันใดนั้น ฟองอากาศก็แตก!
จังหวะที่ฟองอากาศแตก ร่างของหวังเป่าเล่อก็กลายเป็นหมอกพุ่งออกจากฟองอากาศที่แตกร้าว เมื่อกลับมารวมตัวใหม่ด้านนอกอีกครั้ง ชายหนุ่มก็เรียกเรือบินรบเวทระเบิดตัวเองกว่าร้อยลำออกมา ขณะที่กองเรือบินรบมุ่งไปทางผู้อาวุโสฝ่ายขวา หวังเป่าเล่อกลับเลือกที่จะพุ่งไปอีกทางโดยไม่ลังเลใจ
ตอนนี้ชายหนุ่มเหลือเรือบินรบเวทประมาณสามร้อยลำในกระเป๋าคลังเก็บ หลังจากหลบหนีออกจากฟองอากาศได้ หวังเป่าเล่อก็ปล่อยเรือบินรบออกมาจำนวนมากและสั่งการให้ระเบิด เขาไม่ได้ทำไปเพราะต้องการขัดขวางผู้อาวุโสฝ่ายขวา นั่นเพราะการระเบิดทำลายตัวเองของเรือรบกว่าร้อยลำไม่มีทางขัดขวางผู้อาวุโสฝ่ายขวาได้
จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาคือ…ทำให้พลังที่ปั่นป่วนของดารานิรันดร์และพลังของดวงอาทิตย์แกร่งกล้าและรุนแรงขึ้นไปอีก ชายหนุ่มต้องการทำให้ดารานิรันดร์ที่เป็นดังอสูรร้ายโกรธเกรี้ยวยิ่งขึ้นเพื่อให้ผู้อาวุโสฝ่ายขวาไม่สามารถรับมือได้ไหว!
นี่เป็นหนทางเดียวที่หวังเป่าเล่อคิดออก!
เนื่องจากสถานการณ์ในตอนนี้ชายหนุ่มตกเป็นรอง เขาจึงตั้งใจจะพลิกให้เป็นรองเหมือนกันทั้งสองฝ่าย วิธีนี้…จะช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้ในระดับหนึ่ง!
ผู้อาวุโสฝ่ายขวาที่กำลังจะพุ่งทะยานออกไปพลันหน้าเปลี่ยนสีเมื่อเห็นกองเรือบินรบ ดวงตาฉายแววมืดหม่น ที่รู้สึกหม่นหมองไม่ใช่เพราะระดับพลังปราณหรือพลังยุทธ์ของหวังเป่าเล่อ แต่เป็นเพราะ…การที่ชายหนุ่มสามารถคิดหาแผนการได้อย่างรวดเร็ว
แสดงให้เห็นว่าหลงหนานจื่อที่เผชิญหน้ากับเขาอยู่นั้นเป็นคนฉลาดปราดเปรื่อง ขณะเดียวกันก็เป็นคนดุดันเช่นกัน หากผู้ฝึกตนเช่นนี้ยังมีชีวิตอยู่ ใครหน้าไหนมาทำลองดีชายหนุ่มเข้าคงต้องปวดหัวหนักเป็นแน่
จิตสังหารในใจผู้อาวุโสฝ่ายขวาทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เขาจะปล่อยให้คู่ต่อสู้เช่นนี้หนีรอดออกไปไม่ได้ มิเช่นนั้นแล้ว เมื่อใดที่อีกฝ่ายบรรลุไประดับดาวพระเคราะห์ เมื่อนั้นชายหนุ่มจะกลายเป็นภัยคุกคามต่อตนเองในอนาคต
คิดได้เช่นนั้น ดวงตาของผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็ฉายแววอาฆาต แม้จะอยู่ภายใต้ไอความร้อนสูงที่พัดกระจายไปทั่วดารานิรันดร์ พายุที่โหมกระหน่ำเข้าใส่ และเบื้องหน้าที่ไม่เห็นอะไรนอกจากแสงจากเปลวเพลิง เขาก็ยังร้องคำรามลั่นและออกไล่ล่าตามหวังเป่าเล่อไป!
ขณะเดียวกันนั้นเอง ด้านนอกดารานิรันดร์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ บนสนามรบระหว่างสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ และสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ การต่อสู้กำลังดำเนินมาถึงจุดเดือด ขณะที่พวกเขาโจมตี ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็รู้สึกคลางแคลงใจขึ้นมาอย่างหยุดไม่ได้ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ…ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยมาก
ขณะที่การต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ทั้งสองฝั่งเริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไม่ใช่เพียงคนเดียวที่รู้สึกเช่นนั้น ปรมาจารย์เต๋าใหม่ที่ประมือกับผู้อาวุโสฝ่ายขวาอยู่กลับรู้สึกชัดเจนยิ่งกว่า
ปรมาจารย์มหาทัณฑ์รู้สึกคลางแคลงใจหนักขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ปรมาจารย์เต๋าใหม่ถอยกลับก่อนจะร้องคำรามลั่นและจ้องผู้อาวุโสฝ่ายขวาจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ด้วยใบหน้าน่ากลัว
“เจ้าไม่ใช่ผู้อาวุโสฝ่ายขวา เจ้าเป็นใครกันแน่!”
ทันใดที่พูดจบ ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็หัวเราะขึ้น
“ดูออกด้วยสินะ แต่ก็สายไปแล้ว!” สิ้นเสียงของประมุขสำนัก ผู้อาวุโสฝ่ายขวาที่อยู่ด้านข้างเขาก็ยกมือซ้ายโบกผ่านใบหน้าตนเอง ทันใดนั้น แสงก็ส่องออกมาจากร่างที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปของเขา ครู่ต่อมา…เงาที่ปรากฏต่อหน้าทุกคนก็พลันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!
คนผู้นี้ไม่ใช่ผู้อาวุโสฝ่ายขวา แต่เป็นหญิงชราหน้าไร้อารมณ์ ตรงหว่างคิ้วมีหนอนสีดำที่ฝังร่างกว่าครึ่งในตัวของนางอยู่ หนอนนั้นดิ้นไปมา เหมือนจะความคุมความคิดและการกระทำทั้งหมดของหญิงชราไว้!
ทันทีที่หญิงชราปรากฏตัว ปรมาจารย์มหาทัณฑ์และปรมาจารย์เต๋าใหม่ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไม่สามารถเก็บความกังวลของตนเองเอาไว้ได้เมื่อแผนการทั้งหมดไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ ส่วนปรมาจารย์เต๋าใหม่ร้องลั่นขึ้นมาด้วยความตื่นตกใจ
“สหายแห่งเต๋าอู๋อวิ๋น!”
หญิงชราคนนั้น…คือปรมาจารย์สำนักผนึกผังดาวหกแฉก ในการต่อสู้ครั้งก่อน สำนักผนึกผังดาวหกแฉกถูกทำลายจนสิ้นซาก มีข่าวลือว่านางหายตัวไปหลังจากหลบหนี แต่เมื่อนางมาปรากฏตัวเช่นนี้ก็หมายความว่า…นางไม่ได้หายตัวไป แต่ถูกจับเป็นและหลอมให้กลายเป็นเหมือนหุ่นเชิด!
แท้จริงแล้ว หญิงชราจากสำนักผนึกผังดาวหกแฉกนั้นเป็นไพ่ตายของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หลังจากจับนางไปในการต่อสู้ครั้งก่อน ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ตัดสินใจผนึกนางไว้และส่งกลับไปที่ประตูภูเขาของอารยธรรมครามทองคำ เขาตั้งใจจะใช้วงแหวนปราณของประตูภูเขาเพื่อใช้กระบวนเวทหลอมนางโดยเปลี่ยนนางให้กลายเป็นโอสถระดับดาวพระเคราะห์ หากทำเช่นนั้น เมื่อกินเข้าไปและปล่อยให้โอสถออกฤทธิ์ ระดับพลังปราณจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก หากผู้ฝึกตนคนอื่นได้กิน ก็มีโอกาสสูงมากที่ผู้ฝึกตนคนนั้นจะบรรลุไประดับดาวพระเคราะห์
แม้วิธีนี้จะไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมและมีข้อเสียมากมาย แต่ก็เป็นวิธีที่จะทำให้ผู้ฝึกตนได้ครอบครองพลังยุทธ์ระดับดาวพระเคราะห์
แต่ติดปัญหาตรงที่ว่า…ตอนที่พวกเขาตกเป็นรอง โดยเฉพาะเมื่อผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายได้รับบาดเจ็บหนัก ทำให้สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถพาหญิงชราไปที่ประตูภูเขาได้ หมายความว่าย่อมไม่สามารถใช้ประตูภูเขาหลอมนางเป็นโอสถได้ เพราะเหตุนี้ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากล้างสมองนางทิ้ง หลอมนางเป็นหุ่นเชิด และใช้แมลงเวทเข้าควบคุม เปลี่ยนนางให้กลายเป็นกำลังเสริม
แผนของเขาคือเปลี่ยนรูปลักษณ์ของหุ่นเชิดตัวนี้ให้กลายเป็นผู้อาวุโสฝ่ายขวา นอกจากจะทำให้ผู้คนเข้าใจผิดแล้ว ยังทำให้คนเช่นหลงหนานจื่อและปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไม่นึกสงสัยเกี่ยวกับแผนสังหารหลงหนานจื่อและทำให้แผนการเป็นไปอย่างราบรื่น เขาแค่ต้องสังหารหลงหนานจื่อและเหออวิ๋นจื่อก็เพียงพอที่จะครองอำนาจเหนือดารานิรันดร์ทั้งหมด
เมื่อเป็นเช่นนั้น การเปิดใช้งานการเคลื่อนย้ายของดารานิรันดร์จะอยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เขาคิดว่าต้องสำเร็จเช่นนั้นแน่เพราะผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและผู้อาวุโสฝ่ายขวาลงมือจัดการหลงหนานจื่อด้วยตนเองและยังใช้งานฟองอากาศสีรุ้งอีก ดังนั้นจะต้องเป็นไปอย่างราบรื่นแน่นอน ทั้งสองไม่น่าจะใช้เวลานาน หลังจากผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและผู้อาวุโสฝ่ายขวาสังหารชายหนุ่มเสร็จ พวกเขาก็จะกลับมาร่วมสู้ต่อ
และเมื่อทั้งสองกลับมา สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะมีผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สามคนและกึ่งระดับดาวพระเคราะห์หนึ่งคน ซึ่งจะสามารถเอาชนะสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำได้อย่างง่ายดาย หากพวกเขาทำได้สำเร็จ ศึกอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็จะจบลงอย่างรวดเร็ว!
แม้ชายชราจะคำนวณทุกอย่างมาอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็ยังประเมินหวังเป่าเล่อต่ำไป เขาไม่ได้คาดการณ์ว่าจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นในการวางกับดักฟองอากาศสีรุ้งของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและผู้อาวุโสฝ่ายขวา!
แต่ชายชรายังไม่รู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนดารานิรันดร์ทำให้มั่นใจไปเช่นนั้น ปรมาจารย์มหาทัณฑ์และปรมาจารย์เต๋าใหม่ครามทองคำเองก็ไม่รู้เช่นกัน พวกเขาจึงถอยหนีไปด้วยจิตใจที่สั่นคลอนและใบหน้าถอดสี ไม่นึกอยากสู้ต่อ
พวกเขามั่นใจว่าถึงพลังยุทธ์ของหวังเป่าเล่อนั้นเกือบจะเทียบเท่าระดับดาวพระเคราะห์ แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ชายหนุ่มจะหลบหนีออกมาได้สำเร็จและเอาชีวิตตัวเองให้รอดได้จากการถูกวางกับดักและตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรอง
ระหว่างที่การต่อสู้อยู่ในสภาพคุมเชิงกันอยู่ ทางด้านดารานิรันดร์ หวังเป่าเล่อกำลังปลดปล่อยความเร็วเต็มพิกัดจนกลายเป็นสายรุ้งเส้นยาวตามหาพื้นที่พิเศษเพื่อใช้ในการผ่านออกไป แต่ผู้อาวุโสฝ่ายขวาจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ไล่ตามหลังมาก็ปลดปล่อยความเร็วเต็มพิกัดเช่นกัน ผู้อาวุโสฝ่ายขวานั้นอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์จึงเร็วกว่าชายหนุ่มเล็กน้อย แม้บนดารานิรันดร์แห่งนี้จะคุกรุ่นไปด้วยไอร้อนและมีพายุกระหน่ำใส่พื้นที่เป็นครั้งคราวก็ยังส่งผลกระทบต่อผู้อาวุโสน้อยกว่าหวังเป่าเล่อ
ด้วยเหตุนี้ จะเห็นได้ว่าร่างหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้หวังเป่าเล่อเรื่อยๆ เมื่อร่นระยะเข้ามาใกล้ชายหนุ่มในระยะไม่ถึงสามร้อยเมตร แววเย็นเยียบก็ฉายขึ้นในตาของผู้อาวุโสฝ่ายขวาขณะยกมือขวาขึ้นตั้งผนึกมือชี้ไปตรงแผ่นหลังของหวังเป่าเล่อ
เปลวหมอกสีแดงพวยพุ่งออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของเขาทันใดที่ชี้มือ จากนั้นก็มารวมกันที่ปลายนิ้ว ก่อนจะกลายร่างเป็นนางแอ่นโลหิตบินตรงไปหาหวังเป่าเล่อ ทิ้งสายรุ้งสีโลหิตไว้เบื้องหลัง มันบินผ่านระยะทางสามร้อยเมตรในชั่วพริบตาจากนั้นก็ระเบิดเมื่อเข้าไปใกล้ สร้างหมอกหนาสีโลหิตเข้าเขมือบชายหนุ่มเหมือนดังปากขนาดยักษ์
หากเป็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั่วไป พวกเขาคงตายในทันทีเมื่อแตะโดนตัว เพราะพลังสวรรค์ที่กระจายออกมานั้นแฝงไปด้วยแรงกดดันของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ ด้วยแรงกดดันนี้ พลังปราณของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั่วไปจะเกิดอาการปั่นป่วน จนอาจทำให้ผู้ฝึกตนที่อ่อนแอตายได้
แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว พลังดังกล่าวไม่เพียงพอที่จะทำเช่นนั้นได้ ในจังหวะที่หมอกสีโลหิตตรงเข้ามาเขมือบเขา เกราะมหาจักรพรรดิก็ปรากฏบนร่างพร้อมเสียงดังสนั่น รูปลักษณ์อันดุดัน เส้นผมที่พัดปลิว และอาวุธเทพที่มือขวาทำให้ชายหนุ่มเป็นดังเทพแห่งสงครามไปชั่วขณะ เมื่อปลดปล่อยเคล็ดวิชาดวงเนตรปีศาจ ดวงเนตรปีศาจขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นด้านหลัง แล้วพอปลดปล่อยพลังทั้งหมดเรียบร้อย หวังเป่าเล่อที่ทะยานอยู่กลางอากาศก็พลันหันหลังกลับและฟาดฟันเข้าใส่หมอกสีโลหิตที่เคลื่อนเข้ามาใกล้