หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 929 สายฟ้านอกพิภพ!
ด้วยเหตุนี้การแลกเปลี่ยนหนึ่งแสนเม็ดต่อหนึ่งจับจึงได้เริ่มขึ้น มหาศิษย์แห่งเต๋าที่อยู่กลางอากาศคนแล้วคนเล่าจ่ายผลึกสีชาดหลังจากขึ้นเรือได้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาซื่อสัตย์ แต่ทันทีที่จะไม่จ่าย หวังเป่าเล่อก็จะไม่ช่วยคนที่เหลือ
วิธีนี้ทำให้การไม่จ่ายผลึกสีชาดหนึ่งแสนเม็ดไม่เพียงแต่ทำให้หวังเป่าเล่อเท่านั้นที่ขุ่นเคือง แต่ยังรวมถึงคนที่รอขึ้นเรืออยู่ด้วย เรื่องแบบนี้…หากไม่โง่ขั้นสุดก็คงไม่ทำ
แม้ผลึกสีชาดจำนวนหนึ่งแสนเม็ดจะไม่น้อย แต่สำหรับพวกเขาแล้วก็ยังไม่ถือว่าเข้าเนื้อ แต่หลังขึ้นเรือมาแล้ว สีหน้าทุกคนก็ดูมืดมน สายตาที่มองหวังเป่าเล่อก็มีแต่ความดุร้าย พวกเขาสาบานจากก้นบึ้งหัวใจว่าการถูกอีกฝ่ายขูดเลือดขูดเนื้อเช่นนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง!
ถึงแม้ตรงนี้จะอันตราย และกระดาษรูปมนุษย์ที่พายเรืออยู่ก็ปฏิบัติกับหวังเป่าเล่อต่างจากคนอื่นอย่างเห็นได้ชัดซึ่งทำให้ทุกคนหวาดกลัว หากไม่ต้องการให้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ ความคิดที่จะจัดการหวังเป่าเล่อก็ควรเก็บไปให้สิ้น หวังเป่าเล่อย่อมรู้เรื่องนี้ดี แต่เขาไม่ได้สนใจ
“มหาศิษย์แห่งเต๋าหรือ? ก็แค่พวกไก่กาที่ถูกธรรมชาติทับถมกันจนออกมาเป็นตัวเท่านั้นล่ะ!” หวังเป่าเล่อพ่นลมอย่างเย็นชา แต่ไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ กลับกันเขาหัวเราะยกใหญ่ และไม่ได้ยกเรื่องการจำกัดจำนวนคนก่อนหน้านี้ขึ้นมาพูด แต่กลับดึงคนที่อยู่ด้านนอกเข้ามาทั้งหมด
หลังจากได้รับผลึกสีชาดมากกว่าสิบล้านเม็ดมาอย่างง่ายดาย หวังเป่าเล่อก็ตบกระเป๋าคลังเก็บของตน เขารู้สึกผ่อนคลายและสดชื่น ก่อนจะมองทะเลสีดำรอบๆ แล้วคิดว่าไม่มีทิวทัศน์อื่นให้ดูเลย
“ขอบคุณสหายทุกท่านที่ให้การสนับสนุน พวกเจ้าไม่ต้องอับอายหรอก การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ข้าได้ประโยชน์ พวกเจ้าก็ได้ประโยชน์ และข้าเซี่ยต้าลู่ทำธุรกิจอย่างสมเหตุสมผลมาโดยตลอด รับรองว่าต้องส่งพวกเจ้าถึงฝั่งอย่างปลอดภัยแน่นอน!” หวังเป่าเล่อพูดพลางโบกมือหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นเรือลำนี้ก็ส่งเสียงคำรามและพุ่งออกไปท่ามกลางสายฟ้าที่ยังฟาดใส่ไม่หยุด
ที่ด้านหลังของมัน เรือวิญญาณลำอื่นจมลงสู่ทะเลสีดำไปทีละลำจนไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย เมื่อมองไปทั่วทั้งทะเลกระดาษสีดำนี้ ราวกับมีแค่เรือวิญญาณของพวกเขาที่กำลังฝ่าลมโต้คลื่นและส่งเสียงคำรามอยู่เท่านั้น
หลังจากเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลำนี้เล่นมาได้สี่วันก็มองเห็นชายฝั่งที่ไกลออกไปได้อย่างเลือนราง ระยะเวลาห้าวันในตอนแรกนั้นสั้นลงเพราะความเร็วของเรือวิญญาณ นี่ทำให้ทุกคนที่จ่ายผลึกสีชาดเพื่อขึ้นเรือต่างก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้รู้สึกดีอย่างแท้จริงก็คือตลอดสี่วันที่ผ่านมาพวกเขาได้เห็นคนที่ยังพยายามข้ามทะเลด้วยตัวเอง ได้เห็นความยากลำบากของคนเหล่านั้น หรือแม้กระทั่งได้เห็นคนที่ล้มเหลวและตกลงไปในทะเลจนกลายเป็นกระดาษ ภาพเหล่านั้นทำให้ทุกคนบนเรือรู้สึกว่าผลึกสีชาดหนึ่งแสนเม็ดที่จ่ายไปก็ไม่ได้แพงเลยสักนิด…
ที่น่าอึดอัดเพียงอย่างเดียว…คือบนเรือมีคนเยอะขึ้นเรื่อยๆ…ความจริงแล้วมหาศิษย์แห่งเต๋าที่เหาะอยู่เหนือน้ำทะเลแต่ละคน เมื่อเริ่มเหน็ดเหนื่อยและเห็นเรือของพวกเขาพลางได้เห็นว่าผู้คนบนเรือล้วนมีท่าทีสงบและผ่อนคลาย ดังนั้นเมื่อหวังเป่าเล่อตะโกนถาม พวกเขาจึงรีบควักเงินซื้อสิทธิ์ทันที
ผู้คนบนเรือจึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไปโดยปริยาย สุดท้ายห้องโดยสารก็ไม่สามารถนั่งได้อีกต่อไป อีกทั้งคนที่ขึ้นเรือมาทีหลังล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาต้องการที่สำหรับนั่งทำสมาธิจึงแย่งที่นั่งไป ดังนั้น…ยิ่งคนบนเรือเพิ่มขึ้นก็ยิ่งมีคนที่มีตบะและกำลังต่อสู้อ่อนแอยืนอยู่ที่ตำแหน่งต่างๆ ของเรือ เช่น ใบเรือและเสาเรือมากขึ้น
หากมองจากฝั่งที่อยู่ไกลๆ ท้องเรือวิญญาณลำนี้ดูจมลงไปในน้ำลึกมาก ขณะเดียวกันบนเรือก็เหมือนมีผู้คนทับถมกันอยู่เกือบสามร้อยคน มันดูยิ่งใหญ่เกรียงไกร มีพลังมืดปกคลุมและมีรัศมีที่ทำให้ผู้คนต้องทึ่ง ผู้คนที่รอพวกเขาอยู่บนฝั่งทั้งหมดต่างมีสีหน้านิ่งอึ้งไปชั่วครู่
“นี่มัน…”
“เรือลำนี้ไม่ได้จมอยู่ใต้น้ำแล้วหรือ?”
“แบบนี้ก็ได้ด้วย…”
บนชายฝั่งมีมหาศิษย์แห่งเต๋านับร้อยยืนอยู่ ในจำนวนนี้มีกลุ่มของหญิงสวมหน้ากากสี่คนอยู่ด้วย คนพวกนี้ล้วนอาศัยพลังของตัวเองข้ามทะเลสีดำมาได้ ต่างกันเพียงระยะเวลาเท่านั้น อย่างกลุ่มของหญิงสวมหน้ากากทั้งสี่คนนั้นใช้เวลาเพียงสองวันครึ่ง ส่วนคนอื่นๆ ก็ทยอยมาถึงทีละคน หลังจากมาถึงพวกเขาก็หมดแรง ดังนั้นเมื่อได้เห็นเรือวิญญาณที่หวังเป่าเล่อโดยสารอยู่จึงตกใจจนร้องอุทานออกมา
ขณะที่คนอื่นตกใจอยู่ก็มีการฝึกตนแปลกๆ อยู่แถวชายฝั่ง พวกเขาคือ…กระดาษรูปมนุษย์ที่ต่างจากเศษกระดาษในทะเลสีดำ กระดาษรูปมนุษย์พวกนี้ล้วนมีสีขาวและอยู่กันอย่างแน่นขนัด พวกเขามีจำนวนหลายพันตน พอเห็นเรือวิญญาณ แต่ละตนก็เบิกตากว้างและมีท่าทีแปลกไป
เห็นได้ชัดว่าที่ผ่านมา ยังไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในการเปิดประตูสุสานดวงดารามาก่อน โดยเฉพาะสายฟ้าฟาดที่ลงมาจนถึงตอนนี้ก็ยังคงผ่าใส่เรือไม่หยุด ทำให้เรือลำนี้ดูน่าเกรงขามมากขึ้นไปอีก
เมื่อทุกคนบนฝั่งเห็นเรือ ผู้ฝึกตนบนเรือก็ย่อมมองเห็นฝั่ง ตำแหน่งที่หวังเป่าเล่อยืนอยู่คือหัวเรือ มีเขาเพียงคนเดียวที่ได้ครอบครองพื้นที่ขนาดใหญ่และเป็นคนแรกที่มองเห็นฝั่ง ในชั่วพริบตาเขาก็สัมผัสได้ถึงสถานที่ที่ต่างออกไปอีกแห่งหนึ่งบนโลกนี้
ที่ชายฝั่ง นอกจากมหาศิษย์แห่งเต๋าและกระดาษรูปมนุษย์แล้ว ยังมีภูเขาอยู่ไกลๆ และยังมีอาคารรวมถึงพืชพรรณอยู่รอบๆ แต่…ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด ไม่ว่าภูเขา อาคาร หรือต้นไม้ใบหญ้าล้วนทำจากกระดาษขาวทั้งสิ้น!
ยกเว้นท้องฟ้าและพื้นดิน ทุกสิ่งที่มองเห็นได้คือกระดาษทั้งหมด ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อหรี่ตา ขณะเดียวกันก็มองไปยังกระดาษรูปมนุษย์บนฝั่ง ทุกตนล้วนมีปราณที่ไม่ด้อยไปกว่ากระดาษรูปมนุษย์พายเรือเลย โดยเฉพาะหลายสิบตนที่เป็นหัวหน้า พลังปราณของแต่ละตนทำให้หวังเป่าเล่ออกสั่นขวัญแขวน
ยิ่งไปกว่านั้น กระดาษรูปมนุษย์ที่อยู่ตรงกลางซึ่งมีเส้นสีแดงอยู่ระหว่างคิ้วนั้น มีพลังปราณที่แค่เหลือบมองจากไกลๆ ก็ทำให้หัวใจของหวังเป่าเล่อคำรามราวกับฟ้าผ่า
“หลายสิบตนนั้นล้วนเป็นระดับจักรพิภพหรือ ส่วนตนอื่นก็เป็นระดับดารานิรันดร์? ตนที่มีเส้นสีแดงอยู่ระหว่างคิ้ว…ดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่า เป็นไปไม่ได้น่า…” ความแข็งแกร่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเหงื่อตก นี่เป็นครั้งที่สามในชีวิต…ที่เขาสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่เหมือนกับปรมาจารย์แห่งไฟและศิษย์พี่
“แม่นางสวมหน้ากากเคยบอกว่าศิษย์พี่เป็นคนจักรพรรดิสวรรค์…เช่นนั้นตบะของเขาต่ำสุดก็น่าจะระดับจักรพิภพชั้นมหาวัฏจักร และเป็นไปได้ว่าอาจจะเกินระดับจักรพิภพไปแล้ว!”
“แม้ปราณของปรมาจารย์แห่งไฟจะอ่อนแอกว่าศิษย์พี่ แต่ก็คล้ายคลึงกัน และกระดาษรูปมนุษย์ที่มีเส้นสีแดงที่หว่างคิ้วตนนี้ก็เป็นแบบนั้นด้วย…เช่นนั้นแล้วตบะของเขาอาจจะมากกว่าระดับจักรพิภพ? ถึงระดับจักรพรรดิสวรรค์ตระกูลไม่รู้สิ้น?”
ความคิดในหัวหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว และภาพนี้ก็ทำให้มหาศิษย์แห่งเต๋าที่รู้เรื่องเหล่านี้ด้วยเกิดตึงเครียดและกระวนกระวายใจยิ่งกว่าเดิม
ดังนั้นพวกเขาจึงเงียบลง เรือเข้ามาใกล้ฝั่งมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อมันมาถึง สายฟ้าที่ปกคลุมรอบเรือก็ดูเหมือนจะถูกกระตุ้นอย่างอธิบายไม่ถูก จู่ๆ มันก็ผ่าลงมาบ่อยขึ้น ละเป็นครั้งแรกที่มันแผ่ออกจากเรือ ราวกับว่ามันต้องการแผ่ไปยังฝั่ง
สิ่งนี้ทำให้หัวใจหวังเป่าเล่อสั่นคลอน ในตอนที่เขาไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไร จู่ๆ…กระดาษรูปมนุษย์ที่มีเส้นสีแดงอยู่ระหว่างคิ้วตนนั้นก็แค่นเสียงเย็นชาออกมา
“สายฟ้านอกพิภพ?”
ขณะที่พูด กระดาษรูปมนุษย์ตนนั้นก็ยกมือขวาขึ้นโบกไปทางสายฟ้าพวกนั้น คลื่นฝ่ามือนั้นไม่ได้มีพลังวิเศษอะไรที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแม้แต่น้อย แต่ภาพที่ทำให้หวังเป่าเล่อและทุกคนบนเรือต้องตกตะลึงก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขาในทันที
สายฟ้าพวกนั้นหยุดนิ่งในฉับพลันราวกับถูกผนึก และ…กลายเป็นกระดาษอย่างรวดเร็ว!
พวกมันกลายเป็นกระดาษและจมลงสู่ทะเลสีดำ!
“เปลี่ยนสายฟ้าเป็นกระดาษ! !” หวังเป่าเล่อกรีดร้องในใจ เคล็ดวิชาของอีกฝ่ายเหนือจินตนาการของเขาไปแล้ว ขณะที่มองดูแผ่นกระดาษที่จมลงสู่ก้นทะเล เรือวิญญาณที่พวกเขาโดยสารมาก็ถึงฝั่งในที่สุด และเสียงคำรามดังสนั่นก็ดังขึ้นพร้อมกับเรือที่หยุดลง
ทุกคนรวมถึงหวังเป่าเล่อรีบเหาะออกมาทันที แต่ละคนต่างก็ไม่กล้าแสดงท่าทีโอหังแม้แต่น้อย และหลังจากเหยียบแผ่นดินอย่างสงบเสงี่ยมแล้ว พวกเขาก็กำมือคำนับกลุ่มกระดาษรูปมนุษย์อย่างเคารพ
หวังเป่าเล่อก็อยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น เขาก้มศีรษะพร้อมทุกคนด้วยความรู้สึกผิด แม้จะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ ว่าสัมผัสได้ถึงสายตาที่เพ่งมองมาจากกระดาษรูปมนุษย์
“พวกเขารู้ว่าสายฟ้าพวกนี้ตามข้ามาหรือ” หวังเป่าเล่อกังวล โชคดีที่สายตาเหล่านั้นไม่ได้จ้องมาที่เขานานเกินไป พวกกระดาษรูปมนุษย์ละสายตาจากเขาในครู่ต่อมา และสิ่งที่ตามมาคือเสียงที่สงบและสง่างาม
“เมล็ดพันธุ์แห่งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ยินดีต้อนรับพวกเจ้าเข้าสู่จักรวรรดิดาวตก!”
……………………………