หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 941 บากบั่นด้วยตนเอง
กระดาษรูปมนุษย์มองหวังเป่าเล่อคราหนึ่ง ในใจอดไม่ได้ที่จะคิดว่าก่อนหน้านี้ตนมองผู้ฝึกตนจากโลกภายนอกผู้นี้ผิดไปหรือไม่ เพราะข้อเสนอนี้ของฝ่ายตรงข้ามมันช่างชั่วร้ายถึงขีดสุด
การวิเคราะห์นี้ก็เพื่อให้ตนลงผนึกกับดักใส่ผลึกมายาเหล่านั้น หลังจากนั้นเขาก็จะเอาไปใช้เพื่อจุดประสงค์อื่นๆ เรื่องนี้ต่อให้เห็นด้วย ก็ไม่อาจกระทำได้
“ไม่มีวิธีใช้ ต่อให้สามารถลงผนึกกับดักไป แต่เจ็ดวันให้หลังเมื่อการทดสอบสิ้นสุด ผนึกกับดักทั้งหมดก็จะพังทลาย ไม่ส่งผลต่อการทดสอบถัดไปแม้สักนิด ดังนั้นเจ้า…”
กระดาษรูปมนุษย์ยังไม่ทันกล่าวจบ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็พลันสว่างวาบ ขนตากระพือเหมือนจะร่ายรำก็ไม่ปาน แล้วจึงเขารีบเอ่ยปากขึ้น
“ขอบคุณผู้อาวุโส ต่อให้การทดสอบสิ้นสุดแล้วจะพังก็ไม่เป็นไร ขอเพียงส่งมอบวิธีการทำลายผนึกกับดักนี้ให้ข้าก็พอ ยังคงต้องรบกวนให้ผู้อาวุโสช่วยข้าแล้ว”
กระดาษรูปมนุษย์ตะลึงไป หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็ส่ายหน้าฝืดเฝื่อน สำหรับเขาแล้วเรื่องนี้ไม่ยาก เมื่อหวนคิดไปถึงเรื่องราวพัวพันระหว่างเขาและผู้ฝึกตนจากโลกภายนอกผู้นี้ กระดาษรูปมนุษย์ก็เงียบไปครู่หนึ่ง ภายใต้สายตาบีบคั้นแรงกล้าของหวังเป่าเล่อ เขาก็พยักหน้าในที่สุด
เมื่อเห็นกระดาษรูปมนุษย์รับคำ หวังเป่าเล่อก็ตื่นเต้นยกใหญ่ หลังกระดาษรูปมนุษย์บอกกล่าวจบ หวังเป่าเล่อก็เริ่มเดินทางไปรอบๆ ดาวเคราะห์มายาด้วยความรวดเร็ว เพียงหนึ่งวันก็เดินจนหมดแล้วทุกที่ ระหว่างนั้นก็พบเจอเงามายาและผู้ฝึกตนไม่น้อย
ตอนที่พบเงามายาเหล่านั้น รวมถึงร่างดาวเคราะห์บางส่วน ครั้งหนึ่งที่อันตรายสุดขีดนั้น คือตอนที่หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงการกระเพื่อมของดารานิรันดร์ เคราะห์ดีที่กระดาษรูปมนุษย์ยื่นมือเข้ามาช่วย ทำให้เขารอดมาได้อย่างราบรื่น
ก็เป็นเช่นนี้ หลังจากนั้นหนึ่งวัน หวังเป่าเล่อก็หาผลึกมายาที่เหลืออีกยี่สิบเก้าก้อนจนพบ เขาไม่ได้ฉวยมันติดมือมาด้วย แต่กลับให้กระดาษรูปมนุษย์ลงผนึกกับดักไว้ แล้ววางผลึกคืนที่เดิม
หลังจากลงผนึกกับดักจนหมดแล้ว หวังเป่าเล่อก็ค้นพบสถานที่ซ่อนตัวแห่งหนึ่ง เขารออยู่ที่นั่นอย่างอารมณ์ดี ในเวลาเดียวกันก็เรียนกรรมวิธีปลดผนึกที่กระดาษรูปมนุษย์ถ่ายทอดให้ไปด้วย
วิธีการนั้นไม่ยาก และเพื่อให้หวังเป่าเล่อเรียนได้ง่ายหน่อย กระดาษรูปมนุษย์ไม่ได้ใช้กรรมวิธีของราชอาณาจักรสุสานดาราในการลงผนึกกับดัก แต่เป็นกรรมวิธีจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ขณะเดียวกัน มนุษย์กระดาษก็ได้ทำรอยตำหนิเผื่อแก้ไขทิ้งไว้
กล่าวได้ว่าขั้นตอนเหล่านี้ไม่เชิงเป็นการถ่ายทอดวิธีการปลดผนึกให้หวังเป่าเล่อ แต่เป็นการถ่ายทอดภาษาโบราณให้เขาชุดหนึ่งมากกว่า ภาษาโบราณเหล่านี้ก็เปรียบเหมือนกุญแจหมื่นดอก ต่อให้เขาไม่เข้าใจหลักการก็สามารถปลดมันได้
ต่อมา จากการขอร้องของหวังเป่าเล่อ มนุษย์กระดาษก็ลงผนึกให้กับผลึกของหวังเป่าเล่อด้วยเช่นกัน ใจของหวังเป่าเล่อเต้นระส่ำ ปรารถนาให้เวลาเคลื่อนไปให้เร็วขึ้น
จังหวะเดียวกับที่หวังเป่าเล่อเรียนภาษาโบราณเพื่อปลดผนึกกับดักอยู่นั้น เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าจากโลกภายนอกที่มายังที่นี่ ต่างก็แยกย้ายกันไปเสาะหาผลึกมายาอย่างยากลำบาก ระหว่างทางยังมีเงามายาดาวเคราะห์และเหล่าพวกเงามายาดารานิรันดร์ลอยไปมา ประจวบเหมาะพบเจอเข้าก็อาจถูกโจมตีได้
และหากโชคไม่ดี ผู้ใดพบเจอครั้งหนึ่งหลายตนหรือถูกโจมตีต่อเนื่อง ก็คงเคราะห์ร้ายตกรอบไปในที่สุด นี่นับเป็นเรื่องรอง เรื่องที่สำคัญกว่าก็คือจะสูญเสียเบาะแสของผลึกมายา เพราะเหตุนี้ทุกคนที่อยู่บนดาวในตอนนี้จึงเป็นเหมือนแมลงวันไร้หัวไม่ปาน ทำได้เพียงหมุนไปทั่วทั้งสี่ทิศ ทดลองทุกวิถีทางอย่างเต็มความสามารถ แต่ก็ยังคงหาผลึกมายาไม่พบ
ทว่าในหมู่คนเหล่านี้ก็นับว่ายังมีคนฉลาดอยู่ สถานที่ทดสอบเช่นนี้ควรมีให้เบาะแสมา ดังนั้นพวกเขาจึงทำเช่นเดียวกับหวังเป่าเล่อ ตัดสินใจหาที่หลบซ่อนก่อนแล้วคอยอยู่เงียบๆ ค่อยๆ ชิงความได้เปรียบเอาไว้
คนพวกนี้มีไม่มากนัก แต่ก็นับได้หลายสิบ เวลาก็ผ่านไปเช่นนี้ อีกไม่ถึงสามวันก็จะสิ้นสุดระยะเวลาทดสอบ ทั้งหมดสามสิบชั่วยาว….ในที่สุดก็เริ่มมีเค้าลางเกิดขึ้น ที่ตั้งของผลึกมายาแห่งหนึ่งปรากฏออกมา ส่งคลื่นพลังกระเพื่อมแรง ทำให้เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าบนดาวดวงนี้ทั้งหมดสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของมันเป็นครั้งแรก
หวังเป่าเล่อที่หลบซ่อนตัวอยู่นั้นก็สัมผัสได้เช่นกัน ดวงตาที่ปิดอยู่พลันเบิกโพล่ง เขาไม่ได้ประหลาดใจ เพราะหลายวันมานี้ระหว่างที่สนทนากับกระดาษรูปมนุษย์ เขาก็รู้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้วว่าในช่วงเวลาสามสิบชั่วยามสุดท้าย ทุกๆ หนึ่งชั่วยาม ตำแหน่งของผลึกมายาก็จะปรากฎขึ้น หมายความว่าการแย่งชิงอันโหดร้ายในสนามทดสอบรอบนี้ ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
เมื่อรู้ความจริงเช่นนี้ หลังจากร่องรอยพลังงานของผลึกมายาก้อนแรกปะทุออกและเปิดเผยตำแหน่งที่ตั้งของมัน ขอเพียงเป็นผู้ฝึกตนที่อยู่ใกล้ๆ ก็ต่างใจสะท้าน ทะยานตัวมุ่งไปยังที่แห่งนั้น ถึงแม้ว่าคนกลุ่มแรกที่มาถึงจะมีจำนวนไม่มาก เพียงไม่กี่สิบคนก็ตาม ทว่าก็ยากจะเลี่ยงการแย่งชิงและการบาดเจ็บล้มตายได้
ต่อมาในช่วงพริบตาสุดท้ายสั้นๆ มีผู้เก่งกล้าชิงเอาผลึกมายาแล้วหนีไปได้ ผลึกมายาก้อนที่สองก็จะค่อยเผยร่องรอยพลังงาน ส่งพลังกระเพื่อมออกมาในตำแหน่งอื่นๆ ต่อไป
ก็เป็นเช่นนี้ การแย่งชิงก็เริ่มต้นอีกครั้ง คนจำนวนมากเองก็พอจะเดากฎคร่าวๆ ได้ ว่าทุกชั่วโมงจะผลึกมายาจะปรากฎออกมาชิ้นหนึ่ง ดังนั้นผู้คนจึงไม่ได้รีบเข้าไปแย่งชิงกับคนจำนวนมากเหมือนตอนแรกอีก แต่เลือกตัดสินใจเข้าร่วมจากระยะห่างระหว่างตนกับตำแหน่งของผลึกมายาแทน
เมื่อเวลาผ่านไปอีกหนึ่งวัน เหล่าฝูงชนก็กรูกันเข้าแย่งชิงผลึกมายากว่ายี่สิบก้อน จนกระทั่งผลึกมายาล้วนมีผู้ครอบครองจนหมดสิ้น แต่เช่นนี้ก็เหมือนเป็นการประกาศตำแหน่งของผลึกกลายๆ เพราะหลังถือผลึกมายาแล้ว ใครก็สามารถทราบตำแหน่งของผู้ครอบครองได้ คล้ายกับจะหลอกล่อให้ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ มาชิงมัน
เช่นนี้แล้ว การเข่นฆ่าแย่งชิงจึงยังดำเนินต่อไป หนึ่งวันสู้กันหลายระลอก ผลึกมายาส่วนใหญ่เปลี่ยนมือผู้ถือครอง แต่มีอยู่เพียงสามก้อนเท่านั้นที่ตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังไม่มีใครกล้าเข้ามาแย่งไป
ก้อนหนึ่งในบรรดานั้นอยู่ในมือของชายหนุ่มผู้มีบุคลิกสง่างามจากสำนักที่หนึ่งแห่งเต๋าฝั่งซ้าย เขานั่งอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง ขมวดคิ้วตั้งคำถามกับผลึกมายาในมือ เมื่อเหล่าผู้ที่สัมผัสได้ถึงผลึกมายาและหวังเข้ามาชิง พอเห็นเขาเข้าต่างก็ลังเล สุดท้ายต่างก็พากันหนีไป
ส่วนอีกก้อน อยู่ในมือของแม่นางกระพรวนแห่งสำนักเก้าวิหคเพลิง นางก็เหมือนชายหนุ่มผู้สง่างามคนนั้น ไม่มีใครกล้าแย่งผลึกมายาที่นางชิงมา ส่วนตัวนางเองก็รู้สึกว่าผลึกมายานี้น่าสงสัย จึงได้สำรวจมันไม่หยุด
ส่วนอีกก้อน…ที่สุดท้ายก็ไม่มีใครแย่งชิงไปได้ เพราะผู้ที่เข้ามาแย่งชิงก่อนหน้านั้นตายไปหมดแล้ว
คนผู้นี้ก็คือชายหนุ่มชุดดำที่สะพายกระบี่ยักษ์บนหลัง บนร่างแผ่ซ่านไปด้วยไอพิฆาต การทดสอบคราวนี้อาจกล่าวได้ว่าเขาคือคนที่สังหารผู้ฝึกตนไปมากที่สุด
นอกจากคนสามคนที่นี้แล้ว ในที่อื่นๆ ล้วนมีการแย่งชิงเกิดขึ้นตลอดเวลา เว้นแต่ในจังหวะที่ทุกๆ ชั่วยามจะมีผลึกมายาก้อนใหม่ปรากฎขึ้น การแย่งชิงก็จะไม่มีวันจบสิ้น
เพียงแต่ว่า…เมื่อเวลาผ่านไปและผลึกมายาส่วนมากก็มีเจ้าของแล้ว เหล่าผู้ครอบครองผลึกมายาซึ่งมีความสามารถก็ทยอยสำรวจพบว่าผลึกมายานี้คล้ายมีสิ่งปรกติ
พูดไปแล้ว สิ่งผิดปรกตินี้ย่อมมาจากตัวผลึกมายาเอง ซึ่งก็คือผนึกกับดักที่หวังเป่าเล่อร้องขอให้กระดาษรูปมนุษย์ใส่ลงไปโดยไม่คิดปิดบัง ดังนั้นคนอื่นๆ จึงสังเกตเห็นได้ง่าย
เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ คนจำนวนมากยังไม่เคยได้เห็นผลึกมายาด้วยซ้ำ แม้จะมีตราประทับบางเบาจนทำให้พวกเขาสงสัย แต่พวกเขาก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี จึงเทำได้เพียงเฝ้าดูเท่านั้น
ทุกอย่างก็เป็นเช่นนี้ จนกระทั่งผลึกชิ้นที่ยี่สิบสอง ซึ่งตั้งอยู่ในตำแหน่งซ่อนตัวของหวังเป่าเล่อเผยร่องรอยออกมา จังหวะนี้ผลึกก็ดึงดูดเหล่าผู้ฝึกตนใกล้เคียงให้เข้ามาหา
เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นผู้มาเยือนทั้งหลาย นัยน์ตาของเขาก็ทอประกายเย็นชา เดิมทีเขาก็ไม่ใช่พวกใจอ่อนมีเมตตายู่แล้ว ก่อนหน้านี้ถูกคนเหล่านี้รุมโจมตี อีกทั้งยังถูกแม่นางกระพรวนตามฆ่า เขาย่อมเกิดความคิดบางอย่างขึ้น ดังนั้นเมื่อมีคนพุ่งเข้ามาหวังแย่งชิงของของเขา หวังเป่าเล่อจึงยิ้มเย็นคราหนึ่ง แล้วเริ่มเปิดฉากโจมตีฉับพลัน
เสียงระเบิดดังก้องขึ้น ท่ามกลางภาพสะท้อนลวงตาแห่งเกราะจักรพรรดิและดวงเนตรปีศาจ จะเห็นหวังเป่าเล่อลงมือรุนแรงผิดวิสัย เขาฟาดผู้คนบาดเจ็บไปมากมาย รวมทั้งใช้พลังปราณและพลังต่อสู้อย่างไม่ออมมือสักนิด พลังรุนแรงแกร่งกล้า ส่งผลให้พวกที่เพิ่งมานั้นสายตาสว่างวาบไปตามๆ กัน
อย่างไรก็ดี ร่องรอยของผลึกมายาชิ้นใหม่นั้นยังคงเผยออกมาอย่างต่อเนื่อง การแย่งชิง ณ ตอนนี้ของเขาจึงไม่ยืดเยื้อนัก ทุกคนแยกย้ายกันไป มีบ้างที่ไปเสาะหาผู้ถือครองผลึกมายาที่อ่อนแอกว่า หรือบางคนก็พุ่งไปยังทิศที่มีกลิ่นอายของผลึกมายาชิ้นใหม่
มาเร็ว แล้วก็จากไปเร็วเช่นกัน
พูดได้ว่า ตั้งแต่แรกจนจบนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ลงมือที่ดูมุทะลุกลุ่มแรก หรือพวกที่คอยเฝ้าชม คนเหล่านี้ไม่ว่าในใจจะร้อนรนแค่ไหน ก็ยังคงรักษาสติได้อยู่ พวกเขาเพียงต้องการหยั่งเชิงด้วยท่าทีประหนึ่งงูพิษคอยเสาะแสวงโอกาส หากเห็นว่าไม่มีโอกาส พวกเขาก็จะรีบถอยทันที
แม้จะมีคนเริ่มเปิดฉากก่อน แต่ก็ถูกหวังเป่าเล่อโต้กลับจนสะบักสะบอม แม้เหตุผลหนึ่งจะเป็นเพราะหวังเป่าเล่อไม่ได้ไล่ตามไปจัดการพวกเขา แต่ก็เป็นผลจากการคิดถอยกลางคันและฝีมือของพวกเขาเองด้วยส่วนหนึ่ง
หวังเป่าเล่อมองตามเงาร่างของคนเหล่านั้นไปจากนั้นก็หรี่ตา หลังจากประมือกับพวกมหาศิษย์แห่งเต๋าหลายคนในระยะหลัง เขานับว่าเข้าใจคนพวกนี้อยู่บ้าง พูดแล้วภูมิหลังคนเหล่านี้ไม่ธรรมดาก็จริง ทว่าในกลุ่มย่อมมีผู้แแข็งแกร่งและผู้อ่อนแอ แม้พื้นฐานจะคล้ายกัรแต่ระดับจิตใจก็แตกต่าง และเหนือสิ่งอื่นใด ที่นี่ไม่มีคนโง่ กระทั่งตัวหลี่หลินจื่อ…ก็ยังรู้จักฉวยโอกาสหักหลังคน เห็นได้ชัดว่าสมองไม่ได้บื้อ
“แม่นางกระพรวนของสำนักเก้าวิหคเพลิงนั่น ฝีมือไม่เลว สติปัญญาลึกล้ำ เป็นศัตรูที่น่ากลัว” “
“ส่วนหญิงสวมหน้ากากที่อยู่บนเรือลำเดียวกัน จนถึงตอนนี้ข้ายังมองนางไม่ออกเลย…”
“ส่วนอีกคนที่ข้ามองไม่ออก ก็คือเจ้าผู้ฝึกตนชายหนุ่มผู้สง่างามคนนั้นจากสำนักที่หนึ่งของเต๋าฝ่ายซ้าย…ข้าไม่รู้ชื่อเขาด้วยซ้ำ แต่เขาให้ความรู้สึกว่ารับมือได้ยากยิ่งกว่าแม่นางกระพรวนนั่นเสียอีก”
“แล้วก็ ยังมีเด็กสาวที่ใช้วิชาศาสตร์มืด…กับเจ้าหนุ่มชุดดำไอพิฆาตรุนแรงที่ฆ่าคนไปมากมายนั่น”
“คิดๆ ไปแล้ว กระทั่งเจ้าอ้วนน้อยที่ถูกข้าหมายหัวไว้คนนั้น ก็คงไม่ธรรมดาสินะ…แล้วยังมีพี่ชายผู้สูงส่งนั่นอีก…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา จากนั้นนัยน์ตาก็พลันสว่างวาบ
“แต่ว่า แล้วอย่างไรกัน ถึงแม้เบื้องหลังของข้าจะสู้พวกเขาไม่ได้ พละกำลังอ่อนด้อย แต่ว่าทุกสิ่งในชีวิตของข้านั้น เป็นสิ่งที่สองมือของข้าคว้ามาด้วยตนเอง ข้ามุมานะสร้างชีวิตตนโดยไม่มีคนผู้ใดยื่นมือเข้าช่วย แต่ละย่างก้าวก็เหมือนทหารเดียวดายดิ้นรนต่อสู้” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา เขาเงยหน้าขึ้นอย่างทรนง ในใจผุดความเด็ดเดี่ยวและความภาคภูมิใจขึ้น
“อะแฮ่ม ข้าไม่ใช่คนหรือ?” กระดาษรูปมนุษย์เหมือนจะทนฟังต่อไม่ไหว เขากระแอมไออยู่ข้างตัวหวังเป่าเล่อออกมาคราหนึ่ง
…………………………