หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 947 ไปเอามาให้ข้า!
“การจะใช้เคล็ดวิชานี้ ต่อให้มีข้อจำกัดเรื่องปัจจัยของเวลาและสถานที่ แต่หากวันใดทำสำเร็จ… ก็จะสามารถนำอาวุธที่ผู้อื่นหลอมเคลื่อนย้ายมาที่ตนเองได้ เพียงแต่เคล็ดวิชานี้เป็นเคล็ดวิชาที่แหกกฎฟ้า เมื่อใช้มันขึ้นมาวันใดก็จะทำให้เกิดความสั่นสะเทือนไปทั่วแผ่นฟ้า แม้ข้าจะคอยช่วยเหลือเจ้าอยู่ลับๆ แต่ตัวเจ้าเองก็ต้องรับผลที่จะตามมาอีกมากมาย” พูดพลาง กระดาษรูปมนุษย์ก็ยกมือขวาขึ้น แล้วแตะไปที่หว่างคิ้วของหวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อลังเลเล็กน้อย แต่ก็บังคับตัวเองเอาไว้ไม่ได้ขยับหนี ปล่อยให้อีกฝ่ายแตะที่หว่างคิ้ว พักหนึ่งก็มีดวงจิตเทพส่งเข้าไปในหัวสมองของเขา แล้วกลายเป็นคาถาและเคล็ดวิชาหลอมอาวุธทั้งชุด
เคล็ดวิชานี้ไม่เหมือนกับเคล็ดวิชาอื่นใดที่เขาเคยสัมผัสมา แต่ก็คล้ายว่ามิใช่ศาสตร์ของจักรวรรดิดาวตกด้วยเช่นกัน ส่วนว่าเคล็ดวิชานี้มีความเป็นมาเช่นใดกันแน่นั้น หวังเป่าเล่อเองก็ไม่รู้ชัด แต่เขารู้แน่ว่าเคล็ดวิชาหลอมอาวุธนี้ช่าง… สุดยอด!
“ขอบพระคุณผู้อาวุโส!” ดวงตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย ประสานมือก้มหัวลงคำนับ
ในเวลาเดียวกับที่เขากำลังสัมผัสได้ถึงมัน หวังเป่าเล่อก็เกิดความเข้าใจพิเศษต่อเคล็ดวิชาที่เรียกว่า ‘ย้ายบุปผาต่อต้นใหม่’ นี้อยู่ภายในใจในแบบของเขาเอง
“เป็นการย้ายบุปผาต่อต้นใหม่ที่ใดกัน นี่มันเป็นยอดอิทธิฤทธิ์แห่งการขโมยอาวุธหลอม เป็นกลยุทธ์จูงแพะติดมือ[1]ชัดๆ!” ยิ่งคิดไปตาของหวังเป่าเล่อก็ยิ่งส่องประกายขึ้นเรื่อยๆ เขาต้องจมปลักอยู่กับการเฝ้าหลอมอาวุธมานานปี จนถึงตอนนี้เขาได้เลื่อนชั้นไปอยู่ในขั้นสูงแล้ว จึงยิ่งเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของเคล็ดวิชาที่กระดาษรูปมนุษย์เอ่ยถึงนี้
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่าเคล็ดวิชานี้ไม่เลวเลย ก็คือความร้ายกาจที่แฝงอยู่ภายใน…ลองคิดดูสิ ผู้อื่นกำลังหลอมวัตถุเวทอยู่ตรงนั้น แต่ในพริบตาที่หลอมสำเร็จ มันก็จะหายวับไปทันใด แต่กลับไปปรากฏอยู่ในมือของอีกคน เรื่องรันทดชนิดนี้สามารถทำให้กระอักเลือดได้เป็นถังทีเดียว
ยิ่งเมื่อคิดว่าตนเองสามารถใช้เคล็ดวิชานี้ไปลงทัณฑ์แม่นางกระพรวนน่าชังนั่นได้สักหน่อย หวังเป่าเล่อก็ยิ่งรู้สึกเบิกบานใจ และตั้งตารออย่างจดจ่อ
“แม่นางหัวรั้น ถึงกับกล้าให้ข้าไปเป็นทาสศึกของเจ้ารึ?” หวังเป่าเล่อแค่นเสียงหึคำหนึ่ง ก่อนจะมองไปรอบทิศแล้วพุ่งไปยังพื้นที่แห่งหนึ่ง ที่นั่นเป็นชายขอบทางด้านขวาของสิบภูผาใหญ่ ที่ตรงนั้นไม่ใช่พื้นที่ที่เป็นภูเขาใหญ่ ทั้งไม่ใช่พื้นที่สูง หากแต่เป็นที่ราบ
มันดูห่างไกลผู้คน แต่เมื่อใช้เป็นสถานที่ร่ายเวทย้ายบุปผาต่อต้นใหม่ก็นับว่าเหมาะสมมากทีเดียว นั่นเพราะต่อให้มีสายฟ้าฟาดลงมา พื้นที่โล่งกว้างเช่นนี้ย่อมมีที่ให้หลบมากตามไปด้วย
แน่นอนว่าเขาเองก็เคยคิดจะไปร่ายสุดยอดอภินิหารแห่งเวทอาวุธหลอมนี่ใกล้ๆ ที่ที่แม่นางกระพรวนอยู่ เพราะเมื่อเป็นดังนั้น ยามสายฟ้าฟาดลงมาก็จะเป็นการรังควานนางไปด้วยในตัว แต่เมื่อพิจารณาแล้วว่าหากเข้าไปใกล้ก็เกรงจะถูกรุมโจมตีเอาได้ หวังเป่าเล่อจึงจำต้องถอยออกมาหาตัวเลือกที่สอง และมาเลือกเอาสถานที่แห่งนี้นั่นเอง
หลังจากลงนั่งขัดสมาธิ เขาก็สูดหายใจลึก แล้วหลับตาลงพร้อมกัน แต่จิตใต้สำนึกกลับกำลังแผ่ซ่านออกมา ในขณะที่เขายังคอยระวังทุกสิ่งรอบตัว มือทั้งคู่ก็ผนึกมุทรา[2] อย่างรวดเร็วไปตามเคล็ดวิชาที่กระดาษรูปมนุษย์ถ่ายทอดมาให้ เขาเริ่มทดลองฝึกฝนเคล็ดวิชาย้ายบุปผาต่อต้นใหม่ทันใด
จุดสำคัญของเคล็ดวิชานี้อยู่ที่การรับรู้หลักการ แม้โดยภาพรวมแล้วกระบวนการของมันจะค่อนข้างยากอยู่บ้าง แต่หากต้องการนำมาใช้ ด้วยระดับความเชี่ยวชาญการหลอมวัตถุเวทที่หวังเป่าเล่อมีในตอนนี้ก็หาใช่เรื่องลำบาก เขาเพียงต้องปรับทฤษฏีการหลอมวัตถุเวทของตนก็เป็นใช้การได้แล้ว
ความจริงแล้วเคล็ดวิชาย้ายบุปผาต่อต้นใหม่นี้ต้องใช้สายฟ้ามาเหนี่ยวนำพลังที่ว่างเปล่า เพื่อให้ปรับคลื่นพลังงานให้อยู่ในความถี่เดียวกับวัถตุเวทที่หลอมขึ้นมาจากทั่วสารทิศ ให้เหมือนเป็นกระจกสะท้อน และในที่สุดก็เปลี่ยนภาพเหมือนในกระจกให้กลายมาเป็นของจริง และความยากของมันก็อยู่ตรงนี้
“มีกลิ่นไอของการมีตัวตนจากสิ่งที่ว่างเปล่า…” หวังเป่าเล่อคิดดังนั้น แต่เขาก็รู้ดีว่าตนเองไม่มีเวลาจะไปศึกษาตรรกะและหลักการของมันอย่างละเอียด จึงต้องอนุมานเอาจากบางส่วนเท่านั้น สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้ ก็คือร่ายคาถาให้ถูกต้องและทำตามวิธีโดยไม่ให้ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย
เรื่องนี้อาจไม่ง่ายสำหรับคนอื่น แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว เมื่อลองทำดูสักสองสามหนก็ยังพอทำได้ สองวันหลังจากเขาเฝ้าทดลองฝึกหนแล้วก็หนเล่า ก็ค่อยๆ มีเสียงฟ้าผ่าปรากฏขึ้นรอบกายเขา
เมื่อตอนเสียงฟ้าผ่าเพิ่งเริ่มดังขึ้นก็ยังไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากผู้คนเท่าใดนัก แต่เสียงฟ้าผ่ากลับยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว กระทั่งบนท้องฟ้าตรงหัวของหวังเป่าเล่อก็ยังมีเมฆดำเต็มไปด้วยสายฟ้าปรากฏขึ้นมาด้วย
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลกระทบต่อเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่อยู่บนสิบภูผาใหญ่ ทำเอาพวกเขาต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป และพากันมองไปยังที่ที่อยู่ตรงใต้เมฆดำพอดี …ซึ่งก็คือพื้นที่ราบที่หวังเป่าเล่ออยู่นั่นเอง
“คนผู้นี้กำลังทำสิ่งใด!”
“คงมิใช่ว่าเขาต้องการจะรบกวนพวกเราหรอกนะ?”
“รนหาที่ตาย!” ดวงตาของแม่นางกระพรวนเผยแววถากถาง นางยินดีเป็นนักหนาที่จะเห็นอีกฝ่ายทำเรื่องโง่เง่าเช่นนี้ เพราะเมื่อเขาทำเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นการขัดขวางวาสนาแห่งโชคของทุกคน พอถึงยามนั้น คนผู้นี้ไม่เพียงแค่ไม่สามารถคว้าวาสนาแห่งโชคได้ แม้แต่ชีวิตของเขาก็จะต้องได้เผชิญกับไฟโทสะของทุกคน
ซึ่งเมื่อเวลานั้นมาถึง หนทางเดียวที่จะทำให้มีชีวิตรอดย่อมคือการยอมก้มหัวให้ตน
“ถึงยามนั้น หากคนผู้นี้ยังคงผยองอยู่เช่นเดิม ก็คงทำได้เพียงปล่อยเขาไปเสีย” แม่นางกระพรวนแค่นเสียงเย็นชา ในชีวิตของนาง เมื่อใดที่หมายตาทาสศึกเอาไว้ ก็ไม่เคยไม่สำเร็จ ซึ่งเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาของนางด้วย เมื่อทาสศึกยิ่งแข็งแกร่ง นางก็ยิ่งจะได้ผลประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น ในที่สุดก็จะบรรลุขีดจำกัดและเดินไปสู่จุดสูงสุดได้
เคล็ดวิชานี้ไร้นาม และไม่ได้มาจากสำนักเก้าวิหคเพลิง เป็นนักพรตหญิงลึกลับท่านหนึ่งที่นางจับพลัดจับพลูไหว้เป็นอาจารย์คนที่สองเป็นผู้ถ่ายทอดให้นาง
เมื่อได้ฝึกฝน นางก็สัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของเคล็ดวิชานี้ในทันที และในเวลาเดียวกันก็สัมผัสได้ลึกๆ ว่าศิษย์ที่นักพรตหญิงลึกลับท่านนั้นรับเอาไว้หาได้มีเพียงตนผู้เดียว แต่มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ฝึกเคล็ดวิชาเดียวกันกับนาง
“เป็นการเลี้ยงอสรพิษหรือไร… หรือจะพูดว่านี่เป็นขั้นตอนที่ต้องฝึกปรือหลังจากฝึกเคล็ดวิชานี้ไปถึงระดับหนึ่งแล้ว?” แม้มีความเคลือบแคลงใจอยู่มากมาย แต่เคล็ดวิชานี้ก็สร้างคุณอนันต์แก่นาง กระทั้งเหตุที่นางได้มาเป็นนักพรตหญิงแห่งสำนักเก้าวิหคเพลิงก็เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชานี้ด้วย
ด้วยเหตุนี้นางย่อมไม่ยอมแพ้ สร้างไม้กลองอยู่ทางนี้ไปพลาง หรี่ตาลงและกวาดตาไปทางหวังเป่าเล่อไปพลาง
นางกำลังเสียสมาธิอยู่ทางนี้ ส่วนหวังเป่าเล่อก็กลับยิ่งฝึกฝนจนชำนาญขึ้นเรื่อยๆ หลังจากล้มเหลวมาหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็จับจังหวะบางส่วนได้สำเร็จ และทันใดนั้นเองก็บังเกิดเสียงสายฟ้าฟาดดังลั่นลงมาที่รอบกายเขา
เมฆดำตรงหัวเขาก็ยิ่งรวมตัวแน่นขนัดขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับสายฟ้าที่ฟาดลงมา จนมองเห็นสายฟ้าแปลบปลาบเคลื่อนตัวอยู่ภายใน สายฟ้านี้ต่างกับสายฟ้าเมื่อครั้งที่หวังเป่าเล่ออธิฐานต่อขวดปรารถนา สายฟ้าในครั้งนั้นคล้ายว่าพอจะมีความนึกคิดอยู่บ้าง แต่สายฟ้าในเมฆดำคราวนี้กลับเหมือนสิ่งไร้ชีวิต ที่แม้จะมีพลังไว้คุกคามผู้อื่นได้แต่มันก็ดูน่าตื่นตกใจไม่เบา
จากนั้นสายฟ้าก็ฟาดลงห่างจากตัวหวังเป่าเล่อไปหลายสิบจั้ง บังเกิดเสียงดังลั่นไปทั่วปฐพี จนแม้แต่ตัวหวังเป่าเล่อเองก็ยังต้องสะดุ้งเพราะสัมผัสได้ถึงพลังการทำลายล้างที่อยู่ภายในนั้น แต่เวลานี้ก็ขึ้นลูกธนูบนเชือกไปแล้ว หวังเป่าเล่อขบกรามแน่นคราวหนึ่ง เขาไม่คิดจะหยุด ยังคงผนึกมุทราต่อไป ทันใดนั้นเองสายฟ้าก็ฟาดลงมาบนพื้นหนแล้วก็หนเล่า ทำให้พื้นดินรอบบริเวณนั้นแยกตัวออก
เสียงดังสนั่นสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทิศ และทำให้มหาศิษย์แห่งเต๋าที่อยู่บนสิบภูผาใหญ่ต่างพากันเสียสมาธิ แต่เมื่อพวกเขาสังเกตดูและพบว่าสายฟ้าน่าสะพรึงเหล่านี้เพียงฟาดลงมาราวร้อยจั้งรอบตัวหวังเป่าเล่อเท่านั้น ไม่ได้กระจายตัวออกไปภายนอกนั้นแต่อย่างใด ทั้งไม่ได้กระทบมาถึงตนเอง แม้จะรู้สึกระแวงแต่ก็ยังโล่งใจขึ้นมาบ้าง
เพราะไม่ว่าอย่างไร เรื่องสำคัญที่สุดของพวกเขาในเวลานี้ก็คือต้องให้ได้ไม้กลองมา ขอเพียงแค่ไม่มารบกวน พวกเขาก็จะไม่ลงมือ ยามนี้ปัญหาน้อยลงหนึ่งย่อมดีกว่าเกิดปัญหามากขึ้นอีกหนึ่ง
แม้ไม่มีใครมาขัดขวาง แต่ในใจของหวังเป่าเล่อกลับยิ่งสั่นสะท้าน นั่นเพราะสายฟ้าที่ฟาดลงมารอบตัวเขายิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเสียงฟ้าฟาดยิ่งดัง พลังของมันก็ยิ่งน่าตื่นตกใจขึ้นเช่นกัน รอบตัวเขาแทบจะกลายเป็นสระอัสนีไปแล้ว นั่นเพราะพื้นดินที่กลายเป็นวงรอบตัวเขามีสายฟ้าเคลื่อนตัวไปมา และเกรงว่าจะส่งผลกระทบมาถึงตัวเขาเอง
ต่อให้มีกระดาษรูปมนุษย์คอยปกป้องเขาอยู่ลับๆ โดยการพยายามช่วยขจัดมันทิ้งเสียอยู่ครึ่งค่อนวัน แต่สายฟ้าที่เหลืออยู่ก็ยังคงทำให้หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม ใจหายใจคว่ำ แต่ด้วยพื้นเพที่ออกจะแข็งกร้าวของเขา เมื่อชายหนุ่มสอดสายตาไปยังสายฟ้ารอบกายและมองเห็นภูผาใหญ่ที่แม่นางกระพรวนอยู่ เขาก็หรี่ตาลงพร้อมแววตาเย็นเฉียบ
“ไอปราณบนตัวแม่นางกระพรวนผู้นี้ทำข้ารู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย…”
หวังเป่าเล่อขบกรามอีกหน ยังคงรักษาจังหวะการบำเพ็ญจิตเอาไว้ สองมือยิ่งผนึกมุทราเร็วยิ่งกว่าเก่า จึงทำให้ยิ่งมีสายฟ้าฟาดลงมารอบตัวถี่ขึ้นเรื่อยๆ ที่สุดหลังจากที่เขาพยายามฝืนทนรับจนผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ก็มีเสียงหวีดหวิวดังขึ้นมาในหัวสมองของเขา!
ในขณะที่เสียงดังสะท้อนไปมา จิตใต้สำนึกของเขาก็ราวกับถูกพลังจากบนฟ้าพุ่งเข้ามาแล้วกลับกระจายออกไปในทันใด เขาพลันสัมผัสได้ถึงไม้กลองทั้งสิบไม้ซึ่งกำลังถูกหลอมให้ปรากฏขึ้นมาบนสิบภูผาใหญ่นั้น!
ในชั่วขณะที่สัมผัสถึงมัน หวังเป่าเล่อก็เกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นมา คล้ายว่า…เพียงตนจับจ้องไปที่ไม้กลองไม้ใดในจำนวนนั้น และเริ่มใช้ความคิดก็จะสามารถนำวัตถุเวทที่กำลังจดจ้องอยู่ย้ายตำแหน่งให้มาปรากฏอยู่ในมือตนในทันใด ราวกับ ‘ย้ายบุปผาต่อต้นใหม่’ ได้เช่นนั้น!
ความรู้สึกนี้รุนแรงเกินเปรียบ ทำเอาหวังเป่าเล่อที่กำลังอยู่ในอาการพลุ่งพล่านรีบพุ่งสายตาไปยัง…ภูผาใหญ่ที่แม่นางกระพรวนอยู่!
บนนั้น…หลังจากแม่นางกระพรวนเฝ้าบำเพ็ญพลังปราณอย่างต่อเนื่องมาตลอดสองวัน ไม้กลองที่นางหลอมขึ้นก็เป็นรูปเป็นร่างกว่าเก้าในสิบส่วน คล้ายว่าอีกไม่นานก็จะหลอมเสร็จสิ้นแล้ว!
คนอื่นๆ ที่มีความคืบหน้าในระดับเดียวกับนาง ก็ยังมีชายหนุ่มผู้สง่างามและหญิงสวมหน้ากาก ส่วนชายหนุ่มชุดดำและเด็กสาวที่ใช้ศาสตร์มืดคนนั้นกลับคืบหน้าไปช้ากว่าเล็กน้อย หลอมได้เพียงแปดในสิบส่วนเท่านั้น ส่วนไม้กลองของผู้อื่นย่อมต้องช้ากว่านั้นไปอีก โดยมากแล้วล้วนคืบหน้าไปเพียงหกหรือเจ็ดในสิบส่วน
“เวลาพอเหมาะพอเจาะ!” มุมปากของหวังเป่าเล่อเผยรอยยิ้ม นัยน์ตามีประกายแสนประหลาดฉาบเข้ามา ในเวลาเดียวกับที่เขากวาดตาไปยังแม่นางกระพรวน นางก็หันขวับมาทันใดพร้อมสายตาที่เปี่ยมด้วยจิตสังหาร และที่มีมากยิ่งกว่าคือแววความเหยียดหยาม นางกำลังจะเอ่ยปาก แต่ในเวลานั้นเองไม้กลองของนางพลันเปล่งรัศมีสว่างจ้า เห็นได้ว่ามันกำลังจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว
“อัสนีเทพสยบมาร ยังไม่รีบเอาไม้กลองนั้นมาให้ข้าอีก!” หวังเป่าเล่อยกมือขึ้น เอ่ยปากบางเบา พลางชี้นิ้วน้อยๆ
…………………………………………………
[1] จูงแพะติดมือ คือ การใช้ความประมาทเลินเล่อของศัตรูเพียงเล็กน้อยมาทำให้เกิดประโยชน์ เมื่อพบเห็นโอกาสให้รีบฉกฉวยมาเป็นของตน
[2] มุทรา คือการใช้นิ้วหัวแม่มือไปแตะส่วนต่างๆ ของนิ้วอื่นในรูปแบบต่างๆ ใช้ในการตั้งสมาธิร่ายคาถา