หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 973 ยังมีอีกสองคน?
กระดาษรูปมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของร้านเหล่านี้ ต่างคุ้นเคยกับหวังเป่าเล่อดี หลังจากเห็นหวังเป่าเล่อ พวกเขาก็มีท่าทีให้ความเคารพและสุภาพมาก แม้แต่กระดาษรูปมนุษย์ชราที่เคยถกเถียงกับเขาในตอนนั้นก็ยังกระตือรือร้นขึ้นมาทันทีที่เห็นหวังเป่าเล่อ
หลังจากซื้อของในร้านเหล่านี้แล้ว หวังเป่าเล่อก็ไปที่ทะเลกระดาษสีดำอีกครั้ง เขาไม่ได้ลงไปในทะเล แต่ยืนมองทะเลสีเทาที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวอยู่บนฝั่ง โค้งคำนับหนึ่งครั้งจึงค่อยจากไป!
เพราะเขารู้ว่ายามที่ตนตื่นขึ้นมานั้นก็สายเกินไปแล้ว และเขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานเกินไป ยิ่งเขาจากไปช้าเท่าไหร่อันตรายก็ยิ่งมากขึ้น เวลาที่เขาใช้ตั้งแต่ตื่นขึ้นจนจากไปจึงไม่ถึงหนึ่งชั่วยามด้วยซ้ำ
เรียกได้ว่าเร็วมาก
การออกจากสุสานดวงดาราของเขาได้รับการดูแลดีเป็นพิเศษ เพราะเรือที่จักรวรรดิดาวตกจัดเตรียมไว้ให้หวังเป่าเล่อก็คือเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลำที่พาเขามา และคนพายเรือก็คือกระดาษรูปมนุษย์ตนเดิมตนนั้น
สายตาที่กระดาษรูปมนุษย์มองหวังเป่าเล่อมีความอ่อนโยนมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังมีอารมณ์หลากหลายราวกับกำลังมองผู้เยาว์ หลังจากหวังเป่าเล่อขึ้นเรือ ไม้พายก็แกว่งไกว หวังเป่าเล่อยืนอยู่บนเรือและโค้งคำนับลงท่ามกลางสายตาอำลาของผู้ฝึกตนทั่วทั้งจักรวรรดิดาวตก
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส พวกเรา…คงได้พบกันอีก!”
บนพื้นดินในราชวัง จักรพรรดิดาวตกพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย ขณะเดียวกันบนผืนทะเลกระดาษสีดำ บรรพบุรุษแห่งจักวรรดิดาวตกผู้นั้นก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมามองเรือของหวังเป่าเล่อที่อยู่บนผืนน้ำ พอเห็นเรือลำนั้นไกลออกไปจนเกือบลับตา จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้น
“เจ้าหนุ่ม จงระวังขวดใบนั้นของเจ้าให้มาก ของเล่นชิ้นนั้นประกอบด้วยความลุ่มหลงอันแรงกล้าอยู่สองประการ ซึ่งสามารถเปลี่ยนความคิดของผู้ใช้ได้อย่างไร้ร่องรอย ทำให้เกิดความโลภในสิ่งของ และยังทำให้กระหายต่อการมีชีวิตยืนยาว และจากที่ข้าสัมผัสได้เจ้าของความลุ่มหลงนั้นไม่อ่อนแอเลย…เป็นระดับเดียวกับผู้อยู่เหนือสรรพสิ่งจากต่างพิภพที่เจ้าเรียกออกมาจากบทสวดแห่งเต๋าคนนั้น!”
ในขณะที่เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ใต้เท้าหวังเป่าเล่อแล่นออกจากสุสานดวงดารา คำพูดของกระดาษรูปมนุษย์บนทะเลกระดาษสีดำก็ผุดขึ้นในหัว คำพูดนั้นทำให้หวังเป่าเล่อเบิกตาโพลง ร่างกายสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ เขาหันไปมองนอกเรือโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่เขาเห็นย่อมไม่ใช่พื้นดินของสุสานดวงดาราอีกต่อไป แต่เป็นจักรวาลสีขาวราวกับกระดาษ
ก่อนที่เขาจะมองเห็นได้ชัดเจน จักรวาลกระดาษก็พับครึ่งอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับตอนที่มาถึง หลังจากจักรวาลถูกพับครึ่งอีกนับครั้งไม่ถ้วน เรือก็ถูกมันห่อหุ้มไว้ข้างในจนกระทั่งทุกสิ่งหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลำนี้ปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบในจุดหนึ่งของจักรวาลจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น หวังเป่าเล่อที่อยู่บนเรือตัวสั่นและฟื้นจากภวังค์ เมื่อมองไปรอบๆ เขาก็รู้ว่าตนได้เดินทางออกมาจากสุสานดวงดารา กลับมายังจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นแล้ว
ขณะที่มองไปรอบๆ ในหัวเขาก็ยังคงมีคำพูดของกระดาษรูปมนุษย์ดังก้องอยู่ เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะหลอกตน คำพูดก่อนแยกจากกันนี้มีเจตนาที่ดีและหมายเตือนสติ หวังเป่าเล่อก็ใจเต้นโครมคราม
“มีผู้อยู่เหนือสรรพสิ่งคนเดียวก็ไม่กระไรหรอก แต่นี่มีอีกสองคน…ข้าว่าแล้ว ว่าขวดนั่นมันแปลกๆ มิเช่นนั้นคนซื่อตรงอย่างข้าจะกอบโกยเงินในสุสานดวงดารามามากขนาดนั้นได้อย่างไรกันล่ะ!!” ในใจหวังเป่าเล่อยุ่งเหยิง ทางหนึ่งก็คิดว่าเก็บขวดนั่นไว้กับตัวไม่ใช่เรื่องดีแน่ แต่อีกทางหนึ่งก็คิดว่ามันคือสมบัติล้ำค่าและไม่อาจทิ้งมันได้
ขณะที่เขากำลังสับสนก็กลับมาถึงในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ไม่นานหวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงความต่างของตนเองกับในอดีต ในจักรวาลนี้มีร่องรอยของพลังปราณที่มองไม่เห็นกำลังมาบรรจบกับเขาจากทุกสารทิศ ขณะเดียวกันกับที่ถูกมันดูดซับ มันก็เข้าไปบรรจบที่กลางดาวเคราะห์เต๋าในร่างกายเขา
สภาวะการฝึกฝนตลอดเวลาเช่นนี้ไม่ได้มีเฉพาะหวังเป่าเล่อ แต่ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ทุกคนล้วนมีสิ่งนี้ และนับเป็นหนึ่งในจุดแข็งของพวกเขา อาศัยดวงดาวในร่างกายทำให้ร่างของตนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับจักรวาล ขณะเดียวกันก็สามารถดูดซับสิ่งที่เรียกว่าปราณเซียนในจักรวาลได้!
เพียงแต่ปราณเซียนที่มาบรรจบกันที่หวังเป่าเล่อในขณะนี้ มีมากมายนับไม่ถ้วน ในชั่วพริบตาก็ก่อตัวขึ้นเป็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่รอบๆ ตัวเขา ปราณเซียนยังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้กระแสน้ำวนขยายใหญ่ขึ้นกระทั่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ฉากนี้หากถูกผู้อื่นในระดับดาวพระเคราะห์ที่ไม่รู้จักหวังเป่าเล่อมาก่อนพบเข้า จะต้องตกใจจนเสียจริตและก่อคลื่นลูกใหญ่ขึ้นในใจเป็นแน่ เพราะกระแสน้ำวนรอบตัวหวังเป่าเล่อนั้นน่าทึ่งเกินไปจริงๆ เป็นไปได้ว่าหากไม่ควบคุมไว้ มันก็จะขยายขอบเขตไปถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัว
ไม่ว่าจะหมกมุ่นฝึกตนอยู่ที่จุดใดในดาราจักรแห่งอารยธรรม ก็อาจดูดซับปราณเซียนในดาราจักรจนแห้งเหือดได้ในเวลาอันสั้น สิ่งนี้เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในดาราจักรและดวงดาวไม่น้อย
และผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถทำได้ อย่างมากที่สุดก็ทำได้เพียงครึ่งเล็กๆ ของหวังเป่าเล่อในปัจจุบันที่ยังไม่สำแดงอานุภาพออกมาอย่างเต็มที่เท่านั้น และเหตุนี้ก็บ่งบอกถึงความน่าและการครอบงำของดาวเคราะห์เต๋าได้
แม้แต่หวังเป่าเล่อเองยังตกใจ เขารู้ดีว่าตอนนี้ตนต้องทำตัวไม่โดดเด่นจึงรีบสกัดมันไว้ทันที ทำให้กระแสน้ำวนรอบตัวเขาค่อยๆ สลายไป กระทั่งมันสลายไปหมดแล้วเขาจึงค่อยโล่งใจขึ้น
“ต่อไปต้องระวังยามฝึกฝนแล้ว…” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว เขาเพิ่งเลื่อนขึ้นเป็นระดับดาวพระเคราะห์ ถึงแม้ร่างกายจะปรับตัวได้แล้ว แต่สภาพจิตใจของเขายังไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อย่างเช่นในกรณีของการฝึกฝน การฝึกของดาวพระเคราะห์แตกต่างกับการฝึกของจิตวิญญาณอมตะอย่างสิ้นเชิง หากไม่ควบคุมมันไว้เกรงว่าคนที่อยู่ห่างไกลก็ยังรับรู้ได้
ถึงอย่างไร…ความผันผวนก็ต่างกัน
“โดยเฉพาะตอนนี้ที่ข้าตกเป็นจุดสนใจของสาธารณะ…อารยธรรมครามทองคำต้องจัดการข้าแน่…” คิดถึงตรงนี้หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลงกวาดมองศิษย์แห่งเต๋าของอารยธรรมครามทองคำที่ถูกเขาผนึกไว้ในกระเป๋าคลังเก็บ หลังจากครุ่นคิดแล้วเขาก็หันไปโค้งคำนับกระดาษรูปมนุษย์ที่พายเรืออยู่
“ผู้อาวุโส ท่านสามารถส่งผู้เยาว์ไปยังสถานที่ที่ข้าต้องการได้หรือไม่ “
ปกติแล้วคนพายเรือของเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะไม่สนใจผู้ฝึกตนจากต่างพิภพ พวกมันปฏิบัติตามคำสั่งของจักรวรรดิดาวตกโดยไปส่งคนที่ท่าเรือ และในระหว่างนั้นแผนการเดินทางก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง
แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ว่ากระดาษรูปมนุษย์ที่พายเรือตนนี้ หรือจะเป็นคำสั่งของจักรวรรดิดาวตก ก็ล้วนดูแลหวังเป่าเล่อดีเป็นพิเศษ ดังนั้นหลังจากกระดาษรูปมนุษย์ตนนั้นได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ เขาก็หันกลับมามองและส่งสายตาเป็นเชิงถาม
เมื่อเห็นเช่นนั้นหวังเป่าเล่อก็ใจเต้นและรีบบอกพิกัดที่จะไปทันที สถานที่นั้นคือที่ที่เขาจัดไว้ให้เจ้าเยี่ยเหมิงรวมถึงเจ้าลาน้อยกับอู๋น้อยก่อนที่จะเดินทางไปสุสานดวงดารา
จากแผนในหัวหวังเป่าเล่อ ณ ตอนนี้ เขาต้องไปรับคนก่อน จากนั้นจึงควบคุมร่างจริงให้ตื่น ถึงแม้ตอนนี้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะเตรียมการล้อมศัตรูไว้แล้ว แต่หากฉวยโอกาสตอนที่พวกเขาไม่ทันระวัง ร่างจริงก็สามารถใช้พลังของดารานิรันดร์ครามทองคำหายตัวกลับไปยังระบบสุริยะได้
ส่วนตัวเขาก็เช่นกัน หลังจากใกล้ชิดกับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แล้ว เขาก็สามารถใช้การเชื่อมต่อกับดารานิรันดร์ดวงเนตรสวรรค์หายตัวกลับไปยังระบบสุริยะเพื่อหลอมรวมกับร่างจริงได้
จุดสำคัญของเรื่องนี้ก็คือการหายตัวของดารานิรันดร์ดวงเนตรสวรรค์ แต่เมื่อพิจารณาว่าอารยธรรมครามทองคำอาจจะผนึกดารานิรันดร์ไว้ หวังเป่าเล่อก็ยังมีแผนสำรอง แต่แผนทั้งหมดนี้มีข้อกำหนดเบื้องต้นอยู่ ก็คือต้องไปรับพวกเจ้าเยี่ยเหมิง เช่นนี้เขาจึงสามารถจัดการเรื่องอื่นได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกังวลว่าจะขาดการติดต่อกับพวกเจ้าเยี่ยเหมิงหากเลือกที่จะหนี อีกอย่างคือการที่พวกเขาอยู่ที่นี่ในระยะสั้นๆ ก็ยังถือว่าปลอดภัย แต่หากนานเข้าก็อาจเป็นอันตรายได้
“หากรู้ว่าการเดินทางไปสุสานดวงดาราไม่อันตรายเลยสักนิดก็คงพาพวกเขาไปด้วยแล้ว” หวังเป่าเล่อส่ายหน้าขณะแจ้งพิกัด เรือวิญยาณศักดิ์สิทธิ์ภายใต้การพายของกระดาษรูปมนุษย์พลันเปลี่ยนทิศและเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เนื่องจากวัสดุและกฎพิเศษจึงไม่ใช่แค่เร็ว แต่ยังถูกคนพบได้ยาก จึงไม่มีอุปสรรคใดๆ ตลอดทาง
ในไม่ช้าก็เข้าใกล้ดาวธรรมดาๆ ที่หวังเป่าเล่อพาพวกเจ้าเยี่ยเหมิงไปอยู่โดยแทบจะไม่มีใครทันสังเกต แต่ทันทีที่มาถึงหวังเป่าเล่อก็แผ่จิตใต้สำนึกของตนออกไปและในฉับพลันก็…หน้าเปลี่ยนสี!
บนดาวดวงนี้มีพื้นที่กว้างขวาง ถึงแม้จะมีร่องรอยความผันผวนของพลังเทพ แต่กลับไม่มีร่องรอยพลังงานของเจ้าเยี่ยเหมิงรวมถึงเจ้าลาน้อยและอู๋น้อย หากเพียงแค่นั้นก็ไม่กระไร แต่หลังจากหวังเป่าเล่อกวาดจิตใต้สำนึกไปยังร่องรอยความผันผวนของพลังเทพนั้น ในหัวของเขาก็พลันเกิดเสียงที่มืดมนโหดเหี้ยมดังก้องขึ้นมาอย่างชัดเจน!
“หลงหนานจื่อ ข้ากำลังรอเจ้าอยู่ที่อารยธรรมครามทองคำ!”
……………………………………