หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 981 ตกลง!
เต๋าแห่งแสงรวบรวมกฎตราประทับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และใช้มันสยบกลับ วิถีพลังเทพเช่นนี้สำแดงออกมาจากมือของหวังเป่าเล่อ สำหรับเหล่าผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นี่เรียกได้ว่าฟ้าถล่มดินทลาย
เขายอมรับได้ว่าภูมิหลังของอีกฝ่ายคือการมีผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพเป็นอาจารย์ ยอมรับได้ว่าการกลับมาในครั้งนี้เขาได้ทะลุระดับฐานการฝึกฝน และยอมรับได้ว่าเมื่อผนึกกายเข้ากับดาวเคราะห์เต๋าแล้วคนตรงหน้าแข็งแกร่งนัก แต่เขาไม่สามารถยอมรับได้ว่า…เขาได้ใช้กฎทั้งหมดที่มีแล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคู่ต่อสู้จะใช้คำว่าอ่อนแอมาอธิบายก็ออกจะเกินจริงอยู่บ้าง…
“ระหว่างดาวเคราะห์อมตะกับดาวเคราะห์เต๋า…ต่างกันมากจริงๆ!!” ผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย นัยน์ตาฉายแววไม่ยอมจำนนอย่างแรงกล้า แม้ในชีวิตนี้เขาจะไม่เคยเห็นผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันมีดาวเคราะห์เต๋ามาก่อน แต่สำหรับผู้ฝึกตนระดับเดียวกันที่มีดาวพิเศษก็ใช่ว่าจะไม่เคยสู ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ของคนคนนั้น แต่ด้วยฐานการฝึกฝนที่แข็งแกร่งจึงยังคงต่อสู้ได้อย่างยากเย็น
แต่ตอนนี้…จู่ๆ เขาก็พบว่าตัวเองพลาดแล้ว ความผิดพลาดนั้นรุนแรงมาก ในระดับเดียวกันการบดขยี้ระหว่างดาวเคราะห์เต๋ากับดาวเคราะห์อมตะทำให้ฐานการฝึกฝนอันแข็งแกร่งที่เขามีกลายเป็นเรื่องตลก
เมื่ออยู่ต่อหน้ากฎก็ดูเหมือนไร้ค่า!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากฎทั้งหมดในมือหวังเป่าเล่อนั้นมีมากเสียจนแทบจะทำให้ผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จิตใจพังทลาย แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์ชั้นปลาย อีกทั้งตัวตนในฐานะผู้นำนี้เขาก็ไม่ได้รับสืบทอดมา แต่ใช้การฆ่าฟันเพื่อให้ได้มา
ดังนั้นประสบการณ์การต่อสู้ของเขาจึงมีมากมาย ในพริบตาที่หวังเป่าเล่อชี้นิ้ว นัยน์ตาผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็เผยความบ้าคลั่ง สองมือของเขากางออกคว้าดาวพระเคราะห์ชั้นกลางสองคนข้างกาย ท่ามกลางทั้งสองคนที่หน้าซีดตกใจกลัว ผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ระเบิดฐานการฝึกฝนและเหวี่ยงพวกเขาทั้งสองไปทางนิ้วของหวังเป่าเล่อ!
“ท่านผู้นำ ท่าน!!”
“ท่านผู้นำ!!”
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป ประกอบกับนิ้วของหวังเป่าเล่อก็เข้ามาใกล้และยังมีความต่างระหว่างดาวพระเคราะห์ชั้นกลางกับชั้นปลาย รวมถึงความต่างของดาวเคราะห์อมตะกับดาวเคราะห์วิญญาณ ทั้งหมดนี้ทำให้ดาวพระเคราะห์ชั้นกลางทั้งสองคนไม่อาจต่อต้านได้ ท่ามกลางเสียงคำรามโกรธเกรี้ยว ร่างของพวกเขากระโจนไปหาหวังเป่าเล่ออย่างช่วยไม่ได้
ขณะที่กระโจนเข้าไป ในร่างกายของพวกเขาสองคนก็มีพลังปราณแห่งการทำลายล้างระเบิดออกมา ไม่ใช่ว่าพวกเขาคิดจะระเบิดตัวเอง แต่ตอนที่ผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหวี่ยงพวกเขาออกมานั้นไม่ได้ส่งออกมาแค่แรงเหวี่ยง แต่ยังส่งฐานการฝึกฝนของตนเข้าไป ทำให้สหายทั้งสองของเขาที่ฐานการฝึกฝนปั่นป่วนอยู่แล้วเหมือนกับถูกจุดไฟ ส่งผลให้เสียการควบคุมจนเกิดเป็นการระเบิดตัวเอง
ในชั่วพริบตาต่อมาเมื่อปะทะเข้ากับนิ้วแสงของหวังเป่าเล่อจนเกิดเสียงสะเทือนฟ้า ผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์ชั้นกลางทั้งสองคนที่ลุกไหม้อีกครั้งก็ร่างระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ทันที ดาวพระเคราะห์ของพวกเขาก็แหลกสลายไปด้วยจนกลายเป็นพลังทำลายล้างระเบิดออกมาตรงหน้าหวังเป่าเล่อ
มองจากระยะไกลการระเบิดตัวเองของดาวพระเคราะห์ทั้งสองคนนี้ทรงพลังกว่าการพังทลายของดาวธรรมดา และกลายเป็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่สองแอ่งจมลงสู่ร่างของหวังเป่าเล่อ
อย่างไรก็ตาม ภาพนี้ไม่ได้ทำให้ผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์โล่งใจ ความตึงเครียดของเขายังคงอยู่ เมื่อสถานการณ์วิกฤติมากยิ่งขึ้น เขาได้ใช้ประโยชน์จากการระเบิดตัวเองของดาวพระเคราะห์ชั้นกลางทั้งสองคนถอยหลังไปทันที ทั้งร่างชุ่มโชกไปด้วยเลือด เห็นได้ชัดว่าใช้วิธีลับแลกกับความเร็วขั้นสุดหลบหนีไป
ความเร็วนั้นเร็วมากจนทิ้งร่องรอยลมหายใจไว้จนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่มันก็หายไปในชั่วพริบตาทำให้ในสนามรบเหลือเพียงกระแสน้ำวนเลือดเนื้อทั้งสองแอ่งที่แผ่ขยายไปทั่วบริเวณราวกับจะทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่นี่
ทว่า…ไม่อาจทำลายหวังเป่าเล่อได้!
หวังเป่าเล่อในตอนนี้ไม่ใช่ร่างแยกอีกต่อไป แต่ผนึกกายกับร่างจริงและมีกายเนื้อจริงๆ แต่เดิมกายเนื้อของเขานั้นแข็งแกร่งอยู่แล้ว เมื่อยิ่งผนึกกายเข้าไปก็ยิ่งเพิ่มความแกร่งขึ้นอีก ตอนนี้กายเนื้อของเข้าถึงระดับดาวพระเคราะห์แล้ว ประกอบกับเกราะจักรพรรดิที่ทำให้เขาเดินออกมาจากกระแสน้ำวนเลือดเนื้อสองแอ่งนั้นทีละก้าว โดยไม่ต้องหลบเลี่ยงแม้แต่น้อยได้อีกด้วย
ผมยาวพลิ้วไหว หวังเป่าเล่อในชุดสีดำหันศีรษะไปยังทิศทางที่ผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กำลังหนีไป จากนั้นก็หันกลับไปมองอีกฝั่งหนึ่งด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“เหลือแค่สองคนแล้ว” ขณะพูดกับตัวเอง หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นจับที่ความว่างเปล่า เสียงพูดแผ่วเบาดังออกมาจากปากของเขา
“เต๋าเปลวไฟเหลือง!”
ทันทีที่พูดออกไปจักรวาลรอบตัวก็คำรามลั่น ทะเลเพลิงที่ปรมาจารย์แห่งไฟทิ้งไว้ซึ่งปกคลุมอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็ลุกโชนสูงขึ้นราวกับว่าวินาทีที่หวังเป่าเล่อใช้เต๋าเปลวไฟของตนนั้นได้ผสานเจตจำนงของเขาเข้าไปในทะเลเพลิง ทั้งควบคุมและขับเคลื่อน!
หากเปลี่ยนเป็นเปลวไฟของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพคนอื่น ต่อให้หวังเป่าเล่อมีกฎดาวเคราะห์บรรพกาลก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะควบคุมมัน ถึงอย่างไรความห่างชั้นของทั้งคู่ก็ใหญ่เกินไป แต่การยอมรับจากปรมาจารย์แห่งไฟก็ทำให้ทุกอย่างต่างออกไป
ทะเลเพลิงที่ทิ้งไว้ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นั้นแทนที่จะปฏิเสธหวังเป่าเล่อ มันกลับส่งความรู้สึกกระตือรือร้นออกมา ในทันทีที่เขาคิด มันก็ระเบิดพุ่งสูงขึ้นรอบๆ อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ตวัดม้วนโดยมีหวังเป่าเล่อเป็นศูนย์กลางอย่างดุเดือดราวกับผลักภูเขาพลิกทะเล
หากยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงพอและมองลงมาก็จะเห็นทะเลเพลิงที่แผ่ขยายไปทั่วอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ราวกับวงแหวนไฟขนาดใหญ่ได้อย่างชัดเจน ขณะนี้วงแหวนไฟกำลังหดตัวอย่างรวดเร็ว และตราบใดที่ไม่ได้รับอนุญาตจากหวังเป่าเล่อ ทุกสิ่งในวงแหวนไฟก็ไม่สามารถออกมาได้ ทำได้เพียงถอยร่นกลับมาในกองเพลิงที่ลุกโชน!
มันหดตัวเร็วมาก กระบวนการทั้งหมดกินเวลาเพียงสิบกว่าอึดใจเท่านั้น หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นมา ทันใดนั้นในมือทั้งสองข้างของเขาก็มีร่างสองร่างปรากฏขึ้นซึ่งก็คือคนที่ถูกทะเลเพลิงที่หดตัวบีบบังคับให้ถอยกลับมา
ด้านซ้ายคือผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ส่วนด้านขวา…คือปรมาจารย์มหาทัณฑ์!
ตอนนี้ทั้งสองต่างมีสีหน้าสิ้นหวัง ความรู้สึกไร้พลังจากจิตใจทำให้พวกเขาดูเหมือนจะทำได้เพียงหัวเราะอย่างเศร้าโศก แต่เมื่อเทียบกับปรมาจารย์มหาทัณฑ์แล้ว ผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ดูคั่งแค้นกว่าอย่างเห็นได้ชัด หลังจากถูกบีบบังคับให้ถอยกลับมา เขาก็จ้องหวังเป่าเล่อและร้องคำราม
“หวังเป่าเล่อ จะฆ่าก็ฆ่าให้เร็วที่สุด!!”
“ได้!” สิ่งที่ตอบกลับเขาคือเสียงเยือกเย็นของหวังเป่าเล่อ และร่างที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในทันที และยังมี…นิ้วชี้ขวาของหวังเป่าเล่อ!
เพียงแต่ทันทีที่นิ้วชี้นั้นชี้ออกไปครั้งนี้ก็ไม่ใช่เลือดเนื้ออีกต่อไป แต่กลายเป็นกระดาษ มันคือกฎกระดาษที่ดาวเคราะห์เต๋าสลักมา และยังมีเสียงแฝงความหมายแปลกๆ จากหวังเป่าเล่อที่ดังสะท้อนอยู่ข้างหูผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
“เคล็ดเวทนักรบกระดาษ!”
เคล็ดเวทนี้คือพลังเทพดาวตกที่หวังเป่าเล่อซื้อมาจากร้านหนึ่งตอนออกจากสุสานดวงดารา อานุภาพของมันมีไม่น้อยและยิ่งอยู่ภายใต้กฎที่เพียงพอ ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถกลายเป็นกระดาษได้เหมือนกับผนึกกับดัก และยังเป็นเหมือนหุ่นเชิดได้ด้วย!
ดังนั้นในชั่วพริบตาที่หวังเป่าเล่อชี้นิ้วไปยังหว่างคิ้วผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ภายใต้แรงกดดันเปลวไฟของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพ และพลังยับยั้งสองเท่าของดาวเคราะห์เต๋าของหวังเป่าเล่อ ผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สามารถต่อต้านได้ เขาตัวสั่นเทิ้ม ยามที่เขาสีหน้าแข็งค้างและก้มหน้าลง เขาก็เห็นร่างกายตัวเองกำลังกลายเป็นกระดาษ
กระบวนการทั้งหมดกินเวลาเป็นเจ็ดถึงแปดลมหายใจเท่านั้น ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ผู้เป็นประจักษ์พยานเหตุการณ์นี้ตัวสั่นอยู่ด้านข้าง เขาเห็นผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นกระดาษรูปมนุษย์ อีกทั้งยังหดตัวอย่างรวดเร็วจนเหลือขนาดเท่าฝ่ามือลอยไปตกลงบนมือของหวังเป่าเล่อและถูกเขาจับไว้
ภาพนี้ทำให้ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ชาไปทั้งศีรษะ และเมื่อเขาหวาดกลัวถึงขีดสุด เขาก็เห็นหวังเป่าเล่อหันกลับมาจ้องมองตน
ขณะที่ดวงตาสองคู่สบกัน หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นชี้ ทันใดนั้นแสงสีขาวที่บรรจุกฎแห่งกระดาษแสงหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ในพริบตาที่เผชิญหน้ากับแสงสีขาว ปรมาจารย์มหาทัณฑ์คุกเข่าลงอย่างไม่ลังเล วินาทีนี้เขาไม่สนใจฐานะของตน ไม่สนใจฐานการฝึกฝนของตน ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น สนใจเพียงชีวิตของตนเท่านั้น แล้วเขาก็พูดอย่างรวดเร็ว!
“ข้ายอมเป็นทาสและจะไม่ทรยศเจ้าตลอดชีวิต!!”
ทันทีที่เอ่ยออกไป ลำแสงกฎกระดาษของหวังเป่าเล่อก็หยุดชะงักอยู่ตรงหว่างคิ้วปรมาจารย์มหาทัณฑ์ หวังเป่าเล่อเองก็เงียบไปราวกับกำลังครุ่นคิด
กระบวนการทั้งหมดกินเวลาเพียงสิบกว่าอึดใจ แต่สำหรับปรมาจารย์มหาทัณฑ์นั้นดูยาวนานไร้จุดสิ้นสุด ทำให้เขารู้สึกทรมานขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ ร่างกายยิ่งสั่นเทิ้มขึ้นเรื่อยๆ ในตอนที่เขาดูจะควบคุมความวิตกกังวลและความสิ้นหวังของตนไม่ได้แล้ว เขาก็ได้ยินเสียงที่เปรียบดั่งเสียงแห่งความหวังในที่สุด
“ตกลง!”
พร้อมกับเสียงที่ดังก้อง ลำแสงตรงหน้าก็เปลี่ยนไปและในที่สุดก็กลายเป็นตราประทับที่แสดงถึงดาวเคราะห์เต๋าและประทับลงบนหว่างคิ้วปรมาจารย์มหาทัณฑ์ทันที!
นับตั้งแต่นี้ทั้งความคิดและชีวิตของเขาล้วนอยู่ในกำมือหวังเป่าเล่อแล้ว และเนื่องจากตราประทับที่แสดงถึงดาวเคราะห์เต๋าทำให้ตราประทับนี้ได้รับการยอมรับจากกฎแห่งจักรวาล เว้นแต่ผู้ที่มีดาวเคราะห์เต๋าเหมือนกันเท่านั้นถึงจะลบมันออกไปได้ มิเช่นนั้น…มันก็จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์!
………………………………