หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 992 ขี้ขลาด!
“ลำพองตนเกินไปแล้ว!” จิตสังหารฉายชัดในแววตาของชายหนุ่ม ขณะเปล่งเสียงร้องคำราม ปลดปล่อยพลังทั้งหมดที่แผ่กระจายอยู่ในร่างกายออกมา!
เสียงครึกโครมดังขึ้นระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ในยามที่เก้าดาวเคราะห์บรรพกาลและดาวเคราะห์เต๋าด้านหลังหวังเป่าเล่อสั่นสะเทือน ดูเหมือนจะมีทะเลเพลิงมายาลุกโชนจากด้านหน้า นี่คือพลังของดารานิรันดร์ แม้ว่าตัวชายหนุ่มเองจะบาดเจ็บหนักจนตอนนี้พลังที่เขามีไม่ถึงหนึ่งในสิบ ทว่าดารานิรันดร์ยังคงอยู่เช่นเดิม!
ดังนั้นเพลิงของดารานิรันดร์จึงก่อตัวขึ้นภายใต้การขัดขวางของพลังเทพ ทั้งในรูปแบบมายาและความจริง ไม่เพียงแต่ปรากฏขึ้นในจิตใจของหวังเป่าเล่อและดวงดาราที่อยู่ด้านหลังเพียงเท่านั้น ยังปรากฏอยู่ข้างชั้นกายเนื้ออีกด้วย ราวกับจะแผดเผาร่างกายและวิญญาณของเขาในเปลวเพลิงของดารานิรันดร์เข้าด้วยกัน
ทันทีที่เก้าดาวเคราะห์บรรพกาลที่อยู่เบื้องหลังหวังเป่าเล่อสั่นสะเทือนขึ้นมา พวกมันถูกจัดเรียงตัวกันเป็นเงามายาดาวเคราะห์เต๋า เนื่องจากแสงสว่างเจิดจ้ายังคงอยู่ จึงดูเหมือนเพลิงของดารานิรันดร์ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก อย่างไรก็ตามหวังเป่าเล่อก็เป็นแค่ระดับดาวพระเคราะห์ ชั้นกายเนื้อของเขาจึงเริ่มออกอาการจนทนไม่ไหวอีกต่อไป
แต่…เนื่องจากหวังเป่าเล่อมีความกล้าหาญและความเชื่อมั่นในตัวเองเป็นทุนเดิม แม้ว่าชั้นกายเนื้อของเขาเหมือนจะถูกทำลายด้วยเปลวเพลิงอยู่ในเวลานี้ ทว่าแววตาของเขายังคงสงบนิ่ง ไม่สั่นไหวแต่อย่างใด นิ้วชี้ข้างขวาตวัดไปด้านหน้าด้วยความดุดัน!
ในชั่วพริบตา ปราณกระบี่จากปลายนิ้วก็ปะทุออกมาอย่างรุนแรง ชั้นกายเนื้อของเขาพยายามยืนหยัดไว้จนถึงขีดสุด ภายใต้อุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้น ก็มีของเสียสีดำจำนวนมากออกมาทางต่อมเหงื่อทั่วทั้งตัว ราวกับว่าของเสียทั้งหมดในตัวถูกขับออกมาโดยความร้อนพวกนี้ จนใกล้จะถึงจุดวิกฤติที่จะเกิดการแตกซ่าน…
แต่ ณ ขณะนั้น จู่ๆ ก็ได้ปรากฏภาพลวงตาแสนรุนแรงของทะเลเพลิงห่าใหญ่จากในร่างกายของเขาขึ้นมา ครั้นจะพูดให้ถูก ทะเลเพลิงนี้ไม่ได้เกิดจากในตัวเขา ทว่าเกิดจากอากาศธาตุที่แผ่คลุมร่างกายของหวังเป่าเล่อ ซึ่งไม่ได้ทำอันตรายใดๆ แก่เขาเลย ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกได้รับการปลอบประโลม
ยิ่งไปกว่านั้นยังได้สร้างเกราะป้องกัน แผ่กระจายออกปะทะกับเปลวเพลิงของชายหนุ่มดารานิรันดร์จนเปลวเพลิงของชายหนุ่มดารานิรันดร์สั่นสะเทือนเลือนลั่น ปราศจากการตอบโต้ พลันถูกเปลวเพลิงที่ลุกท่วมรอบกายหวังเป่าเล่อดูดซับและผนึกกายไว้ด้วยกัน เปลวเพลิงที่อยู่บนร่างหวังเป่าเล่อเหมือนจะได้รับพลังเสริมบางอย่าง ลุกลามไปด้านนอกอีกครั้ง มองจากระยะไกลหวังเป่าเล่อในขณะนี้ดูราวกับเทพอัคคีตนหนึ่ง!
นี่คือไม้ตายของเขา และยังเป็นเหตุผลที่เขากล้าเสี่ยงตายมาถึงกระบี่สำริดโบราณเพียงลำพัง!
เพราะเพลิงนี้ได้มาจากปรมาจารย์แห่งไฟ!
แม้ก่อนหน้านี้ปรมาจารย์แห่งไฟที่อยู่ในระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์จะจากไป แต่เปลวเพลิงก็ยังมีอยู่ หลังจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ถูกหวังเป่าเล่อปฏิวัติ เพลิงนี้ได้ผสานเข้ากับรอบกายเขา ราวกับหายสาบสูญไป ทว่าหวังเป่าเล่อสามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของเปลวเพลิงได้อย่างชัดเจน เฉกเช่นได้รับพรจากดวงวิญญาณ เขาประจักษ์ถึงประสิทธิภาพของเพลิงนี้ ซึ่งก็คือการแผ่กระจายสร้างเกราะการป้องกันในขณะที่ตนตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต!
เรียกได้ว่านี่เป็นพรที่รับมาจากท่านอาจารย์ของเขา ปรมาจารย์แห่งไฟ!
มีพรนี้อยู่ยังพูดไม่ได้ว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นแค่ดารานิรันดร์คนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บ แม้จะอยู่ในช่วงเวลาสำคัญที่สุดก็ทำให้หวังเป่าเล่ออับจนหนทางได้อยู่ดี ถึงปรมาจารย์แห่งไฟจะให้พรมา แต่กลับรู้ดีว่าไม่สามารถฝืนธรรมชาติได้ อีกทั้งไม่อยากให้ลูกศิษย์พึ่งพาตัวเองมากจนเกินไป ดังนั้นไฟนี้จึงเป็นเพียงเกราะป้องกันที่ไม่ทำอันตรายต่อภายนอก
ทว่าสำหรับหวังเป่าเล่อเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ขณะที่เปลวเพลิงลุกลามออกไป ท่าทีของชายหนุ่มดารานิรันดร์พลันแปรเปลี่ยน แสดงสีหน้าที่คาดไม่ถึงออกมา นาทีที่ร่างของเขาต้องการล่าถอยออกจากแท่นสังเวย หวังเป่าเล่อจึงตวัดนิ้วชี้ข้างขวาลงทันควัน ปราณกระบี่ในตัวพลันระเบิดดังสนั่นลั่นฟ้า!
นี่เป็นปราณกระบี่ที่หลอมรวมอยู่กับฝักกระบี่ในกายเขา พลังของมันช่างน่าทึ่ง กล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในพลังเทพที่แข็งแกร่งที่สุดในตัวของหวังเป่าเล่อ ณ ตอนนี้ สำหรับการโจมตีอันไร้ที่ติ!
ปราณกระบี่นั้นพลันส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ยามที่ปะทะลงบนร่างของชายหนุ่มผู้นั้น ครั้นฟาดฟันลงมา แม้ว่าจะไม่ทำให้บาดเจ็บจนถึงแก่ชีวิต แต่ก็ส่งผลต่ออาการบาดเจ็บของร่างกายที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ ทำให้การรักษาในหลายปีที่ผ่านมาของเขานั้นสูญเปล่า
ฉะนั้นนี่คือสิ่งที่ชายหนุ่มไม่มีทางยอมรับได้ ดังนั้นสีหน้าของเขาจึงเปลี่ยนเป็นความเกรี้ยวกราด ชายหนุ่มคนนั้นกัดเข้าที่ลิ้นของตนเอง พลันถ่มเลือดออกมาคำโตแล้วโพล่งออกมาอย่างเหลืออด
“ท่านปรมาจารย์!”
ในเวลาต่อมา ท่านปรมาจารย์ก็ไม่ให้โอกาสหวังเป่าเล่อโต้ตอบใดๆ ตรงไปปะทะเข้ากับเปลวเพลิงรอบกายเขาเสียงดังกึกก้อง ร่างกายของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน แม้จะมีเปลวเพลิงขวางไว้ทำให้ไร้ซึ่งอันตราย ทว่าร่างกายยังคงเสื่อมถอยภายใต้การโจมตีของพายุลูกนี้ ทำให้เขาหลุดออกนอกม่านหมอก ขณะเดียวกันก็มีเสียงอึกทึกครึกโครมมาจากร่างมายาที่นั่งขัดสมาธิบนแท่นสังเวยที่สาม!”
“ผู้มาเยือน ข้าไม่อยากพบเจ้าอีก ไปให้พ้น!”
นอกม่านหมอก หวังเป่าเล่อถดตัวถอยหลังไปเรื่อยๆ ถึงร้อยจั้ง ก่อนจะหยุดลงอย่างไม่เต็มใจนัก เขาเงยหน้าขณะหายใจหอบถี่ พลางจ้องไปยังแท่นสังเวยที่สองในม่านหมอก ได้แต่ถอนหายใจในยามที่ชายหนุ่มดารานิรันดร์จ้องเขาด้วยความอาฆาตพยาบาทอย่างเห็นได้ชัด เมื่อมองถัดไปบนแท่นสังเวยที่สาม ตัวเขานั้นเหลือบตามองร่างมายาด้วยดวงตาแสบร้อน แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา
หลังจากที่เสียงหัวเราะดังขึ้น แสงเย็นวาบพลันส่องประกายผ่านนัยน์ตาของหวังเป่าเล่อ แผ่ความดุดันอำมหิตออกไปทั่วทั้งตัว เสียงฟ้าร้องดังกระหึ่มทั่วทุกสารทิศ
“ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพนั้นไร้เหตุผลขนาดนี้เชียวรึ พวกข้าหรือใครกันแน่ที่เป็นผู้เยี่ยมเยือน!”
เมื่อคำพูดพรั่งพรูออกมา กฎเปลวเพลิงแห่งดาวเคราะห์บรรพกาลที่อยู่ด้านหลังหวังเป่าเล่อ ก็ถูกเขาควบคุมโดยตรง เปลวเพลิงของปรมาจารย์แห่งไฟพลันถูกดึงออกอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะไม่สามารถใช้พิฆาตศัตรู แต่ยังสามารถลุกลามเป็นวงกว้างและใช้ทำเป็นตัวขัดขวางได้
ในขณะที่เปลวเพลิงลุกลาม ลมปราณของปรมาจารย์แห่งไฟที่อยู่ในกายก็ถูกปล่อยออกมาไม่มากก็น้อย พลอยทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพของวังเต๋าไพศาลที่อยู่บนแท่งสังเวยลำดับสามค่อยๆ เงยหน้าขึ้น จากใบหน้าที่เลือนลางยากแก่การมองเห็น ฉายแววตาวาวโรจน์ดุจสายฟ้า ฟาดลงมาบนตัวหวังเป่าเล่อ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ร่างนั้นจึงพูดขึ้นอย่างช้าๆ
“ลมปราณแห่งเปลวเพลิง…เจ้าเรียกเปลวเพลิงได้ ต่อให้เขาจะมาด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรกระบี่จักรพิภพโบราณแห่งวังเต๋าไพศาลของข้าได้หรอก!”
“เพราะฉะนั้น…ถอยไปซะ!”
“กระบี่จักรพิภพโบราณ? ข้าไม่รู้ว่าท่านอาจารย์ของข้าสามารถทำอะไรได้บ้าง แต่ข้า…ไม่สามารถทำได้งั้นหรือ?” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เวลานี้ฝักกระบี่ในกายของเขาถูกเขาควบคุมโดยสมบูรณ์ ทันทีที่พื้นพสุธาใต้ฝ่าเท้าสั่นสะเทือนเลือนลั่น ทั่วทั้งกระบี่สำริดโบราณก็เริ่มสนั่นสั่นไหว!
ฉากนี้ทำให้ดวงตาของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพหรี่ลง เขานิ่งเงียบไปเป็นเวลานานก่อนที่จะเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา
“เจ้ากำลังจะทำอะไร?”
“ข้าไม่ได้หมายจะให้เขาตาย แต่อย่างน้อยเขาต้องเจ็บหนัก และหลับไหลอีกครั้งเป็นเวลาพันปี โทษฐานที่ทำให้สหพันธรัฐระบบสุริยะเกิดความปั่นป่วน!” หวังเป่าเล่อพูดออกมาอย่างดุดัน พร้อมทั้งชี้นิ้วไปที่ชายหนุ่มดารานิรันดร์ที่สีหน้าเปลี่ยนไป
“ความสามารถของเจ้ายังไม่เพียงพอ ข้าขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย ถอยไปซะ!” หลังจากลองตรึกตรอง เขาก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันแฝงความเย็นชา
“ความสามารถงั้นหรือ?” หวังเป่าเล่อชูมือขวาขึ้นขณะควบคุมฝักกระบี่และหยิบหน้ากากลึกลับออกมา
“แม่นางน้อย เจ้ามีความสามารถพอรึยัง!”
เมื่อถอดหน้ากากออก ร่างของแม่นางน้อยได้แปลงกายออกมาจากด้านในหน้ากาก และมายืนเคียงข้างหวังเป่าเล่อ หลังจากถอนหายใจเบาๆ แม่นางน้อยก็โค้งคำนับ ท่ามกลางสีหน้าที่เปลี่ยนไปโดยฉับพลันของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพผู้นั้น
“ข้าน้อยขอคารวะท่านซิงอี้ผู้สูงส่ง”
ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพบนแท่นสังเวยลำดับสามได้แต่นิ่งงันอีกครั้ง
“หากยังไม่พอ…” ใบหน้าของหวังเป่าเล่อแสดงความดุดันหนักหน่วงขึ้น คราวนี้เขาต้องทำให้วังเต๋าไพศาลหวาดหวั่น มิฉะนั้นถ้าอีกฝ่ายอยู่ที่ระบบสุริยะแห่งนี้ หายนะอื่นๆ ก็คงจะเกิดขึ้นในเร็ววัน ดังนั้นความเด็ดเดี่ยวจึงฉายชัดในแววตา มือขวาชูไปที่จักรวาลนอกกระบี่โบราณ ชี้ไปยังทิศทางที่ดาวอังคารตั้งอยู่!
“วัตถุเวทแห่งความมืด…หวนคืน!”
ทันทีที่หวังเป่าเล่อลั่นวาจา ดาวอังคารที่อยู่ห่างไกลจากอาณาเขตแห่งนี้ก็สั่นคลอน พลังขนาดมหึมาที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นความสยดสยองครั้งใหญ่ บัดนี้ได้ปะทุออกมาจากใจกลางอาณาเขตของแผ่นดินดาวอังคารที่กำลังสั่นสะเทือน พุ่งตรงไปยังจักรวาล!
เสียงแซ่ซ้องดังมากขึ้น ราวกับตอบสนองต่อการอัญเชิญของหวังเป่าเล่อ ตามมาด้วยการระเบิดกระจายไปทั่วจักรวาล!
……………………..