หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 995 คารวะทีละคน!
เนื่องจากสถานะของหลินโยวรวมถึงตัวตนของหลินเทียนหาว ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองนครศักดิ์สิทธิ์ ประกอบกับความสัมพันธ์ที่มีกับหวังเป่าเล่อ อีกทั้งการมาถึงของเขา ทำเอาพิธีมงคลสมรสที่จัดบนดาวอังคารครั้งนี้แสนยิ่งใหญ่
หวังเป่าเล่อได้เตรียมของขวัญอันประณีตมาชิ้นหนึ่งเช่นกัน หลังจากพิธีมงคลสมรสดำเนินมาถึงช่วงสำคัญ ครั้นเริ่มงานเลี้ยงฉลองภายใน หวังเป่าเล่อทอดมองบ่าวสาวคู่ใหม่ที่อยู่ตรงหน้า พร้อมทั้งถือแก้วสุราอยู่ภายในโถงจัดงานแต่งงาน ภายในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกัน
“ต้าวปิน เจ้าว่าทำไมเทียนหาวยังคิดไม่ได้ล่ะ ทำไมอยากแต่งงานเร็วนัก…” หวังเป่าเล่อดื่มสุราพลางเดินไปยังหลิวต้าวปินที่เดินตามมายืนข้างๆ ตั้งแต่คราแรกที่ตัวเองมาถึง เขาเอ่ยคำพูดติดตลก รอยยิ้มที่ยกขึ้นมุมปากนำพาความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ
“พี่ใหญ่พูดถูกแล้วล่ะ หลังจากนี้หากออกไปเที่ยวเล่นคงขาดสหายที่แสนดีไปอีกคน” หลิวต้าวปินก็หัวเราะขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลังจากกระแอมไอแล้วเอ่ยปากกระซิบว่า
“พี่ใหญ่ หลายปีมานี้ขณะที่ท่านไม่อยู่ ภายในเขตพิเศษดาวอังคารมีผู้อพยพเข้ามากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า เป็นเพราะต้องสร้างเขตนครใหม่ของดาวอังคารจึงต้องทำงานอย่างหนัก ข้าเตรียมที่จะคัดสรรผู้ที่มีทั้งรูปพรรณสัณฐานและมีลักษณะพิเศษไม่เหมือนใครมาสักสองสามคน แล้ววางแผนจัดตั้งกลุ่มสาวดาราจักรขึ้นมาแสดงให้ทั้งสหพันธรัฐได้ส่งเสริมความงดงามภายในเขตพิเศษดาวอังคารของข้า!”
“เรื่องนี้สำคัญต่อเขตพิเศษดาวอังคารเป็นอย่างยิ่ง พี่ใหญ่เป็นผู้นำของข้า ข้าขอวิงวอนให้ท่านช่วยชี้แนะสักหน่อยขอรับ…” สีหน้าหลิวต้าวปินเคร่งขรึม ซ้ำยังแฝงความจริงใจ ดูเหมือนว่าวาจาที่เอ่ยออกมา ทำให้ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะฟังอย่างไรก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างที่หลิวต้าวปินหยิบแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง บอกว่าด้านในนี้คือข้อมูลของผู้สมัคร ความแปลกใจจึงฉายชัดบนสีหน้าหวังเป่าเล่อ ยามที่เขาขอให้หวังเป่าเล่อช่วยชี้แนะ
“ต้าวปินเอ๋ยต้าวปิน เจ้า…” หวังเป่าเล่อยิ้มไม่ได้ร้องไม่ออก ตอนที่กำลังเขกหัวอีกฝ่าย แต่จู่ๆ ก็มีน้ำเสียงอันอ่อนโยนดังขึ้นจากด้านหลังของพวกเขา
“กลุ่มสาวอะไรหรือ? หลิวต้าวปิน ขอข้าดูหน่อยสิ”
หวังเป่าเล่อหันกลับไปมองจึงพบร่างที่คุ้นเคยเดินตรงเข้ามา แววตาส่อความคิดถึง พร้อมพูดออกมาเบาๆ
“เสี่ยวหยา”
ผู้มาเยือนคือโจวเสี่ยวหยา ในวันนี้นางมีการเปลี่ยนแปลงจากในปีนั้นเล็กน้อย นางไม่ได้มีท่าทางเขินอายเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ความอ่อนโยนและความสง่างามมาพร้อมกับความรู้สึกที่มั่นคง ความนุ่มนวลจากภายนอกและความแข็งแกร่งจากภายในปรากฏออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด
การปรากฏตัวของนางทำให้หลิวต้าวปินถึงขั้นกะพริบตาปริบๆ เขาเก็บแผ่นหยกในมืออย่างเงียบๆ พลางหันไปยกมือคารวะโจวเสี่ยวหยาด้วยรอยยิ้ม
“คารวะท่านเจ้าสำนักโจว!” พูดจบเขาจึงหันมาทำความเคารพหวังเป่าเล่อ
“ท่านผู้นำ ข้าไม่รบกวนท่านรำลึกความหลังกับประมุขโจวแล้วล่ะ ข้าจะมารายงานท่านอีกครั้งในภายหลัง” เมื่อกล่าวเช่นนั้น หลิวเต้าปินก็โค้งคำนับทั้งสองอีกครั้งแล้วถอยกลับ
โจวเสี่ยวหยากวาดตามองหลิวต้าวปินที่จากไป ท้ายที่สุดดวงตาอันงดงามจึงหยุดลงบนใบหน้าของหวังเป่าเล่อก่อนจะถอนสายตากลับ นางยืนข้างเขาโดยไม่ได้ปริปากพูดอันใดออกมา ซ้ำยังมองไปยังหลินเทียนหาวและตู้หมินที่กำลังเข้าสู่พิธีมงคลสมรส ด้วยสายตาที่แฝงความยินดีและความอิจฉาเล็กๆ
“หลิวต้าวปินผู้นี้วุ่นวายเกินไปแล้ว กลับไปเห็นทีคงต้องอบรบสั่งสอนเสียหน่อย” เมื่อเห็นว่าโจวเสี่ยวหยาไม่ได้พูดอะไรหลังจากเดินมาถึง หวังเป่าเล่อพลันกระแอมไอหนึ่งทีพลางหาหัวข้อสนทนา
แท้จริงแล้วใจเขาเองก็รู้สึกผิดและซาบซึ้งต่อโจวเสี่ยวหยา ช่วงหลายวันมานี้บิดาและมารดาของเขามักจะพูดถึงโจวเสี่ยวหยาอยู่บ่อยๆ พลอยทำให้หวังเป่าเล่อทราบว่าหลายปีมานี้ขณะที่เขาไม่อยู่ ก็มีโจวเสี่ยวหยาคอยมาอยู่เป็นเพื่อน ทำให้บิดามารดาของตัวเองรู้สึกอบอุ่นมาก
เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่เหมือนกับเมื่อก่อนอีกต่อไป เขาทราบดีว่าตนเองไม่สามารถอยู่ในสหพันธรัฐนานๆ ได้อีกแล้ว ดังนั้นความผูกพันทางอารมณ์ใดๆ กับเพื่อนเก่า สุดท้ายคงทำได้เพียงปล่อยให้อีกฝ่ายรอคอยอย่างโดดเดี่ยวต่อไป
เรื่องนี้หวังเป่าเล่อไม่อยากคิดและทำไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นหลังจากเขากลับมาจึงไม่ได้ไปหาโจวเสี่ยวหยา ส่วนอีกฝ่ายแม้จะทราบถึงการกลับมาของเขาก็ไม่ได้เดินทางมาหาเช่นกัน
ระหว่างทั้งสองคนดูเหมือนจะมีระยะห่างที่รู้ดีอยู่แก่ใจ ทำให้นี่กลายเป็นครั้งแรกที่ได้เจอกันหลังจากที่กลับมา
“ต้องอบรมสั่งสอนสักหน่อยจริงๆ นั่นแหละ” โจวเสี่ยวหยาพูดเสียงเรียบโดยไม่มองหวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ เขากระแอมไอหนึ่งครั้งพลางลอบมองโจวเสี่ยวหยา แล้วแอบถอนหายใจเงียบๆ เขารับรู้ถึงความรู้สึกภายในใจของอีกฝ่าย ทว่าเขากลับไม่สามารถพูดสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังรอให้เขาพูดออกมาได้ ดังนั้นหลังจากที่เงียบงันไปคำพูดมากมายก็ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นคำสองพยางค์
“ขอบใจ”
เมื่อได้ยินคำพูดสองพยางค์นี้ โจวเสี่ยวหยาจึงหันกลับมามอง ดวงตาคู่งามจ้องมองหวังเป่าเล่อ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงคลี่ยิ้มออกมาเบาๆ ดวงตาคู่นั้นกลายเป็นเส้นโค้งราวกับพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวเพราะรอยยิ้ม ซ้ำยังเผยให้เห็นถึงความงามของนาง ส่งผลให้มองเห็นความอ่อนโยนในตัวนางชัดเจนมากยิ่งขึ้น หลังจากยกฝ่ามือดุจหยกขึ้นมาช่วยจัดระเบียบเสื้อผ้าให้หวังเป่าเล่อครู่หนึ่ง นางจึงทอดถอนใจข้างหูของเขาด้วยลมหายใจหอมละมุนดุจบุปผาและกระซิบเสียงแผ่วเบาว่า
“เป็นเพราะชาติที่แล้วข้าติดหนี้บุญคุณเจ้าสินะ ชาตินี้เจ้าจึงเข้ามาเล่นกับหัวใจของข้า ตอนที่ข้าเพิ่งจะเข้าสู่สำนักศึกษาเต๋า ซ้ำยังได้ยินเรื่องราวของเจ้าจากปากคนรอบตัวครั้งแล้วครั้งเล่าจนทำให้ข้าลืมเจ้าไม่ได้ ทำให้ข้าไม่อาจปล่อยให้คนอื่นเข้ามาอยู่ในใจของข้าได้อีก ในเมื่อเป็นเช่นนี้…กระต่ายน้อยสีขาวของเจ้า ก็จะขอรอเจ้าต่อไป” ระหว่างที่พูด โจวเสี่ยวหยาจึงเป่าลมข้างหูหวังเป่าเล่อหนึ่งครั้ง นางเดินห่างไกลออกไปจากข้างกายเขาโดยไม่หันกลับมาอีก มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังคงวนเวียนอยู่ที่จมูกของเขาคือความหอมดุจบุปผา สิ่งนี้ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองร่างของโจวเสี่ยวหยาที่เดินหายเข้าไปในกลุ่มผู้คน
ระหว่างที่จ้องมอง รู้ตัวอีกทีพิธีสมรสในครั้งนี้ก็เดินทางมาถึงตอนท้ายแล้ว ในที่สุดหลินเทียนหาวจึงปลีกตัวออกมาหาหวังเป่าเล่อพร้อมกับตู้หมิน ระหว่างมองผู้มาใหม่ทั้งคู่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า หวังเป่าเล่อจึงกดเงาของโจวเสี่ยวหยาที่อัดแน่นเต็มหัวใจให้หายไป หลังจากอวยพรด้วยรอยยิ้มแล้ว หลินเทียนหาวจึงแจ้งเขาว่าคนที่ไม่ได้กลับมาและไม่มีข่าวคราวเพียงคนเดียวภายในภารกิจนกนางแอ่นดำในช่วงแรกคือกงเต๋า
“แสงสว่างแห่งชีวิตที่กงเต๋าเหลือทิ้งไว้ยังไม่ดับสิ้น แต่สีกลับแปรเปลี่ยน…” หลินเทียนหาวอยากพูดอะไรมากกว่านี้อีกสักสองสามประโยค แต่เนื่องจากวันนี้เขาคือตัวหลักของงาน ดังนั้นเพียงไม่นานจึงถูกดึงตัวไป เหลือทิ้งไว้เพียงหวังเป่าเล่อที่ยังคงจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิด
เขาใช้เวลาคิดไตร่ตรองเพียงไม่นาน หลังจากสิ้นสุดงานมงคลสมรส เหล่าผู้คนภายในงานก็จับกลุ่มสามถึงห้าคนพูดคุยกันด้วยรอยยิ้ม ท่ามกลางความครึกครื้นนี้มีผู้คนเข้ามาหาหวังเป่าเล่อไม่ขาดสาย
โชคดีที่บัดนี้ฐานะทางสังคมของเขาช่างสูงส่ง ตำแหน่งของเขาเป็นที่น่ายกย่องไร้จุดสิ้นสุด ดังนั้นผู้ที่เข้ามาพบปะตรงหน้าจึงไม่กล้าเข้ามารบกวนมากเกินไป หลังจากเข้ามาคำนับแล้วจึงกล่าวลาและถอยออกไปอย่างรู้งาน จนมีอดีตเพื่อนเก่าคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าหวังเป่าเล่อ ด้วยสายตาที่มาพร้อมกับความรู้สึกที่ผสมปนเปกันและคร่ำครวญขณะโค้งคำนับอย่างสุดซึ้งให้อีกฝ่าย
“คารวะ…นายท่าน” ผู้มาเยือนคือเจ้านครดาวศุกร์คนปัจจุบัน ต้นไม้ในคราบมนุษย์ที่ฝึกตนบนดวงจันทร์ซึ่งเคยเกี่ยวพันกับความเป่าเล่อมาก่อน ต้นไม้ยักษ์ผู้นี้ไม่รู้ว่าควรเรียกหวังเป่าเล่อว่าอย่างไร ดังนั้นหลังจากลังเลใจ เขาจึงกล่าวว่านายท่านออกมาสองพยางค์
การฝึกตนของเขาได้ก้าวกระโดดในช่วงหลายปีมานี้ เลื่อนจากขั้นจุติวิญญาณชั้นมหาวัฏจักรมามาจนถึงขอบเขตขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่ไม่ว่าจะอยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาลหรืออยู่ที่นี่ในตอนนี้ ความรู้สึกคร่ำครวญและความรู้สึกที่ผสมปนเปกันภายในใจนั้นหนักหน่วงมาก ในขณะเดียวกันก็ไม่กล้าเมินเฉยทางฝั่งหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย ทั้งหมดนี้พูดได้ว่าเป็นความเคารพ
“สหายกุ้ยเต๋าไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้” หวังเป่าเล่อเอ่ยปากพูดด้วยรอยยิ้ม เขาประคองต้นไม้ยักษ์ที่โค้งคำนับตนเองให้ลุกขึ้น เมื่อเห็นความแปรปรวนภายในร่างกายที่ผ่านการฝึกตน ใบหน้าของหวังเป่าเล่อพลันแต่งแต้มรอยยิ้มที่จริงใจ
“หลายปีมานี้ สหายกุ้ยต้าวมีบุญคุณต่อสหพันธรัฐนัก!”
เมื่อต้นไม้ยักษ์ได้ยินคำพูดประโยคนี้ เขารู้สึกได้ว่าเป็นคำพูดที่หนักแน่นเสียยิ่งกว่าคำพูดที่คนอื่นพูดยอมรับเขานับหมื่นครั้ง ร่างกายของเขาเกิดอาการสั่นเทาเล็กน้อย เพราะช่วงหลายปีมานี้ต่อให้เป็นตอนที่เส้นปราณของหลี่ซิงเหวินเข้าขั้นวิกฤต เขาก็ไม่เคยคิดที่จะละเลย ตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้น ซ้ำยังได้รับการยอมรับจากหวังเป่าเล่อ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา
“นายท่านกล่าวเกินจริงแล้ว ที่นี่ก็เป็นบ้านของข้านะ” ต้นไม้ยักษ์สูดหายใจเข้าลึกๆ หลังจากโค้งคำนับอีกครั้ง เขาลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปากพูดแผ่วเบา
“ด้วยการฝึกตนของนายท่าน หากมีเวลาก็ลองออกสำรวจจุดค้นพบที่อยู่บนโลกดูสักหน่อย…บางทีอาจพบกับความลับบางอย่างเกี่ยวกับระบบสุริยะก็เป็นได้”
“หืม?” ดวงตาหวังเป่าเล่อวาวโรจน์ขณะมองไปยังต้นไม้ยักษ์
“นายท่าน ร่างที่แท้จริงของข้าก็คือต้นหอมหมื่นลี้ที่อยู่บนดวงจันทร์ ดำรงอยู่มาเป็นเวลานานแล้ว ในความคิดอันคลุมเครือของข้ามีความทรงจำช่วงหนึ่ง…”
“ข้าไม่ทราบว่าความทรงจำนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่…ดูเหมือนว่าเมื่อนานมาแล้ว ภายในระบบสุริยะมีพลังฝึกตนที่ทรงพลัง และข้า…ก็คือผู้ฝึกตนคนหนึ่งในตอนนั้นที่บ่มเพาะพลังนั้นอยู่บนดวงจันทร์ด้วยตัวเอง”
“แม้ว่าพลังการฝึกตนนั้นจะจากไปนานแล้ว แต่ข้าก็ยังมีความรู้สึกบางอย่างที่คลุมเครือ ดูเหมือนว่าพวกเขา…ยังคงอยู่ในจักรวาลนี้ ตั้งแต่ยุคกำเนิดวิญญาณของสหพันธรัฐเป็นต้นมา การหายตัวไปกลับเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า อาจมีความเกี่ยวข้องเป็นอย่างมากกับพลังการฝึกตนนี้!”
“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะใช้วิธีนี้ เฟ้นหาสานุศิษย์ภายในระบบสุริยะตั้งแต่แรกจวบจนปัจจุบัน!”
“ยกตัวอย่างเช่น…หลินโยว!” ต้นไม้ยักษ์กระซิบพูดแฝงนัยยะ
………………………