หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 996 หลี่หว่านเอ๋อร์!
“อ่อ?” หวังเป่าเล่อสีหน้าดูปกติ ระหว่างฟังคำพูดของต้นไม้ยักษ์ ใบหน้ายังคงเจือด้วยรอยยิ้ม สายตากวาดมองผู้คนไปรอบๆ พยักหน้าอย่างสุภาพให้กับผู้ฝึกตนสองสามคนที่หันมาทำความเคารพเขา แล้วก็พบว่าหลินโยวที่กำลังถูกผู้คนห้อมล้อมอยู่ภายในงานมงคลสมรสมองมายังตนเอง
หวังเป่าเล่อคลี่ยิ้มจางๆ และพยักหน้าให้กับหลินโยวที่อยู่ทางฝั่งนั้นด้วยเช่นกัน เมื่อเทียบกับรูปลักษณ์เดิมของเขา ดูเหมือนว่ารูปลักษณ์ของหลินโยวจะไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเท่าไรนัก หลังจากที่ฝึกตนจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ร่องรอยอายุขัยบนร่างกายจึงบางเบาลง นอกจากพลังลมปราณแล้ว ก็ไม่สามารถตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอกได้ง่ายๆ
เขาพุ่งความสนใจมาที่หวังเป่าเล่อตั้งแต่ต้น จวบจนได้รับความสนใจผ่านสายตาของหวังเป่าเล่อในตอนนี้ สีหน้าของหลินโยวพลันเคร่งขรึม เขาโค้งคำนับให้หวังเป่าเล่อท่ามกลางฝูงชน หลังจากยืดตัวขึ้นดวงตาของเขาพลันฉายแววความลังเล ทว่าเพียงไม่นานความลังเลนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความแน่วแน่ ก่อนตัดสินใจเดินตรงมาทางฝั่งหวังเป่าเล่อ
ยามเห็นหลินโยวที่ตนเองเพิ่งกล่าวถึงเมื่อครู่เดินตรงเข้ามา สีหน้าของต้นไม้ยักษ์ไม่ได้เผยความผิดปกติออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย เขายังคงแสดงท่าทีเคารพเช่นเดิม เพียงแต่เปลี่ยนคำพูดเป็นการรายงานงานของดาวอังคารช่วงหลายปีที่ผ่านมาของตนเอง น้ำเสียงไม่ได้ดังเท่าไรนัก ทว่าก็มากพอที่จะทำให้หลินโยวที่เดินเข้ามาได้ยินบางส่วน เมื่อหลินโยวเดินเข้ามาใกล้และมีเสียงหัวเราะดังออกมา ต้นไม้ยักษ์จึงหันไปคารวะหลินโยวด้วยรอยยิ้ม
“สหายกุ้ยต้าว หลินโหม่วไม่ได้รบกวนพวกเจ้าใช่ไหม ข้าขอเวลาของเป่าเล่อสักประเดี๋ยวได้หรือไม่?” หลินโยวพูดหยอกเย้า เคล้าแววตาที่พกพาความปรารถนาดีมาด้วย
“ผู้นำหลินพูดเป็นเล่นไปได้ ข้าน้อยรายงานจบแล้ว คงไม่กล้ารบกวนต่อแล้วขอรับ” สีหน้าของต้นไม้ยักษ์ยังคงดูเรียบนิ่ง พร้อมแย้มยิ้มก่อนทำการคารวะอีกครั้ง จากนั้นจึงขอปลีกตัวไปอย่างนอบน้อม
หลังจากมองดูต้นไม้ยักษ์จากไป สายตาของหลินโยวจึงกวาดมองอย่างลวกๆ ตอนที่หันกลับมามองหวังเป่าเล่อ สีหน้าที่เผยออกมาแฝงความโหยหาและอาวรณ์ ต่อให้ไม่ได้เอ่ยปากพูดกับหวังเป่าเล่อในทันที ทว่าสีหน้าเช่นนี้ก็ได้แสดงออกถึงสิ่งที่อยากจะพูดได้อย่างชัดเจนแล้ว
แม้ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่สีหน้าก็ทำให้เข้าใจได้ไม่ยาก ด้วยเหตุนี้ ท่ามกลางผู้อาวุโสชั้นสูงของสหพันธรัฐ หวังเป่าเล่อได้เห็นความสามารถในการยึดเหนี่ยวเช่นนี้จากต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวินเท่านั้น
“หลายปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว…” หลินโยวทอดถอนใจเบาๆ ก่อนสีหน้าของเขาจะกลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว โค้งคำนับต่อหน้าหวังเป่าเล่อ
“หลินโยว ศิษย์ในนามสำนักดาราจันทร์ ขอคารวะศิษย์พี่!”
หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขามองหลินโยวด้วยสีหน้าจะยิ้มก็ไม่ใช่จะบึ้งตึงก็ไม่เชิง แล้วถามออกไปหนึ่งประโยค
“สำนักดาราจันทร์? สหพันธรัฐของข้ามีสำนักนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ สหายหลินต้าวนี่มันหมายความว่าอะไรกัน?”
“เป่าเล่อเจ้าหยุดล้อข้าเล่นได้แล้ว” หลินโยวยิ้มอย่างขมขื่นขณะคารวะอีกครั้ง
“เป่าเล่อ ข้าไม่รู้หรอกนะว่าสหายกุ้ยต้าวพูดอะไรกับเจ้า แต่เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดโดยไม่จำเป็น คงต้องอธิบายเพื่อตัวข้าเองสักหน่อย”
“ตอนนั้นที่ข้าหายเข้าไปในซากปรักหักพังแห่งหนึ่งบนโลก และกลับมาในอีกหลายปีต่อมา แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ระหว่างที่หายตัวไปจะแจ้งกับสหพันธรัฐให้ลงบันทึกไว้แล้ว แต่ยังมีความลับบางอย่างที่ข้าไม่เคยปริปาก…” หลินโยวเคร่งขรึมไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นจึงกระซิบขึ้นว่า
“สถานที่ที่ข้าหายตัวไปมีชื่อว่าสำนักดาราจันทร์ สำนักนี้น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับโลกโบราณ ดังนั้นข้าจึงไม่ใช่คนแรก หรือคนสุดท้ายที่ถูกเคลื่อนย้ายไปที่นั่น หลังจากที่ข้าถูกเฝ้าติดตามดูอย่างต่อเนื่อง จึงได้เป็นศิษย์ในนาม ได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชา…ท้ายที่สุดจึงถูกเคลื่อนย้ายกลับมาพร้อมกับภารกิจ”
“ภารกิจอะไร?” หวังเป่าเล่อหรี่ตาเอ่ยถามช้า ๆ
“บันทึกวิวัฒนาการของโลกตั้งแต่ยุคกำเนิดวิญญาณ การมีส่วนร่วมของมัน เมื่อมีอันตรายที่จะกระทบถึงความเป็นความตายของทั้งสหพันธรัฐ จึงส่งข้า ที่เรียกได้ว่าเป็นพันธุ์กล้าคนนี้เข้าไปในจุดค้นพบ” นัยน์ตาซื่อตรงของหลินโยวไร้ซึ่งการเก็บซ่อนความจริง
“ข้าไม่รู้ว่าวัตถุประสงค์ของสำนักดาราจันทร์คืออะไร แต่ก็พอจะทราบมาบ้าง สหพันธรัฐคือบ้านเกิดของข้า ดังนั้นหลังจากกลับมาข้าจึงไม่ได้ส่งใครไปอีก แถมยังรายงานความคืบหน้าตลอด ทำให้เรื่องการหายไปของจุดค้นพบในช่วงหลายปีมานี้ค่อยๆ ทุเลาลง”
“แต่ว่า…เป่าเล่อ ถ้าหากสหพันธรัฐเกิดวิกฤติความเป็นความตายจนไม่อาจย้อนกลับมาได้จริงๆ สุดท้ายข้าอาจจะต้องไปทำภารกิจนั้น เพื่อทิ้งชนวนไว้ให้สหพันธรัฐของข้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
“เหตุผลที่บอกในตอนนี้ก็เป็นเพราะหลินโยวผู้นี้ ไม่อยากละอายใจในภายหลัง!” พูดจบ หลินโยวจึงโค้งคำนับให้หวังเป่าเล่ออีกครั้ง เขาเงยหน้าขึ้นโดยไม่หลบตาหวังเป่าเล่อ เพื่อให้อีกฝ่ายเห็นความจริงใจตนเอง
หลังจ้องมองหลินโยวเป็นเวลานาน หวังเป่าเล่อจึงพยักหน้าช้าๆ พร้อมแววตาฉายแววครุ่นคิด พลันเอ่ยถามออกมาประโยคหนึ่ง
“เจ้าลองพูดถึงสำนักดาราจันทร์นี้มาซิ”
“ข้าไม่ทราบว่าสำนักดาราจันทร์อยู่ที่ไหน และไม่ทราบว่ามีพลังมากมายเพียงใด แต่ข้าทราบว่า… ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์แบบเจ้าน่ะ คงจะมีแบบนี้ไม่ต่ำกว่าร้อยเชียว”
“ส่วนดารานิรันดร์…เพียงแค่ข้าแหงนหน้ามองจากสำนักดาราจันทร์ก็สามารถมองเห็นได้ว่ามีจักรพิภพคงอยู่อีกหลายสิบแห่ง! ในขณะเดียวกันสำนักนี้จะต้องมีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับโลกโบราณเป็นแน่ ซ้ำยังเป็นไปได้ว่าคนโบราณที่เคยอยู่บนโลกจะย้ายออกไปแล้ว นอกจากนี้…ข้าก็เคยเห็นต้นไม้บนดวงจันทร์ที่เหมือนกับร่างสหายกุ้ยต้าวอยู่ภายในสำนักดาราจันทร์มาไม่น้อย…” เมื่อความทรงจำผุดขึ้นในใจของหลินโยว เขายิ่งใจสั่นมากขึ้น พอพูดจนถึงตรงนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงเอ่ยปากอีกครั้ง
“จริงด้วย ภายในสำนักดาราจันทร์นี้ ทุกคนที่ระดับการฝึกตนถึงขั้นหนึ่งล้วนสวมใส่หน้ากาก…รูปทรงของหน้ากากก็แตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่ไม่เหมือนกันเลย”
“หน้ากาก?” หวังเป่าเล่อผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนจมอยู่ในห้วงความคิด หลินโยวโล่งใจที่ได้เล่าทุกอย่างจนหมดเปลือก เขาไม่ได้พูดโกหก เพราะไม่อยากให้หวังเป่าเล่อเข้าใจผิด และยิ่งไม่เต็มใจให้อีกฝ่ายกลายเป็นศัตรูเพราะเรื่องนี้
ที่นี่คือบ้านเกิดของเขา ทุกอย่างที่เขามีล้วนอยู่ในสหพันธรัฐ ตอนนี้ลูกชายเขาแต่งงานเสียใหญ่โต ยิ่งทำให้เขาผูกพันกับที่นี่อย่างลึกซึ้ง ดังนั้นก่อนหน้านี้เมื่อเห็นต้นไม้ยักษ์พูดคุยกับหวังเป่าเล่อ แม้ว่าเขาจะไม่ทราบรายละเอียด แต่เพราะสัญชาตญาณบางอย่าง หลังจากมัวลังเลเขาจึงตัดสินใจเปิดเผยความลับทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ก้นบึ้งของหัวใจออกมา เขาเชื่อว่าด้วยจิตใจและประสบการณ์ของหวังเป่าเล่อ ย่อมมองออกว่าสิ่งที่เขาพูดคือเรื่องจริง
หลังจากเล่าจบ หลินโยวก็รู้สึกโล่งอกอย่างมาก เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อกำลังครุ่นคิด เขาจึงไม่ขอรบกวนต่อไป เขาทำการคารวะและถอยจากไป
มีคนมากมายที่เห็นว่าหวังเป่าเล่อกำลังครุ่นคิดอยู่ อย่างไรก็ตามผู้ที่มาร่วมงานมงคลสมรสส่วนใหญ่คือเจ้าพนักงานระดับสูงของสหพันธรัฐที่มองออกถึงความเหมาะสม ดังนั้นในเวลานี้จึงไม่มีใครเข้ามารบกวนการใช้ความคิดของหวังเป่าเล่อ
และมันก็เป็นเช่นนี้ หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป หวังเป่าเล่อจึงพึมพำเสียงเบา
“ดูเหมือนว่าข้าจะมองข้ามไปเรื่องหนึ่ง…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง หลังจากใช้ความคิดตอนที่ได้ยินคำว่าหน้ากาก หญิงสวมหน้ากากที่อยู่ในสุสานดวงดาราผู้นั้นพลันโผล่มาในความคิดของเขา!
ร่างนั้นไม่เคยเลือนหายไป หลังจากได้ฝังลึกอยู่ในใจของเขา สุดท้ายก็ได้แต่จับจ้องหน้ากากของแม่นางผู้งดงามในความทรงจำ ดวงตาของอีกฝ่ายที่อยู่หน้ากากในความคิดพลันกระจ่างชัดขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากครุ่นคิด ท้ายที่สุดหวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นเอาแผ่นหยกที่สามารถติดต่อกับปรมาจารย์แห่งไฟได้ออกมา ก่อนส่งเสียงเรียกด้วยความเคารพ
“ท่านอาจารย์อยู่หรือไม่? เหล่าผู้อาวุโสที่นั่น มีรายชื่อทั้งหมดของผู้ที่ได้เลื่อนขั้นเป็นระดับดาวพระเคราะห์ของตระกูลไม่รู้สิ้น ก่อนที่จะถูกส่งไปยังสุสานดวงดาราบ้างหรือเปล่า?”
รายชื่อนี้ หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะมองเห็น เฉพาะผู้มีคุณสมบัติบางอย่างในเขตตระกูลไร้สิ้นสุดเท่านั้นที่จะได้รับมัน และในสุสานดวงดารา เขาสามารถมองเห็นได้แค่ตัวเอง ไม่มีทางมองเห็นสิ่งอื่น ทว่าเขาไม่ได้ใส่ใจกับมันมากนัก แต่ ณ เวลานี้ ด้วยความสงสัยประกอบกับร่างของหญิงสวมหน้ากากในความคิดของเขา หวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจตรวจสอบรายชื่อทั้งหมด
หลังจากนั้นไม่นาน ปรมาจารย์แห่งไฟที่ได้รับเสียงที่ส่งไปของหวังเป่าเล่อ ก็ได้ส่งรายชื่อพร้อมกับมาให้คำตอบกับหวังเป่าเล่อโดยตรง
“ศิษย์เอก ข้าได้จัดเตรียมคนไปรับเจ้าแล้ว รอธุระของเจ้าเสร็จสิ้น ข้าจะไปรอเจ้าที่ดาราจักรไฟ!”
“น้อมรับขอรับท่านอาจารย์!” หวังเป่าเล่อตอบกลับด้วยความเคารพ ก่อนจะเปิดรายชื่อทั้งหมดที่ได้มาจากปรมาจารย์แห่งไฟทันที หลังจากกวาดตามอง ลมหายใจเขาพลันสะดุด พร้อมกับดวงตาที่หรี่ลงในยามที่จ้องมองรายชื่อข้างใน!
หลี่หว่านเอ๋อร์ สำนักดาราจันทร์!
“หลี่หว่านเอ๋อร์…เป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า?” ในความคิดของหวังเป่าเล่อ หลังจากที่ร่างของหลี่หว่านเอ๋อร์ซ้อนทับกับหญิงสวมหน้ากากอยู่ชั่วครู่ ความร้อนรนพลันพรั่งพรูขึ้นในใจของเขา ดังนั้นเขาจึงส่งสัญญาณไปยังหลินเทียนหาวที่กำลังดื่มอวยพรกับตู้หมิน แล้วรีบออกจากโถงจัดงานแต่ง หลังจากที่เดินออกจากห้องโถง เขาก็ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับหายตัวไปทันที
เมื่อโผล่มาอีกที เขาไม่ได้อยู่บนดาวอังคารอีกต่อไป แต่กำลังทะยานอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว หลังจากร่อนลงสู่พื้นโลกในเวลาต่อมา ก็มาโผล่ที่…นอกบ้านพักของหัวหน้าเสนาบดี!
หวังเป่าเล่อสูดหายใจเขาลึกๆ ขณะที่ยืนคารวะอยู่ภายนอกบ้านพักแห่งนี้
“ศิษย์น้องหวังเป่าเล่อ ขอพบท่านลุงหลี่ขอรับ!”
แม้ว่าระดับการฝึกตนของเสนาบดีจะเหลือเพียงคนธรรมดา ทว่าการอุทิศตนของเขาต่อสหพันธรัฐ โดยเฉพาะสถานะบิดาของหลี่หว่านเอ๋อร์นั้น ทำให้หวังเป่าเล่อที่อยู่ตรงหน้าเขา จำเป็นต้องทำตามมารยาทของรุ่นน้อง!
……………………………