หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา - บทที่ 997 ปิดผนึกจุดค้นพบ!
การมาเยือนในคราวนี้ใช้เวลาเพียงไม่นาน ในที่สุดหวังเป่าเล่อจึงเดินทางออกจากบ้านพักของหัวหน้าเสนาบดีโดยมีหัวหน้าเสนาบดีเดินออกมาส่งด้วยตนเอง เวลานี้ด้านนอกเป็นช่วงกลางดึกแล้ว ขณะแหงนหน้ามองดวงจันทร์สว่างกระจ่างกลางท้องนภาก็รู้สึกได้ถึงลมอ่อนๆ พัดมากระทบใบหน้า หวังเป่าเล่อย่ำก้าวบนท้องถนนด้วยอารมณ์ความรู้สึกซับซ้อนที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้า
ไม่ได้มีแค่เขาเพียงคนเดียวบนท้องถนน เพราะยังสามารถมองเห็นคนสองสามคนที่เดินผ่านหน้าเขาไป ทว่าทุกคนที่ผ่านไปดูเหมือนจะไม่เห็นหวังเป่าเล่ออยู่ในสายตาพวกเขาเลย นี่ทำให้เขามาที่นี่อย่างกะทันหัน ในขณะเดียวกันมันก็คลุมเครือเหมือนกับความรู้สึกของเขาที่กำลังดำดิ่ง
เขาคิดถึงเจ้าเยี่ยเหมิง เขาคิดถึงโจวเสี่ยวหยา
เขาได้ทราบเรื่องการหายตัวไปของหลี่หว่านเอ๋อร์จากหัวหน้าเสนาบดีแล้ว เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุบางอย่างทำให้ท้ายที่สุดอีกฝ่ายจึงไม่ได้เข้าร่วมภารกิจนกนางแอ่นดำ เรื่องนี้ทำให้หลี่หว่านเอ๋อร์กล่าวโทษตนเองและรู้สึกไม่เต็มใจอย่างยิ่งยวด ด้วยเหตุนี้…นางจึงสามารถเข้าถึงความลับบางอย่างของสหพันธรัฐได้ และเดินทางไปยังจุดค้นพบบางอย่างที่อยู่บนดาวโลก
ในที่สุดนางจึงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากที่ทราบเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ หวังเป่าเล่อก็ย้อนนึกถึงฉากแต่ละฉากของสุสานดวงดารา จึงได้รับหลักฐานเพิ่มเติมในการคาดเดาของตนเองมากขึ้น เงาหญิงสวมหน้ากากที่ฝังลึกอยู่ภายในใจ ได้ซ้อนทับกับร่างกายของหลี่หว่านเอ๋อร์ที่เขาคุ้นเคยอย่างสมบูรณ์
“ทำไมเจ้าไม่บอกข้า? เป็นเพราะมีอะไรที่พูดไม่ได้หรือเป็นเพราะไม่เต็มใจจะพูดกันแน่?” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า ข่มความรู้สึกที่อยู่ภายในส่วนลึกของจิตใจ เขารู้สึกได้ว่าไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร อนาคตข้างหน้าในจักรวาลนี้พวกเขาย่อมได้เจอกันอีกแน่นอน หลังจากที่หวังเป่าเล่อครุ่นคิดมาก่อนแล้ว เพื่อให้หัวหน้าเสนาบดีสบายใจ เขาจึงบอกเรื่องเกี่ยวกับหลี่หว่านเอ๋อร์ให้กับอีกฝ่าย
ในเวลาเดียวกันหวังเป่าเล่อก็ได้ทราบจากหัวหน้าเสนาบดีว่าภายในภารกิจนกนางแอ่นดำ ไม่ได้มีแค่กงเต๋าที่ไม่ได้กลับมา ทว่ายังมีหลี่อู๋เฉินที่ยังไม่กลับมาจนถึงวันนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม เหมือนกับไฟแห่งชีวิตของกงเต๋ายังไม่มอดดับ ดังนั้นจึงทึกทักได้ง่ายๆ ว่าคงไม่ได้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะอาลัยอาวรณ์ แต่เขารู้ว่าตั้งแต่เขาก้าวเท้าลงบนเส้นทางแห่งการฝึกตน ก็ทำได้เพียงอวยพรให้ทุกคนโชคดี
“ส่วนจุดค้นพบเหล่านั้น…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เรื่องนี้มีอันตรายซ่อนอยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักดาราจันทร์และโลกไม่มีความแน่นอน แต่ไม่ว่าอย่างไรฝ่ายตรงข้ามก็ทรงพลัง เมื่อเทียบกับสหพันธรัฐในปัจจุบันก็ยังอ่อนแอเกินกว่าจะหาสิ่งใดมาเทียบ ส่งผลให้ความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันเป็นอย่างมาก
ด้วยความเหลี่ยมล้ำเช่นนี้ส่งผลให้สหพันธรัฐไม่มีข้อได้เปรียบแต่อย่างใด
“หากเป็นเช่นนี้…ปิดผนึกจุดค้นพบเหล่านั้นน่าจะดีกว่า!” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อทอแสงวาววับ ก่อนจะหลับตาลงอย่างช้าๆ ดวงจิตจึงแผ่ขยายออกไปปกคลุมทั่วทั้งโลกเพื่อเสาะหาจุดค้นพบทั้งหมด
ด้วยการแผ่ขยายของดวงจิต ทุกสรรพสิ่งบนโลกพลันกระจ่างชัดภายในจิตใจของเขาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เขามองเห็นแสงไฟนับหมื่นดาษดื่นตามบ้านที่มาจากเมืองต่างๆ รวมทั้งความทุกข์ความสุขของการอยู่ร่วมกันจนลาจากที่เกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตนานาพันธุ์ในเวลานี้
ภาพของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในช่วงเวลาหนึ่งแสดงถึงชีวิตที่แตกต่างกัน ทำให้หวังเป่าเล่อได้ดื่มด่ำล้ำลึกไปกับความรู้สึกที่กำลังสั่นไหวอยู่ภายในใจของเขา ต่อมาเขามองเห็นดินแดนรกร้างไร้ที่สิ้นสุด นั่นเคยเป็นแหล่งรวมตัวของอสูรร้าย ทว่าตอนนี้เขากลับมองว่าไม่ได้มีอสูรร้ายมากมายเท่าไรนัก
แม้ว่าจะมีอยู่บ้าง แต่เพราะอยู่ภายใต้การปราบปรามในช่วงระยะเวลาหลายปีมานี้ มันค่อยๆ เปลี่ยนนิสัย กลายเป็นสิ่งที่ไม่เป็นอันตราย เพราะมีแค่วิธีนี้เท่านั้นพวกมันจึงจะอยู่รอดต่อไปได้
นอกจากนี้หวังเป่าเล่อยังมองเห็นท้องทะเลอันกว้างใหญ่และก้นทะเลอันลึกลับ ขณะที่มองพื้นที่กว้างไกลทอดยาวสุดสายตา สัตว์ทะเลขนาดมหึมาที่อยู่ก้นทะเลเหล่านั้นต่างพากันสั่นสะท้าน ในยามที่ดวงจิตของหวังเป่าเล่อกวาดมองไปรอบๆ
“ไม่มีความลับอะไรเลย” หวังเป่าเล่อบ่นพึมพำ ขณะที่เห็นปราณวิญญาณค่อยๆ แพร่พันธุ์ไปทั่วโลก
ปราณวิญญาณเหล่านี้แม้ว่าจะอ่อนแอ ทว่ากลับกระจายออกไปอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ยุคกำเนิดวิญญาณจวบจนตอนนี้ ปราณวิญญาณของโลกไม่ได้มาจากเศษชิ้นส่วนของกระบี่สำริดโบราณไปเสียทั้งหมด แต่ค่อยๆ หลอมรวมตัวเองไปตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมที่มันอยู่อย่างต่อเนื่อง
เป็นไปได้ว่าต่อให้ไม่มีการช่วยเหลือจากปัจจัยภายนอก เกรงว่าอีกหลายหมื่นปีต่อมา สภาพแวดล้อมของโลกก็คงจะมีปราณวิญญาณเพิ่มมากขึ้น
ครั้นกวาดตามองทุกสรรพสิ่งเหล่านี้ ในที่สุดพื้นที่หวงห้ามเก้าจุดก็ลอยขึ้นมาอยู่ในใจของหวังเป่าเล่อ
นั่นคือจุดค้นพบทั้งเก้าแห่ง!
จุดค้นพบทั้งเก้าแห่งนี้กระจัดกระจายอยู่บนโลก ระยะห่างระหว่างกันดูเหมือนจะไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว ทว่าในความรู้สึกโดยรวมของหวังเป่าเล่อ เขากลับมองเห็นร่องรอยของวงแหวนปราณต้องห้ามได้เลือนราง
มีเฉพาะสามแห่งอยู่ด้านในนั้น…หวังเป่าเล่อไม่เคยเห็นบันทึกแต่อย่างใด ในบันทึกลับของสหพันธรัฐ ซึ่งหมายความว่าจุดค้นพบทั้งสามแห่งนี้…สหพันธรัฐไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน!
ตำแหน่งของพวกมันทั้งหมด อยู่ใต้ท้องทะเลลึก
ในเวลาเดียวกันจากการฝึกตนของหวังเป่าเล่อมาจนถึงตอนนี้ เขาไม่เห็นถึงความเคลื่อนไหวพิเศษเลยสักนิด ในจุดค้นพบทั้งเก้าแห่งนี้ ทุกสรรพสิ่งดูเหมือนจะไม่ได้ต่างอะไรจากซากปรักหักพังเลย
ทว่านี่ดูเหมือนจะไม่ใช่ร่องรอยของความผิดปกติแม้แต่น้อย ตั้งแต่ยุคกำเนิดวิญญาณเป็นต้นมา กลับมีเรื่องผู้บุกรุกหายสาบสูญมากเกินไป
“สำนักดาราจันทร์…แท้จริงแล้วเป็นศัตรูหรือมิตรกันแน่?” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง พลางก้าวเท้าไปด้านหน้า ก่อนจะหายตัวกลางถนน จนมาโผล่ที่ด้านนอกจุดค้นพบที่หนึ่ง!
จุดค้นพบแห่งนี้ฝังลึกอยู่ใต้ดิน ด้านบนเป็นเทือกเขาทั้งผืนซึ่งเป็นสถานที่ที่อสูรร้ายเคยมารวมตัวกัน ตอนที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัว สิ่งที่เห็นได้ชัดคือแผ่นดินรกร้าง แม้ว่ายอดเขาจะเป็นสีเขียวชอุ่ม แต่ก็ยากที่จะปิดบังลมปราณแห่งความตายที่แผ่ซ่านภายในสถานที่แห่งนี้
เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว ที่นี่เคยเป็นสถานที่ทำสงครามระหว่างอสูรร้ายและผู้ฝึกตน ทางเข้าสู่จุดค้นพบแห่งนั้นเป็นลำธารภูเขา แม้ว่าจะถล่มลงมาเกือบหมด แต่มันก็ยังสามารถผ่านได้ บริเวณทางเข้ายังคงมีพลังแห่งวงแหวนปราณ เพียงแค่มองด้วยตาเปล่า หวังเป่าเล่อก็แยกแยะได้ในทันทีว่าวงแหวนปราณนี้มาจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ บนนั้นมีไอหมอกที่หนาทึบปกคลุมอยู่เหนือสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์
“ผู้อาวุโสสูงสุดผนึกไว้ตั้งแต่แรกแล้วหรือ…” ร่างของหวังเป่าเล่อแกว่งวูบหนึ่ง เขาก้าวเข้าสู่ลำธารภูเขาโดยไม่สนใจวงแหวนปราณ พุ่งทะยานมาจนถึงด้านในสุดของจุดค้นพบนี้ ที่แห่งนี้ว่างเปล่า เฉพาะบนพื้นดินที่อยู่ด้านในสุดเท่านั้นที่ปรากฎร่องรอยของวงแหวนปราณโบราณที่ถูกทำลายไปอย่างเห็นได้ชัด
วงแหวนปราณนี้น่าจะมีอายุยาวนานมากแล้ว สลักที่อยู่บนพื้นเกิดการผุกร่อนไปบางส่วน ในฐานะที่หวังเป่าเล่อเป็นผู้ฝึกตน แค่มองปราดเดียวก็ดูออกว่าประโยชน์ของวงแหวนนี้ใช้เพื่อเคลื่อนย้าย และขอบเขตยังใหญ่พอที่จะครอบคลุมจุดค้นพบทั้งหมด จนถึงตอนนี้แม้จะดูเหมือนถูกทำลายไปจนหมดสิ้น แต่แท้จริงแล้วยังคงเหลือพลังอยู่ เพียงแค่ลดขอบเขตลงก็เท่านั้น
หลังจากจ้องมองวงแหวนนี้และจดจำโครงสร้างของมันได้อย่างแม่นยำแล้ว ดวงตาของหวังเป่าทอแสงวาบ พร้อมกันนั้นภาพมายาเก้าดาวเคราะห์บรรพกาลที่อยู่ด้านหลังเปลี่ยนเป็นดาวเคราะห์เต๋า มือข้างขวาจึงยกขึ้นและกดไปยังวงแหวนปราณเบาๆ
เมื่อกดลงไปครั้งหนึ่ง พื้นดินก็สั่นสะเทือนขึ้นอย่างฉับพลัน วงแหวนปราณเกิดรอยแตกขึ้นเส้นแล้วเส้นเล่าขณะที่เกิดการสั่นสะเทือน รอยแตกเหล่านี้เกิดขึ้นมาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดจึงเกิดเสียงดังดั่งสายฟ้าฟาด วงแหวนปราณถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วนราวกับมีฝ่ามือขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นฉีกออกจากกัน
ปราณวิญญาณจำนวนมหาศาลที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าได้เคลื่อนออกจากจุดที่แตกกระจายแผ่ออกไปทั่วทั้งสี่ทิศ หลังจากแผ่คลุมทั่วทุกสารทิศ มันจึงหลอมรวมเข้ากับสวรรค์และพื้นพิภพ
ณ จุดนี้พลังของวงแหวนปราณนี้เป็นอันถูกกำจัดออกไปอย่างสมบูรณ์!
การตรวจสอบที่นี่เกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากมั่นใจว่าไม่มีอะไรตกหล่น หวังเป่าเล่อจึงหมุนตัวย้ายไปยังจุดที่สอง ที่สาม จนถึงจุดที่หก!
จุดค้นพบแหล่งที่ห้าที่อยู่ด้านหลัง กระจายอยู่บนพื้นที่ต่างๆ ของโลก มีทั้งที่อยู่ในแม่น้ำ บางจุดอยู่ใต้ดินลึก และมีที่อยู่ในป่าฝนยุคดึกดำบรรพ์ ลักษณะของพวกมันแตกต่างกันออกไป จุดที่อยู่ภายในแม่น้ำดูไม่ใหญ่เท่าไรนัก ทว่าแท้จริงแล้วมีคาถาเวทที่ดูสง่าดุจดั่งวัวหินที่อยู่ในโลกเทพนิยายเล็กๆ
จุดที่อยู่ใต้ดินลึกเป็นเมืองใต้ดิน ส่วนที่อยู่ในป่าฝนยุคดึกดำบรรพ์เป็นแท่นสังเวยที่มีไว้สังเวยเทพเจ้าที่ไม่รู้จัก
จุดค้นพบเหล่านี้ล้วนอยู่ในบันทึกของสหพันธรัฐโดยไม่ได้รับการละเว้น ดังนั้นจึงมีร่องรอยของการถูกปิดผนึก แต่จากการมองเห็นของหวังเป่าเล่อ ผนึกเหล่านี้ยังไม่สมบูรณ์ เมื่อเขาผ่านไปจึงฉีกวงแหวนปราณทั้งหมดที่อยู่ด้านในจุดค้นพบทั้งห้าแห่งนี้
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเสียดายก็คือจุดค้นพบทั้งห้าแห่งนี้ดูเหมือนจะลึกลับ แต่ด้านในกลับไม่พบร่องรอยอะไรเลย ราวกับทุกอย่างได้พังทลายลงเองตอนที่จุดค้นพบเคยถูกเปิดออก
ท้ายที่สุดหวังเป่าเล่อมุ่งเน้นไปที่ใต้ท้องทะเลลึก ทั้งสามแห่งนั้นไม่มีการจดบันทึกโดยสหพันธรัฐ ยิ่งไปกว่านั้นสถานที่ตั้งของจุดค้นพบไม่เคยถูกมนุษย์คนใดล่วงรู้มาก่อน!
พวกมันถูกแบ่งออกเป็น…ร่างของซากวาฬขนาดยักษ์ที่มีลำตัวขนาดหลายหมื่นฟุต ศพครึ่งหนึ่งถูกฝังอยู่ในโคลนใต้พื้นทะเล ส่วนที่โผล่มาด้านนอก คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย ส่งผลให้พื้นที่ทะเลโดยรอบมืดมน
มีอีกแห่งหนึ่งที่ปกคลุมไปด้วยสาหร่ายทะเล ดูเหมือนจะเป็นวิหารที่ทรุดโทรมภายใต้พลังอันยิ่งใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงที่อุบัติขึ้น!
ด้านหน้าวิหารมีรูปปั้นของผู้ฝึกตนคนหนึ่ง ใบหน้าดูเลือนลาง แต่กระบี่หินที่อยู่ด้านหลังกลับแผ่ซ่านพลังปราณอันแสนดุร้ายออกมา ทำให้สัตว์ทะเลทั้งหมดที่เข้ามาใกล้กองกันเป็นกระดูกผุพังรายรอบเป็นวงกลม
ที่สุดท้ายคือภูเขาลูกหนึ่ง!
ด้านล่างของภูเขามีประตูหิน บนประตูสลักด้วยอักขระ อักขระนี้ควบคุมด้วยพลังที่ไม่ธรรมดา ทำให้ผู้ฝึกตนที่มองเห็นมัน พลันปรากฏความหมายของอักขระลอยขึ้นมาในใจ
ความหมายของอักขระนั้นคือ…
ทะเลมหานคร!
…………………………