หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 253
ตอนที่ 253 – รู้แต่แรกแล้ว
“ซือฟุ!” โม่เทียนเกออดร้องออกมาไม่ได้ พลังวิญญาณของนางก็เสียการควบคุมไปแล้ว
ประมุขเต๋าจิ้งเหอสีหน้าเคร่งขรึม เอามือกดลงบนจุดเทียนหลิงของโม่เทียนเกอ ตะโกนว่า “อย่ากังวล ค่อย ๆ ควบคุมพลังวิญญาณของเจ้า!”
พลังอันกล้าแข็งกดดันพลังวิญญาณที่เกือบจะเสียการควบคุมทั้งร่างของโม่เทียนเกอ มีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่นั่งคุม โม่เทียนเกอในที่สุดก็ตั้งสติได้ ยึดสิทธิ์ควบคุมกลับมาใหม่อีกครั้ง
พลังวิญญาณในร่างฉินซีขณะนี้พุ่งชนไปทั่ว ชนจนในร่างของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล โม่เทียนเกอแบ่งพลังวิญญาณเข้าไปก็ไม่ได้ดีขึ้น ระดับการฝึกตนของนางแย่กว่ามาก พลังวิญญาณพอเข้าร่างกายของเขาก็จะถูกชิงสิทธิ์การควบคุมไป มิอาจชักนำพลังวิญญาณของฉินซีได้เลย มีประมุขเต๋าจิ้งเหอหนุนหลังก็เพียงแค่ทำให้นางควบคุมพลังวิญญาณของตนเองได้อย่างเต็มกลืน
แต่ว่า พลังดึงดูดซึ่งกันและกันของสองพลังวิญญาณหยินหยางกลับทำให้นางมิอาจต้านทาน พลังวิญญาณสองประเภทผสมผสานเข้าด้วยกัน ทั้งดูดกลืนพลังวิญญาณของนาง แล้วก็ชักนำพลังวิญญาณของเขา อย่างช้า ๆ ชีพจรปราณของทั้งสองคนเชื่อมต่อกัน กลายเป็นวงจรใหญ่หนึ่งวงจร
มาถึงตอนนี้ โม่เทียนเกอไม่ต้องชักนำอะไรอีกแล้ว พลังวิญญาณของพวกเขาสองคนผสมผสานกันเองโดยอัตโนมัติ ค่อย ๆ ก่อเป็นรูปแบบบางอย่าง พลังวิญญาณของเขาค่อย ๆ กลับคืนจากทั่วร่างแล้วมารวมตัวที่ชีพจรปราณ เชื่อมโยงกับของนาง ค่อย ๆ กลืนกินพลังวิญญาณคุณสมบัติหยินของนางไปทั้งหมด
…………………………..
ตอนที่โม่เทียนเกอฟืนคืนสติแยกแยะไม่ค่อยออกว่าตนเองอยู่ที่ไหน นึกอยากจะลุกขึ้นก็รู้สึกเพียงว่าสายตาเบลอไป
“ท่านป้า!”
ภาพเบื้องหน้าค่อย ๆ ชัดเจน นางฝืนยิ้มขึ้นมา “เจินจี?”
เยี่ยเจินจีจ้องมองนาง อยากพูดแต่ชะงัก สุดท้ายเพียงเอ่ยว่า “ท่านป้า ซือจู่ (อาจารย์ปู่)บอกว่า พลังวิญญาณของท่านแห้งเหือด อย่าเพิ่งรีบร้อนเคลื่อนไหว ค่อย ๆ ฝึกตนหลาย ๆ วันให้พลังวิญญาณฟื้นฟูแล้วค่อยว่ากัน”
“เช่นนั้นหรือ” นางนวดคิ้ว แล้วจู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้ “ซือฟุเจ้าสถานการณ์เป็นอย่างไร”
“ซือฟุ……” เขาส่ายหน้า “สถานการณ์ซับซ้อนกว่า รายละเอียดท่านป้าไปถามซือจู่เถอะ แต่ไม่เป็นอะไร เพียงแค่ในระยะเวลาสั้น ๆ จะไม่ตื่นเท่านั้น”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” นางคิด ๆ ดูแล้วถามว่า “ข้าสลบไปนานแค่ไหน”
“สองชั่วยาม” เยี่ยเจินจีบอก “ท่านป้าพักผ่อนอีกหน่อยนะ ซือจู่บอกว่าท่านเหนื่อยเกินไป พักผ่อนดี ๆ จึงจะสามารถฟื้นฟูลมปราณได้เร็วที่สุด”
โม่เทียนเกอพยักหน้า ถ้าจะใช้คำเปรียบเปรยที่ไม่เหมาะสม สถานการณ์นี้ของนางในปัจจุบันก็คล้ายกับว่าถูกขโมยพลังวิญญาณทั่วร่างจนแห้งเหือด ต้องค่อย ๆ นั่งสมาธิปรับลมหายใจจึงจะสามารถฟื้นฟูกลับมาได้ไวที่สุด คิดอยู่พักหนึ่ง จู่ ๆ นางก็นึกขึ้นได้ว่า “ซือฟุของเจ้าบาดเจ็บสาหัส เจ้าเป็นศิษย์ ควรจะคอยรับใช้อยู่ข้าง ๆ ถึงจะถูกต้อง เหตุใดถึงมาอยู่กับข้าที่นี่”
เยี่ยเจินจีลังเล “แต่ว่าท่านป้าก็……”
โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “ข้าตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าไปก่อนเถิด จะอย่างไรเสียเจ้าก็เป็นศิษย์เพียงคนเดียวของซือฟุเจ้า มีบางเรื่องที่หากเจ้าไม่ทำก็จะไม่มีคนไปทำ อย่าได้คิดแชเชือน รู้ไหม”
“อืม” เยี่ยเจินจีก็ไม่ใช่จะไม่เข้าใจ ดูอีกทีโม่เทียนเกอนอกจากซีดเซียวอยู่หน่อยแล้วก็ไม่มีตรงไหนที่ผิดปกติ จึงเอ่ยว่า “ท่านป้า เช่นนั้นข้าไปแล้วนะ ถ้าหากท่านมีเรื่องอะไรจะต้องบอกมานะ”
“รู้แล้ว เจ้าไปอย่างวางใจเถิด”
ส่งเยี่ยเจินจีไปแล้ว โม่เทียนเกอก็หลับตา ศีรษะล้มลงเตียง ผ่านไปพักหนึ่ง เรี่ยวแรงค่อย ๆ มา จึงได้ลุกขึ้นเปิดกำแพงอาคมของห้องหมิงซิน (ห้องใจสว่าง) เข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน เริ่มปรับลมหายใจ
สร้างฐานพลังขั้นท้ายกับก่อเกิดตานขั้นสูงสุด ถึงในระดับใหญ่จะห่างกันเพียงหนึ่งระดับ ความแตกต่างของพลังวิญญาณกลับมีหลายสิบเท่า ถ้าหากไม่ได้มีประมุขเต๋าจิ้งเหออยู่ด้วย อาศัยความห่างชั้นของระดับการฝึกตนของทั้งสองคน นางเกรงว่าระดับชั้นจะถดถอยด้วยซ้ำ โชคดีที่ขณะนี้นางเพียงพลังวิญญาณว่างเปล่า ชีพจรปราณตานเถียนล้วนยังสมบูรณ์ดี แค่ค่อย ๆ ฝึกตนไปหลายวัน พลังวิญญาณก็จะฟื้นฟูขึ้นมาเอง
หลายวันต่อมา นอกจากตอนที่เยี่ยเจินจีและประมุขเต๋าจิ้งเหอมา โม่เทียนเกอล้วนหมกตัวอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนปรับลมหายใจ
ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเดิมพลังวิญญาณก็เต็มเปี่ยมอยู่แล้ว ยิ่งบวกกับประมุขเต๋าจิ้งเหอส่งโอสถล้ำค่ามามากมาย ใช้เวลาเพียงสามวันห้าวันโม่เทียนเกอก็ฟื้นฟูสภาพแล้ว
ออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ถึงโถงใหญ่วังซางชิง ประมุขเต๋าจิ้งเหอกำลังนั่งทอดมองท้องฟ้า ก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
“ซือฟุ?”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอได้สติกลับมาและเห็นนาง “อ้อ เทียนเกอ เจ้าหายดีแล้วหรือ”
“อืม” โม่เทียนเกอรีรอสักพัก สุดท้ายยังคงไปนั่งอยู่ตรงหน้าประมุขเต๋าจิ้งเหอ “โส่วจิ้งซือเกอ…..หายดีแล้วหรือ”
“เขาไม่เป็นไร” พูดประโยคนี้จบ สายตาของประมุขเต๋าจิ้งเหอคล้ายกับจะมีความหมายล้ำลึกสักอย่าง มองดูนางอย่างค้นหาอยู่นาน เอ่ยว่า “เจ้าคล้ายกับจะไม่ประหลาดใจสักนิดเลย”
โม่เทียนเกอไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนี้ “ประหลาดใจอะไรเจ้าคะ”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอยิ้ม กล่าวว่า “ข้าจำได้ว่าหลายปีขนาดนี้ที่เข้ากราบเข้าสำนักอาจารย์ของข้า ล้วนไม่เห็นพบโส่วจิ้งซือเกอของเจ้าเลย ข้าเองก็ไม่เคยเอ่ยชื่อของเขาต่อหน้าเจ้า”
โม่เทียนเกอตะลึง ตระหนักว่าเขาคิดจะพูดอะไร ก้มหน้าลงเงียบงัน
ประมุขเต๋าจิ้งเหอถอนหายใจโล่งอก ยิ้มว่า “ดูท่าข้าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เจ้ารู้แต่แรก”
“…….” โม่เทียนเกอเงียบงันแต่สงบนิ่ง
นางรู้จักฉินซีแต่ไม่เคยพบฉินโส่วจิ้ง วันนั้นได้พบเขา สำหรับการที่เขาเป็นผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดตานไร้ข้อกังขาใด ๆ วันนี้ยังมาถามอย่างเปิดเผยอีกว่าโส่วจิ้งซือเกอเป็นอย่างไร นี่แสดงว่าอะไรเล่า
ประมุขเต๋าจิ้งเหอยกจอกสุราขึ้นดื่มหนึ่งจอกแล้วมองนางอีกครั้ง “บอกกับซือฟุได้หรือไม่ว่าเจ้ารู้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
โม่เทียนเกอก้มหน้าลงลูบคลำป้ายหยกที่แขวนอยู่ข้างเอว ป้ายซ่อนวิญญาณนี้เดิมแขวนอยู่บนคอนาง ในม่านพลังหมื่นปรัชญาแห่งธรรมชาติถูกหร่วนหมิงจูแย่งไป ภายหลังนางตื่นขึ้นอีกครั้งกลับเป็นเยี่ยเจินจียื่นให้นาง
บนป้ายหยกทรงกลมนี้สลักไว้ด้วยภาพก้อนเมฆที่ละเอียดอ่อน ตรงกลางของด้านหนึ่งกลับสลักไว้ด้วยตัวอักษรฉินตัวเล็ก ๆ ปีนั้นที่อายุสิบขวบ นางได้รับป้ายหยกแผ่นนี้ ตั้งแต่นั้นไม่เคยห่างกาย ตอนที่ว่าง ๆ นางก็จะกำป้ายหยกครุ่นคิดว่าเจ้าของคนก่อนของมันสรุปว่าเป็นเช่นใด สุดท้ายแล้วมีเจตนาร้ายหรือไม่ ต่อมาที่โรงเรียนเสวียนชิง นางก็มิใช่ไม่เคยคาดหวังว่าจะได้พบอาจารย์เต๋าโส่วจิ้งผู้นั้น ทว่าไม่มีโอกาสได้พบมาโดยตลอด จนกระทั่งการก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจ เข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของจงมู่หลิง……
“คือปีการก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจ ข้าออกต่อสู้กับซู่ซินซือเจี่ย……..”
ประมุขเต๋าจิ้งเหออึ้ง “นานขนาดนี้เลยหรือ”
โม่เทียนเกอก้มหน้ายิ้ม ในแววตากลับไม่มีรอยยิ้ม “ข้าในตอนแรกไม่เคยคิดเลย….. จนกระทั่งปีนั้น ข้าติดตามซู่ซินซือเจี่ยออกต่อสู้ ไปที่ผาลั่วเยี่ยน บังเอิญเข้าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของบรรพบุรุษ ข้าได้ยินบรรพบุรุษบอกว่าโส่วจิ้งซือเกอที่หายตัวไปหลายวันก่อนหน้านี้เป็นเพราะไม่ทันระวังเข้าไปในม่านพลังมายานภา ภายหลังบรรพบุรุษบอกว่ามีผู้เยาว์แซ่ฉินคนหนึ่งมาหาข้า ข้ายังนึกว่าเป็นโส่วจิ้งซือเกอ ผลคือผู้ที่เห็นเป็น ‘ฉินซือเกอ’”
“เช่นนี้เจ้าจึงกังขาแล้ว?”
โม่เทียนเกอส่ายหน้า “ตอนนั้นข้าเพียงรู้สึกประหลาดใจมากเท่านั้น ภายหลังออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ฉินซือเกอได้รับบาดเจ็บชัด ๆ ข้ากลับได้ยินว่าโส่วจิ้งซือเกอได้รับบาดเจ็บสาหัส กลับเขาไท่คังไปแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้ยินข่าวของฉินซือเกออีกเลยจริง ๆ”
“……..” ประมุขเต๋าจิ้งเหอเงียบงันไม่ส่งเสียง ครึ่งค่อนวันจึงเอ่ยว่า “มิน่าเล่าเจ้าในหลายปีมานี้ไม่เคยถามถึง ‘ฉินซือเกอ’ ผู้นั้นเลย”
“ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน บรรพบุรุษกับผู้อาวุโสระดับแปลงเทพอีกท่านพูดคุยกันต่อหน้าข้าว่าบนร่างโส่วจิ้งซือเกอมีลูกประคำวิญญาณพลังหยาง เวลานั้นข้าไม่รู้เลยว่าลูกประคำวิญญาณพลังหยางเป็นสิ่งของอะไร แต่ภายหลังฉินซือเกอมาหาข้า บรรพบุรุษพูดอีกว่าฉินซือเกอมีรากวิญญาณคู่ทองอัคคี ล้วนมีคุณสมบัติหยาง บนร่างมีลูกประคำวิญญาณพลังหยางอีก….. ในใจข้าจึงเริ่มเกิดความกังขา”
เรื่องราวมากมายของฉินโส่วจิ้งไม่ได้เป็นความลับในโรงเรียนเสวียนชิง อย่างเช่นที่เขามีรากวิญญาณทองอัคคีสองอย่าง แม้แต่ศิษย์รับใช้ทั่วไปล้วนรู้เรื่องพวกนี้ อีกทั้งถึงนางจะไม่รู้ว่าลูกประคำวิญญาณพลังหยางคืออะไร ฟังจากความหมายของบรรพบุรุษก็เข้าใจว่าเป็นสมบัติวิญญาณที่เสาะหาได้ยากบนโลก ไฉนเลยจะเป็นไปได้ที่คนสองคนล้วนมีในเวลาเดียวกันเล่า
พูดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอยิ้มขึ้นมาอีก “เรื่องบางเรื่อง ถ้าหากไม่มีความกังขา ทุกสิ่งล้วนจะเป็นปกติมาก แต่หากเกิดความกังขาในจิตใจจะรู้สึกว่าทุกที่มีแต่ช่องโหว่ หลังจากที่ในใจข้ามีความคิดนี้อยู่ก็ได้นึกทบทวนอย่างละเอียด ฉินซือเกอที่ว่าไหนเลยจะคล้ายกับเป็นผู้ฝึกตนระดับต่ำคนหนึ่ง เขาตอนที่อยู่สำนักอวิ๋นอู้ไม่ชอบพูดคุยกับพวกเราเหล่าศิษย์ระดับต่ำ เพราะว่าระดับชั้นห่างกันจนเกินไป ไม่มีอะไรจะพูด ภายหลังข้าความลับเปิดเผย หนีออกจากเขาอวิ๋นอู้กับท่านอารอง ถูกผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังหนึ่งกลุ่มล้อมโจมตี ฉินซือเกอพอมาถึงก็ช่วยพวกเราได้ เดิมข้านึกว่าเขามีวิชาลับอะไร ไม่สะดวกจะบอกกับข้า ภายหลังมาคิดดู ถ้าหากเขาเป็นผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดตาน ทุกสิ่งนี้ก็จะสมเหตุสมผลขึ้นมาแล้ว”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอยิ้มเล็กน้อย “ซือฟุเดิมก็รู้สึกว่าจะปิดบังเจ้าได้ไม่นาน แต่หลายปีมานี้ไม่เคยได้ยินเจ้าเอ่ยถึง ยังนึกว่าปิดบังได้แล้วจริง ๆ เสียอีก”
“…..สิ่งที่สำคัญที่สุดคือฉินซือเกอถ้าหากมีตัวตนจริง ๆ ทำไมทั่วทั้งโรงเรียนเสวียนชิงล้วนเงียบกริบไร้ชื่อเสียง ตอนที่ข้าไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านี้จะหาเหตุผลให้ ‘ฉินซือเกอ’ กับตัวเอง แต่หลังจากในใจเกิดความคิดนี้ก็พบว่าหากเอาสถานะของโส่วจิ้งซือเกอมาแทนที่ฉินซือเกอแล้วจะสมเหตุสมผลอย่างที่สุด”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอถอนหายใจยาว “เช่นนั้นหลายปีนี้เหตุใดเจ้าไม่พูด”
โม่เทียนเกอก้มหน้าอยู่ตลอด จับจ้องปลายเท้าของตนเอง เงียบอยู่พักหนึ่งจึงได้กล่าวเบา ๆ ว่า “…..ซือฟุ พูดตามตรง เวลานั้นในใจของข้ารับได้ยากยิ่ง ไม่เข้าใจว่านี่สรุปแล้วเป็นเพราะอะไร…..ตอนนั้นอายุยังเยาว์ ฉินซือเกอดูแลมาตลอดทาง ในใจเดิมข้ารู้สึกขอบคุณเขาอย่างที่สุด แต่จู่ ๆ ก็พบเรื่องนี้ ในใจมีความกังขามาโดยตลอด ถึงที่สุดแล้วเขามีเจตนาใดกันแน่”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอฟังนางพูดเงียบ ๆ มาโดยตลอด ตอนนี้ขมวดคิ้วสั่นศีรษะกล่าวว่า “เจ้าหนักแน่นมาโดยตลอด แต่จะอย่างไรเสียก็ยังเยาว์วัย นิสัยยังจะขี้ระแวงอีก จู่ ๆ พบเรื่องนี้ย่อมยากจะหลีกเลี่ยงความหวาดหวั่นในใจ เรื่องทั้งหมดล้วนจะคิดในทางร้าย ภายหลังเล่า?”
“ภายหลัง…..ข้าเฝ้าสังเกตอยู่นาน เป็นไปตามคาด ถ้าข้าไม่ถาม ทั้งโรงเรียนเสวียนชิงก็คล้ายกับจะหาร่องรอยของฉินซือเกอไม่พบเลย ตอนนั้นข้าถึงขนาดกังขาว่าชื่อของเขาก็เป็นของปลอมหรือไม่”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอยิ้มเอ่ยว่า “ชื่อกลับเป็นของจริง เพียงแต่ว่าซีเอ๋อร์ก่อนที่จะก่อเกิดตานตอนเดินทางข้างนอกก็จะไม่ใช่สถานะแท้จริง ภายหลังก่อเกินตาน ตามกฎของโรงเรียนจะไม่ใช้ชื่อจริง เปลี่ยนเป็นนามเต๋า อย่าว่าแต่คนนอก ถึงจะเป็นศิษย์ของโรงเรียนก็น้อยคนจะรู้ชื่อจริง ๆ ของเขา”
โม่เทียนเกอก็ยิ้ม นางไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกโล่งอกหรือ่ไม่ที่อย่างน้อยชื่อของเขาก็เป็นของจริง
ประมุขเต๋าจิ้งเหอถามอีก “หลายสิบปีแล้ว เจ้าไม่พูดออกมาโดยตลอด สุดท้ายแล้วในใจถือสาหรือว่าให้อภัยเขาแล้วล่ะ”
โม่เทียนเกอชะงักไป กล่าวช้า ๆ ว่า “….ในด้านสถานะ เขาเป็นผู้เยาว์ร่วมสายเลือดของซือฟุท่าน แล้วก็เป็นศิษย์สายตรง ข้าสามารถถูกซือฟุรับเข้าสำนักอาจารย์ก็เป็นเพราะเขา ด้านระดับการฝึกตน เขาเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน มีหวังว่าจะไปถึงจิตวิญญาณใหม่ ส่วนข้าตอนนี้ยังไม่ก่อเกิดตานเลย ข้ามีคุณสมบัติใดไปให้อภัยหรือไม่ให้อภัยเขา”
ได้ยินคำพูดนี้แล้ว ประมุขเต๋าจิ้งเหอกลับขมวดคิ้ว “เจ้าถ่อมตนเองเช่นนี้ หรือว่าในใจยังมีความโกรธแค้นอยู่”
……………………………..
ตอนที่ 254 – ฉินซือเกอ หรือว่า โส่วจิ้งซือเกอ
ตอนหน้าในที่สุดเทียนเกอก็จะได้เจอหน้าฉินซีสักที หลังจากที่อีกฝ่ายหลบหน้ามาสามสิบกว่าปีเข้าไปแล้ว……..