หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 268
ตอนที่ 268 – จิ่งสิงจื่อ
โม่เทียนเกอเพ่งมองกลับเห็นว่าสถานที่ซึ่งพวกเขาเคยยืนอยู่ปรากฏแสงขึ้นวูบหนึ่ง แผ่นหินเขียวบนพื้นถูกตัดเป็นชิ้น ๆ หลงเหลือพลังวิญญาณที่คล้ายมีคล้ายไม่มีสายหนึ่ง
นางแอบตกตะลึงในใจ จิตหยั่งรู้ของนางก็จับสังเกตรอบบริเวณอยู่ในขณะนี้ แต่เมื่อครู่กลับเป็นเสี้ยวพริบตาที่แสงวิญญาณสายนี้ปรากฏขึ้นจึงสัมผัสได้ ถ้าหากไม่ใช่ว่าอยู่ข้างกายฉินซี ถึงแม้นางจะหลบหนีได้ก็จะต้องตื่นตระหนกกว่ามาก ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานไม่อาจดูเบาตามคาด
ฉินซีพูดจบ ลมหายใจของผู้ฝึกตนในที่สุดก็ปรากฏขึ้นในจิตหยั่งรู้ของพวกเขาโดยไม่ปิดบังสักนิดเดียว เก็บงำมากแต่กลับลึกล้ำแหลมคม
โม่เทียนเกอแอบถือผ้าเช็ดหน้าไหมขาวในมือ อีกข้างหนึ่งกำอาวุธเวทตราประทับที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอมอบให้ มีผ้าเช็ดหน้าไหมขาวในมือ คิดว่าถึงคนผู้นี้จะลงมือนางก็มีความสามารถต่อต้าน จากนั้นรอโอกาสโต้กลับ
คนผู้นั้นในที่สุดก็หมุนตัวออกมา กลับเป็นผู้ฝึกคนก่อเกิดตานขั้นปลายคนนั้นที่ตอนงานชุมนุมค้าขายนั่งอยู่ตรงข้ามพวกเขา การฝึกตนเพียงเป็นรองฉินซี
ฉินซีดันนางไปข้างหลัง ส่งเสียงลับว่า “ระวังตัวด้วย”
ถึงแม้จะมีระดับก่อเกิดตานเหมือนกัน ระหว่างผู้ฝึกตนก่อเกิดตานขั้นปลายและก่อเกิดตานขั้นต้นมีพลังแตกต่างเยอะมาก โม่เทียนเกอทราบว่าตัวเองที่แม้แต่อาวุธเวทคู่ชีพยังไม่ได้หลอมสร้างตอนนี้ยังไม่มีความสามารถที่แข็งแกร่ง ก็เลยไม่พูดมาก ถอยไปเงียบ ๆ
คนผู้นั้นอ้าปาก เสียงแหบต่ำ “สองท่านช่างมีความกล้าหาญมากโดยแท้ งานชุมนุมค้าขายหยิบเอาสมบัติเช่นนี้ออกมา ถึงกับยังกล้าเดินไปบนถนนอย่างไม่ปิดบังลอบเร้น ไม่กลัวว่าผู้อื่นจะใช้กำลังแย่งชิงไปหรือ”
ฉินซีหัวเราะอย่างเย็นชาคำหนึ่ง จ้องมองคนผู้นั้น “ใช้กำลังแย่งชิง? อาศัยท่านน่ะหรือ”
โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว นางรู้สึกอยู่ตลอดเลยว่าฉินซีที่ออกจากโรงเรียนมาภายนอกกับฉินซีผู้เงียบขรึมเอาแต่กักตนฝึกฝนคนนั้นในโรงเรียนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนหลังนี้บนร่างยังมีเงาของฉินซือเกอในอดีตอยู่เล็กน้อย คนแรก….กลับไม่คล้ายเลยสักครึ่งส่วน
“ท่านมีความมั่นใจมากเลยนะ!” หน้าตาของคนผู้นั้นถูกปิดบังอยู่ในเงามืดใต้งอบไม้ไผ่ น้ำเสียงกลับสนอกสนใจ “ผู้คนล้วนกล่าวกันว่า ฉินโส่วจิ้งถึงจะมีพรสวรรค์ธรรมดา บนเส้นทางแห่งการฝึกตนกลับเดินไปได้ไกลเกินกว่าอัจฉริยะรากวิญญาณเดี่ยว จ้ายเซี่ย (คำเรียกตนเองอย่างถ่อมตัว) ไม่ยอมรับอยู่บ้าง”
“ท่านยอมรับหรือไม่ยอมรับแล้วเกี่ยวอันใดกับข้า” ฉินซีสีหน้าไม่สั่นไหว “หากต้องการลงมือก็เชิญ มิเช่นนั้นอย่าได้เสียเวลาพวกเรา!”
คนผู้นั้นขยับศีรษะ เอ่ยยิ้ม ๆ ว่า “ลงมือหรือ ที่นี่น่ะหรือ”
เมืองคุนจงถึงอย่างไรก็เป็นเมือง ในเมืองนี้มีปุถุชนจำนวนมาก ผู้ฝึกตนก็เป็นผู้ฝึกตนระดับต่ำกว่าครึ่ง ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานสองคนลงมือมันเป็นภัยพิบัติอย่างแน่นอน
ฉินซีเผยรอยยิ้มเย้ยหยันเล็กน้อย “เมื่อครู่ท่านมิใช่ลงมือไปแล้วหรอกหรือ อย่าบอกนะว่าตอนนี้จึงคิดถึงกฎของเมืองคุนจงที่ไม่ให้ต่อสู้ในเมืองขึ้นมา”
“กฎหรือ” คนผู้นั้นส่งเสียงหัวเราะแหบต่ำ “เมืองคุนจงที่มีผู้ฝึกตนก่อเกิดตานอิสระไม่กี่คนเท่านั้น ไม่ปฏิบัติตามแล้วจะทำอันใดได้”
คำพูดนี้โอหังโดยแท้ ผู้ฝึกตนอิสระของเมืองคุนจงไม่ใช่มีคนสองคนทว่าเป็นเจ็ดคน คนผู้นี้ไม่สนใจกฎของเมืองคุนจง อย่าบอกนะว่าสามารถจะอาศัยหนึ่งสู้เจ็ดได้ อีกอย่างนางเคยได้สัมผัสถึงจิตหยั่งรู้ของถงเทียนอวิ้นกับวิธีการของพรตเต๋าคูมู่มาแล้ว สามารถเข้าตาของฉินซีย่อมเห็นได้ว่าร้ายกาจอย่างยิ่ง คนผู้นี้ยังมีมาตรฐานสูงกว่าฉินซีอีกหรือ
ถอยไปหนึ่งก้าว นางกับฉินซีสองคน คนหนึ่งก่อเกิดตานขั้นต้น คนหนึ่งก่อเกิดตานขั้นสูงสุด แต่อีกฝ่ายเป็นก่อเกิดตานขั้นปลาย ยังจะสามารถอาศัยหนึ่งสู้สองได้ด้วยหรือ
โม่เทียนเกอคิดเช่นนี้ แต่ในพริบตาต่อมาก็เห็นแสงกระบี่สายหนึ่งวูบขึ้นมากะทันหัน ผู้ฝึกตนชุดดำผู้นี้ลงมือแล้ว!
ฉินซีคาดการณ์ไว้แต่แรก ยกมือซ้ายขึ้นมา แสงสีทองหลุดออกมาจากแขนเสื้อ กระบี่อัคนีสามพลังหยางเผยโฉมขึ้นในแสงสีทอง เขาเอื้อมมือออกไปพลิก กระบี่อัคนีสามพลังหยางพ่นไฟขึ้นสูงจนกลายเป็นกำแพงไฟ ปราณกระบี่ของคนชุดดำผู้นั้นทั้งหมดถูกสกัดเอาไว้ภายนอก
เมื่อเห็นว่าเขาสกัดกั้นปราณกระบี่ของตนเองได้อย่างง่ายดาย ผู้ฝึกตนชุดดำก็เอียงศีรษะคล้ายกับประหลาดใจ เขากำลังจะพูดอะไร ฉินซีกลับไม่ให้โอกาสเขา มือขวารวบรวมพลังวิญญาณธาตุไฟที่บริสุทธิ์อย่างยิ่งผลักออกไปเบา ๆ กระบี่อัคนีสามพลังหยางระเบิดแสงสว่างไสวโถมเข้าใส่คนผู้นั้น
ผู้ฝึกตนชุดดำประกบสองมือเข้าหากันอย่างรีบร้อน กระบี่ยาวด้านหลังหลุดจากฝัก ปราณกระบี่แหลมคมไร้ที่เปรียบกรีดปราณกระบี่ออกมาหนึ่งเส้น
คนผู้นี้เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่อย่างไม่ต้องสงสัย พลังปราณเช่นนี้หากมิใช่ผู้ฝึกกระบี่ไหนเลยจะสร้างปราณกระบี่ที่แหลมคนเช่นนี้ได้
“เทียนเกอ!” ฉินซีหันศีรษะร้องออกมาอย่างกะทันหัน
ปราณกระบี่ไร้นัยน์ตา โม่เทียนเกอทราบว่าเขาหมายความว่าอะไร โบกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวให้กลายเป็นหมอกผืนหนึ่งปกคลุมตนเองในพริบตา หมอกสลัว มองพลังวิญญาณอันใดไม่ออก ปราณกระบี่แหลมคม แต่ตอนที่ชนกับหมอกกลับหายไปโดยไร้ร่องรอย
แม้แต่นางก็สกัดกั้นปราณกระบี่ของตนเองได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ทำให้ผู้ฝึกตนชุดดำผู้นี้สะดุ้งอีกครั้ง ยังไม่ทันจะเอากลับคืนมา กระบี่ของฉินซีก็มาถึงแล้ว เขารีบร้อนเก็บกระบี่มาป้องกัน ได้ยินเพียงเสียงทึบ ๆ ระหว่างกระบี่ทั้งคู่ พลังวิญญาณของปราณกระบี่ปะทะกัน ระเบิดออกมาเสียงดัง
การต่อสู้ของผู้ฝึกตนก่อเกิดตานสองคนที่ล้วนเชี่ยวชาญวิธีการทำลายล้างอย่างยิ่ง พลังกดดันที่สร้างขึ้นจะน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน ในพริบตานี้ถนนหนทางเละเทะไปแล้ว แผ่นหินเขียวแตกหักเป็นเศษ ๆ จนไม่เหลือเค้าเดิม ถ้าหากมิใช่ว่าถนนกว้างขวางเกรงว่าร้านค้าสองฝั่งก็มิอาจหลีกเลี่ยงภัยพิบัติไปได้!
พลังวิญญาณนี้พอระเบิดออก บนหอสูงที่สูงที่สุดของเมืองคุนจงปรากฏแสงหลบหนีหลายสายบินมาทางด้านนี้
ฉินซีกับโม่เทียนเกอไม่ขยับ ผู้ฝึกตนชุดดำผู้นี้ก็ไม่ขยับ
เมืองคุนจงไม่ใหญ่ แสงหลบหนีพริบตาเดียวก็มาถึง กลับเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานสามคน คนที่นำหน้ามาพอดีเป็นถงเทียนอวิ้น
“สหายเต๋าทั้งสาม พวกท่าน……” ถงเทียนอวิ้นเห็นแล้วก็ตกตะลึง
ฉินซีมองถงเทียนอวิ้นแวบหนึ่ง ยกมือขึ้นเก็บกระบี่อัคนีสามพลังหยางกลับมา เอ่ยว่า “สหายเต๋าถง ท่านมาก็ดีเลย คนผู้นี้ตั้งแต่ออกมาจากงานชุมนุมค้าขายก็ติดตามพวกเรามาตลอดทาง แล้วยังลงมือลอบโจมตี ไม่รู้ว่าหมายความเช่นใด”
ถงเทียนอวิ้นยิ่งตะลึง จ้องไปทางผู้ฝึกตนชุดดำผู้นั้น “ท่าน….”
ถึงเป็นคำพูดเพียงคำเดียว โม่เทียนเกอกลับมีความรู้สึกไม่สู้ดี มองดูสีหน้าของถงเทียนอวิ้นคล้ายกับว่าจะรู้จักคนผู้นี้
ผู้ฝึกตนชุดดำผู้นั้นเห็นถงเทียนอวิ้นกับพวกมาถึงก็หัวเราะฮา ๆ แล้วกลับยื่นมือดึงงอบไม้ไผ่ออก
ใบหน้าที่อ่อนวัยมาก คนหนุ่มอายุราวยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปี เกลี้ยงเกลาสง่างามไม่แพ้ฉินซี ปลายคิ้วหางตากลับดูเย้ายวน ใบหน้าเหมือนดอกท้อ ดวงตาวิบวับ รู้สึกเพียงสายตารักใคร่
ฉินซีเห็นใบหน้านี้ก็ขมวดคิ้วทันที เอ่ยเสียงขรึมว่า “เป็นเจ้า!”
คนหนุ่มหัวเราะคิกคัก “ก็ข้าน่ะสิ”
เขาหัวเราะ ฉินซียิ่งไม่มีความสุข “ในเมื่อมาแล้วเหตุใดไม่มาเจอกันตรง ๆ ลับ ๆ ล่อ ๆ ลอบโจมตีพวกเราทำอะไร”
คนหนุ่มโบกมือเก็บกระบี่เข้าฝัก ในมือถืองอบไม้ไผ่โบกต่างพัด น้ำเสียงล้อเล่น “ก็เพราะพวกเจ้านั้นแหละ!” ลูกตาเขาปรากฏแสงวูบขึ้น ดวงตาหนึ่งคู่ที่เหมือนจะบรรจุน้ำเอาไว้จับสังเกตโม่เทียนเกอ ยิ้มเล็กน้อย “กูเหนียงผู้นี้คืออาจารย์เต๋าชิงเวยศิษย์ปิดสำนักของประมุขเต๋าจิ้งเหอหรือ จ้ายเซี่ยจิ่งสิงจื่อ ผู้ฝึกตนสำนักกู่เจี้ยน ชื่นชมชื่อเสียงมานานแล้ว”
จิ่งสิงจื่อ? ผู้ฝึกตนสำนักกู่เจี้ยน? ฉินซีเคยบอกว่าพวกเขาตอนนี้ยังต้องรอผู้ฝึกตนของสำนักกู่เจี้ยนคนหนึ่ง อย่าบอกนะว่าเป็นคนนี้
นางคำนับหนึ่งที เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “จ้ายเซี่ยคือโม่ชิงเวย ยินดีที่ได้พบสหายเต๋าจิ่ง”
พอเห็นท่าทางสุภาพของนางต่อตนเองโดยไม่มีความสั่นไหวสักครึ่งส่วน จิ่งสิงจื่อก็อึ้งไป ยิ้มแย้มอย่างเฉิดฉายกว่าเดิม “ที่แท้คือโม่กูเหนียง แรกที่ได้ยินว่าโม่กูเหนียงก่อเกิดตานทองคำสำเร็จแต่ยังเยาว์ ขึ้นชื่อว่าเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ ผู้แซ่จิ่งยังนึกว่าเป็นชาวโลกเลื่องลือเกินจริง วันนี้ได้พบ กูเหนียง….”
“จิ่งสิงจื่อ!” ฉินซีเรียกชื่อเขาตรง ๆ อย่างไม่มีความสุภาพสักนิด สีหน้าไม่พอใจ “พวกสหายเต๋าถงยังอยู่นี่ เจ้าไม่ไปอธิบาย มาตีสนิทซือเม่ยข้าทำอะไร?!”
ได้ยินคำพูดนี้ของเขาแล้ว จิ่งสิงจื่อยิ่งยิ้มแย้มอย่างยินดี ดวงตาดอกท้อกะพริบ เอ่ยยิ้ม ๆ ว่า “ฉินโส่วจิ้งเจ้าจะห่วงอะไร สหายเต๋าถงยังไม่เห็นบ่น….”
“เจ้าทำให้พวกเราเสียเวลา!” ฉินซีถลึงมองเขาอย่างเย็นชา หมุนตัวกุมหมัดไปทางถงเทียนอวิ้นสามคน “สหายเต๋าถง เรื่องราวข้าได้บอกไปแล้ว จะฆ่าจะลงโทษพวกท่านก็ไปถามสหายเต๋าจิ่งผู้นี้เถอะ ข้ากับซือเม่ยขอตัวก่อน” พูดจบกับก็หมุนตัวจากไป ท่าทางไม่อยากจะอยู่ต่อแม้แต่ครู่เดียว
โม่เทียนเกอพูดอะไรไม่ทัน พยักหน้าทักทายถงเทียนอวิ้นแล้วรีบเดินตามหลังเขาไป
ถงเทียนอวิ้นไม่ได้รั้งตัว ถึงพวกเขาจะต่อสู้กันในเมือง ทำลายข้าวของไปไม่น้อย แต่ขณะนี้ดูไปแล้วไม่มีคนบาดเจ็บล้มตายเลย ถือได้ว่าไม่ใช่เรื่องราวร้ายแรงมาก เพียงแต่พอหันหน้าไปเห็นจิ่งสิงจื่อจ้องไปยังทิศทางที่ทั้งสองคนจากไปด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ถงเทียนอวิ้นก็อดเตือนด้วยรอยยิ้มมิได้ว่า “สหายเต๋าจิ่ง เหล่าฟูขอเกลี้ยกล่อมท่านว่าสหายเต๋าโส่วจิ้งครั้งนี้อารมณ์ไม่ดีมาก ไม่ไปแหย่เขาถึงฉลาด”
“อ้อ?” เงาร่างของฉินซีกับโม่เทียนเกอหายลับไปแล้ว สายตาของจิ่งสิงจื่อผู้นี้หมุนกลับมา เอ่ยถามยิ้ม ๆ ว่า “นี่เป็นเพราะเหตุใด ฉินโส่วจิ้งเขามิใช่ว่าเจอเรื่องใด ๆ ก็ไม่สั่นคลอนหรือไร เหตุใดถึงอารมณ์ไม่ดีแล้ว”
ถงเทียนอวิ้นเอ่ยว่า “ไม่ว่าจะเป็นใคร ผูกจิตวิญญาณสามครั้งล้มเหลว อารมณ์ก็ต้องไม่ดีกันทั้งนั้นรึเปล่า”
จิ่งสิงจื่อได้ยินก็พยักหน้า แต่กลับกะพริบตาอีกครั้ง “คำพูดนี้กล่าวได้มิผิด แต่ว่า….. ข้าเห็นว่าเขาอารมณ์ไม่ดีมีเหตุผลอื่นรึเปล่า”
“เฮอ ๆ” ถงเทียนอวิ้นแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจแววตาส่อความนัยของเขา “อันนี้เหล่าฟูก็ไม่รู้แล้ว หากสหายเต๋าจิ่งอยากทราบไม่สู้ไปถามสหายเต๋าโส่วจิ้งเล่า”
จิ่งสิงจื่อส่ายหน้า “ข้าไม่โง่นะ ถามเขาแล้วจะถามได้ความอะไรเล่า ถามหลายคำไปหน่อยกระบี่อัคนีสามพลังหยางเล่มนั้นของเขาก็จะมาฟันข้าแล้ว!”
“อย่าบอกจะว่าสหายเต๋าจิ่งกลัวแล้ว”
ถงเทียนอวิ้นให้วาจายุแหย่อย่างเห็นได้ชัด จิ่งสิงจื่อผู้นี้กลับตรงไปตรงมา ผายมือเอ่ยว่า “สหายเต๋าถง ท่านก็อย่ามายุแหย่ข้า ข้ายอมรับว่าเกี่ยวกับการต่อสู้ ถึงข้าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่กลับสู้เขามิได้ แต่ไม่แน่ว่าเรื่องของการผูกจิตวิญญาณข้าอาจจะสามารถก้าวนำเขาจริง ๆ ก็ได้นะ”
ถงเทียนอวิ้นแววตาวูบขึ้นมา “สหายเต๋าจิ่งช่างมีความมั่นใจโดยแท้ หรือว่าการผูกจิตวิญญาณจะมีหวังแล้ว”
“ที่ไหนกัน” จิ่งสิงจื่อก็ไม่โง่ พอเห็นสีหน้านั้นของถงเทียนอวิ้นก็ผลักออกจนหมดจดทันที “ฉินโส่วจิ้งไม่ใช่ว่าผูกจิตวิญญาณสามครั้งล้มเหลวหรือไร คิดว่าในระยะเวลาอันสั้นก็คงไม่อาจผูกจิตวิญญาณ ถ้าข้าพยายามอย่างหนัก ผูกจิตวิญญาณหนึ่งครั้งสำเร็จ จะไม่สามารถนำหน้าเขาเชียวหรือ”
“ฮะ ๆ!” ถงเทียนอวิ้นหัวเราะสองคำ เอ่ยว่า “ดูท่าการท่องภูเขามารครั้งนี้ สหายเต๋าจิ่งจะมีความมั่นใจยิ่งนะ!”
“บอกว่ามั่นใจไม่ได้หรอก แค่มีการเตรียมการมาหลายอย่างเท่านั้นเอง” จิ่งสิงจื่อจ้องมองถงเทียนอวิ้น เอ่ยว่ามีความหมายอย่างอื่นว่า “สหายเต๋าถงก็มิใช่เป็นเช่นนี้หรือ คิดว่าการท่องภูเขามารครั้งนี้ สหายเต๋าถงจึงเรียกว่าเตรียมการพรักพร้อม”
ถงเทียนอวิ้นแกล้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจคำพูดของเขา หันมากล่าวว่า “สหายเต๋าจิ่ง ในเมื่อท่านมาแล้ว พรุ่งนี้พวกเราก็จะรวมตัวกัน เสียเวลากันมาสักพักแล้ว ถ้าเกิดว่ากำแพงอาคมของภูเขามารหายไปก่อน พวกเราก็จะพลาดมากแล้ว”
“มิผิด ๆ” จิ่งสิงจื่อยิ้มแย้มแจ่มใส “เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะกลับไปพักผ่อนก่อนล่ะ สหายเต๋าถง พบกันพรุ่งนี้!”
“นี่!” ถงเทียนอวิ้นรั้งตัวเขาเอาไว้ ยิ้มแย้มแจ่มใสเช่นกัน “สหายเต๋าจิ่ง ท่านไม่สนกฎของเมืองคุนจงเรา ต่อสู้สร้างความวุ่นวายในเมือง ทำลายข้าวของ จะจ่ายค่าเสียหายหรือไม่”
……………………………………
ตอนที่ 269 – สัตว์วิญญาณเลื่อนขั้น