หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 280 – ยอดเขาว่านเริ่น
ตอนที่ 280 – ยอดเขาว่านเริ่น
พบหวังเชี่ยนอีและเฉินปิงแล้ว โม่เทียนเกออารมณ์หนักหน่วงอยู่บ้าง
พวกนางสองคนทำให้ได้พบเห็นชะตาชีวิตอันแสนเศร้าของผู้ฝึกตนสตรีเป็นครั้งแรก คนหนึ่งสูญเสียบิดาแต่ยังต้องแต่งให้กับศัตรู คนหนึ่งไม่มีอิสรภาพ ถูกทำเป็นของเล่น
พวกนางเป็นผู้ฝึกตน แต่ก็เป็นสตรี ไม่มีกำลังเพียงพอแม้แต่ร่างกายก็รักษาเอาไว้ไม่ได้ โลกใบนี้ก็โหดร้ายเช่นนี้เอง
ที่โชคดีคือ ตอนนี้พวกนางดูไปมีชีวิตไม่เลว ถึงจะไม่มีโอสถเพียงพอ ยังดิ้นรนอยู่บนเส้นทางฝึกเซียน อย่างน้อยก็มีอิสรภาพ
คิดอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ ได้ยินฉินซีเอ่ยถามว่า “เจ้าเห็นใจพวกนางหรือ”
โม่เทียนเกอตะลึงไป ตอบว่า “นี่ย่อมแน่นอน พวกนาง….พวกนางน่าสมเพชมาก”
“น่าสมเพชมากที่ใด”
“ในฐานะสตรี แม้แต่…..ตัวเองยังรักษาเอาไว้มิได้ ย่อมน่าสมเพชมาก”
ฉินซีไม่พูดแล้ว ไม่รู้ว่าคิดอะไร
ทั้งสองคนเก็บงำลมหายใจ หลีกเลี่ยงผู้ฝึกตนคนอื่น ตลอดทางไร้เภทภัย ไปถึงใต้ยอดเขาสูงแห่งหนึ่ง
โม่เทียนแหงนศีรษะขึ้น “สูงขนาดนี้….ถึงจะบินก็บินขึ้นไปยากมากเลยรึเปล่า”
ภูเขามารเป็นเขาสูงอันดับหนึ่งของเทียนจี๋อย่างแท้จริง ยอดเขานี้พุ่งตรงถึงชั้นเมฆ มองไม่เห็นสุดยอดเขาเลย
ฉินซีเอ่ยว่า “ข้างบนมีสถานที่ซึ่งสามารถพักเท้าได้ บินขึ้นไปไม่มีปัญหา เพียงแต่…..” เขาจ้องมองอัสนีบาตอันก่อตัวขึ้นจากพลังวิญญาณและปีศาจผสมผสานกันกลางอากาศ “ข้างบนนี้กำแพงอาคมหลากหลายมากมาย ไม่ระวังสักนิดก็อาจจะสลายเป็นเถ้าถ่าน”
โม่เทียนเกอตะลึงงัน สลายเป็นเถ้าถ่าน พูดอีกอย่างก็คือ แม้แต่จะช่วยชีวิตก็ไม่มีทางช่วยได้
“อย่าคิดมาก” ฉินซีเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ขึ้นถึงสุดยอดเขาอาจจะต้องใช้เวลาสองวัน ข้างบนนี้ยังมีกำแพงอาคมมากมายที่ต้องทำลาย ยุ่งยากมาก พวกเราขึ้นไปให้เร็วที่สุดเถอะ”
“…..อืม”
ทั้งสองคนต่างคนต่างใช้วิธีการของตัวเองคุ้มครองทั้งร่างกาย
โม่เทียนเกอใช้ศาสตร์หนึ่งปราณต้นกำเนิด หยิบผ้าเช็ดหน้าไหมขาวออกมาเปลี่ยนเป็นม่านคุ้มกันคล้ายเมฆหมอกอีกครั้ง ฉินซีใช้ศาสตร์แท้คุ้มครองร่างเหมือนกัน แล้วก็ให้กระบี่อัคนีสามพลังหยางเปลี่ยนรูปเป็นม่านพลังกระบี่คุ้มครองกายวนอยู่รอบ ๆ ทั้งสองคน
โม่เทียนเกอลังเลครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ฉินซือเกอ ท่าน…..เข้ามาใกล้ๆ ข้าหน่อย พลังวิญญาณข้าไม่พอ อาวุธเวทคุ้มครองกายนี้ไปไม่ถึง”
ฉินซีตะลึงไป ไม่รู้ว่าเพราะคำเรียกขานของนางหรือว่าเพาะคำพูดของนาง ท้ายที่สุดเพียงตอบรับเบา ๆ คำหนึ่ง
ยอดเขาสูงนี้มีชื่อเรียกว่ายอดเขาว่านเริ่น ถึงแม้ไม่จำเป็นว่าจะมีความสูงหมื่นเริ่นอย่างแท้จริง แต่ก็ห่างกันไม่ไกล พลังวิญญาณและปราณปีศาจในที่แห่งนี้ปั่นป่วนไม่สงบ ผสมกลมกลืน ทั้งสองคนไม่กล้าบินเร็ว ได้แต่คืบหน้าไปทีละนิด ๆ เพื่อที่จะรักษาระยะห่างที่เท่ากัน โม่เทียนเกอไม่ใช้อาวุธเวทบินของตนเอง ทว่าขึ้นไปบนเมฆบินของฉินซี
ครึ่งวันให้หลัง ทั้งสองคนพักอยู่บนผนังผาครู่หนึ่งแล้วเดินหน้าไปต่อ ช่วงนี้พวกเขาเข้าใกล้สถานที่ซึ่งพลังวิญญาณและปราณปีศาจสผมกลมกลืนกันกลางอากาศแล้ว รอบกายพวกเขามีพลังวิญญาณคุ้มครองร่าง แล้วก็มีเครื่องรางป้องกันอีก จากนั้นเป็นชั้นพลังวิญญาณที่เปลี่ยนรูปมาจากผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของโม่เทียนเกอ ชั้นนอกสุดเป็นม่านพลังกระบี่ของฉินซี
ป้องกันสี่ชั้นแล้วยังคงไม่กล้าวางใจ ตอนที่ทะลุผ่านพลังวิญญาณกับปราณปีศาจ โม่เทียนเกอได้ยินเสียง “หึ่ง ๆ” ของม่านพลังกระบี่ข้างนอก โชคดีที่กระบี่อัคนีสามพลังหยางมิใช่อาวุธเวทธรรมดา ไม่ว่าจะพลังวิญญาณหรือว่าปราณปีศาจล้วนสกัดกั้นเอาไว้ได้ทั้งหมด เพียงแต่การสกัดกั้นทุก ๆ ครั้ง ม่านพลังกระบี่จะเปล่งแสงสีแดงออกมา ฉินซีก็ต้องหยุดพักทำการต่อต้าน
ทั้งสองคนคืบคลานขึ้นมาทีละนิด ๆ เช่นนี้ ยิ่งขึ้นสูงก็ยิ่งยากลำบาก
ถึงภายหลังไม่ได้เป็นเรื่องของฉินซีคนเดียวแล้ว ถึงแม้ม่านพลังกระบี่ของเขาสามารถขวางกั้นการโจมตีส่วนใหญ่เอาไว้ได้ แต่ไม่สามารถแก้ไขได้ทั้งหมด โม่เทียนเกอจึงควบคุมผ้าเช็ดหน้าไหมขาวเข้าช่วยเหลือ
ฉินซีเคยบอกแต่แรกแล้วว่าที่แห่งนี้ไม่สามารถประมาทได้แม้แต่เศษเสี้ยว ขอเพียงพลังวิญญาณกับปราณปีศาจทะลุผ่านชั้นป้องกันของทั้งสองคนจะไม่อาจรักษาชีวิต พริบตาเดียวก็จะสลายกลายเป็นเถ้าถ่านแล้ว
“ที่นี่” หลังจากพลังวิญญาณจวนจะหมดสิ้นลงไปอีกครั้ง ฉินซีชี้นิ้วไปที่ช่องแตกเล็ก ๆ ระหว่างผนังผา ข้างในเป็นถ้ำภูเขาเล็กมากแห่งหนึ่ง เพื่อที่จะต้านทานกำแพงอาคมและวายุทิพย์ รวมถึงอัสนีบาตอันก่อตัวขึ้นจากพลังวิญญาณและปีศาจผสมผสานกัน พวกเขาต้องรักษาพลังวิญญาณเอาไว้อย่างเพียงพอ ตอนนี้พลังวิญญาณใกล้จะหมดสิ้นแล้ว จำเป็นต้องหาสถานที่ปรับลมหายใจฟื้นฟู
ทั้งสองคนฝ่าเข้าถ้ำภูเขาเล็ก ๆ นี้อย่างยากลำบาก เป่าปากโล่งอก
ช่องแตกของถ้ำภูเขานี้เล็กมาก ได้แค่เพียงเดินตะแคงข้างผ่านไป มีผนังผาขวางกั้นจึงไม่มีวายุทิพย์และกำแพงอาคมขนาดใหญ่ มีเพียงพลังวิญญาณและปราณปีศาจอ่อนแรง
เพียงแต่……มันเล็กเกินไปจริง ๆ แค่พอให้คนสองคนนั่งเคียงข้างติดกัน แทบจะขยับไม่ได้
โม่เทียนเกอรู้สึกอึดอัดมาก นางไม่คุ้นชินกับการมีคนอื่นมาอยู่ใกล้ ๆ เช่นนี้
เพิ่งอยากจะเอนตัวไปข้าง ๆ กลับได้ยินฉินซีเอ่ยว่า “อย่าขยับ รีบนั่งสมาธิฟื้นฟูพลังวิญญาณ”
“…….” โม่เทียนเกอรู้ว่าเขาพูดถูก ได้แต่ต้องทน นั่งขัดสมาธิ ปรับลมหายใจช้า ๆ นั่งสมาธิ
ผ่านไปพักหนึ่งพลังวิญญาณของนางฟื้นฟูในที่สุด ลืมตาทั้งคู่
ข้างนอกปราณปีศาจก้อนใหญ่ล่องลอย พอดีขวางปากทางของช่องแตก
ฉินซีปรับลมหายใจเสร็จแต่แรกแล้ว กำลังรอนาง ขณะนี้ตะลึงไป เอ่ยว่า “รอสักครู่ ปราณปีศาจนี้มากเกินไปแล้ว”
“อืม” ปราณปีศาจของภูเขามารเป็นสิ่งที่รุนแรงถึงสิบส่วน ให้พวกมันสัมผัสได้ถึงลมปราณของผู้ฝึกเซียนก็จะโถมเข้ามากลืนพวกเขา ปราณปีศาจนี้ส่วนมากแล้วเป็นสิ่งที่เหลือจากยุคปฐมกาลโบราณกาล ไหนเลยที่ผู้ฝึกเซียนคนใดจะสามารถต้านทานได้ ปราณปีศาจขนาดเล็กยังสามารถชะล้างให้ดับสูญ ก้อนใหญ่อย่างนี้นอกจากหลีกเลี่ยงก็ไม่มีหนทางอื่น
ปราณปีศาจนี้ขวางกั้นแสงที่เล็ดรอดเข้ามาในช่องแตก แล้วก็ขวางกั้นเสียงจากภายนอก ความมืด ความเงียบ เข้ามาครอบคลุม สายตาของผู้ฝึกตนย่อมไม่เหมือนกับปุถุชน ถึงจะไม่มีแสงสว่างแม้เศษเสี้ยว พวกเขาก็สามารถแยกแยะสิ่งของที่อยู่ตรงหน้าได้โดยคร่าว ๆ แต่ไม่มีแสงสว่าง ทุกสิ่งเบื้องหน้ายังพร่ามัวอีก ความพร่ามัวประเภทนี้ทำให้โม่เทียนเกอนั่งไม่เป็นสุข
เสียงหายใจแผ่วเบากระทบข้างหู ฟังอยู่สักพักคล้ายกับได้ยินเสียงหัวใจเต้นขึ้นมาอีก เริ่มแรกราบเรียบ ค่อย ๆ กลายเป็นเร่งร้อน นางกดทรวงอก พบว่าเป็นของตนเอง
ประหลาด นางเอียงศีรษะ แอบคิดลับ ๆ นางเพิ่งจะนั่งสมาธิเสร็จ ไม่น่าที่หัวใจจะเต้นเร็วอย่างนี้เลย!
ความหนักอึ้งนี้ก็คล้ายกับว่าจะส่งผลกระทบต่อฉินซีแล้ว เขาขยับตัว แขนถูเข้ากับแขนเสื้อของนาง
การสัมผัสที่คล้ายมีเหมือนไม่มีนี้ทำให้โม่เทียนเกอยิ่งไม่กล้าขยับเขยื้อน คล้ายกับว่า….ใกล้เกินไปแล้ว แม้แต่ลมหายใจยังผสมปนเปเข้าด้วยกัน
ความเงียบกันน่าอิหลักอิเหลื่อนี้ไม่ได้คงอยู่นานเกินไป จู่ ๆ ก็ได้ยินฉินซีเอ่ยปากขึ้นมาว่า “ปีนั้น….ข้ากับบิดาเจ้าก็บินขึ้นจากตรงนี้”
โม่เทียนเกอตะลึง หันศีรษะไป
ในความมืด ดวงตาทั้งคู่ของฉินซีแวววาวสว่างไสว พูดเสียงเบาว่า “ในเวลานั้น มีกำแพงอาคมใหญ่อันหนึ่งพังทลาย คนที่เหลืออยู่ในภูเขามารบาดเจ็บล้มตายไปเกินครึ่ง ข้ากับบิดาเจ้าเผอิญอยู่ที่นี่ หลบเลี่ยงภัยพิบัติ”
“ที่นี่….” โม่เทียนเกอพึมพำซ้ำ ๆ ยื่นมือออกมาสัมผัสผนังผาที่ข้างกาย บิดา…..ก็เคยนั่งอยู่ตรงนี้ สัมผัสหินเหล่านี้หรือ
“พวกเราซ่อนตัวอยู่เจ็ดวันเต็ม ๆ กำแพงอาคมจึงได้อยู่ตัวในที่สุด แต่ว่า…. พวกเราเดินไปตามเส้นทางเดิมกลับพบว่าออกไปไม่ได้แล้ว”
ทันใดนั้นโม่เทียนเกอก็คิดขึ้นมาว่า กำแพงอาคมของภูเขามารจะคงอยู่เพียงประมาณหนึ่งเดือน หากกำแพงอาคมปรากฏขึ้นอีกครั้ง เช่นนั้นก็จะออกไปไม่ได้แล้ว ทว่าอยู่ที่นี่ไม่รู้ว่าเมื่อใดกำแพงอาคมจึงจะสลายหายไปอีกครั้ง ในนี้สถานการณ์แปรผัน คนทั่วไปรอคอยภูเขามารเปิดอีกรอบไม่ไหว
“เช่นนั้น…..ท่านออกไปอย่างไร”
“ความลับอยู่ที่ข้างบน” ฉินซีพูด “มีสถานที่แห่งหนึ่ง พวกเขาเรียกมันว่าซากโบราณสถานเหล่าเซียน ตำนานคือเป็นสถานที่ซึ่งเหล่าเซียนสิ้นชีพฝังร่างลงตอนปฐมกาล เส้นทางที่นำไปสู่ซากโบราณสถานเหล่าเซียนยากเย็นแสนอันตราย ยุคสมัยที่ผ่านมาไม่รู้ว่ามีคนมากเท่าไหร่ตายลงบนเส้นทางนั้น แต่ว่าพวกเขาล้วนไม่รู้ว่าที่จริงแล้วมีทางลัดหนึ่งทาง ขึ้นไปบนยอดเขาว่านเริ่นนี้ก็จะเป็นข้างหลังของซากโบราณสถานเหล่าเซียน”
โม่เทียนเกอตะลึง เอ่ยว่า “ในซากโบราณสถานเหล่าเซียนมีเส้นทางออกสู่ภายนอกหรือ”
ฉินซีส่ายหน้า “พูดอย่างนี้ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว ภูมิประเทศในนั้นซับซ้อนมาก ใครก็ไม่รู้ว่าซากโบราณสถานเหล่าเซียนสรุปแล้วชี้ไปที่พื้นที่ไหน พวกเราถูกขังอยู่หลังภูเขามาร เสาะหาสถานที่มากมาย สุดท้ายพบว่าข้างบนนี้มีกำแพงอาคมตำแหน่งหนึ่งที่สามารถทำลายได้”
ฟังคำพูดนี้แล้ว โม่เทียนเกอคิดดู ยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่ “หากสามารถออกไปได้ มิใช่ว่าก็สามารถเข้ามาใหม่ได้หรือ เช่นนั้นมิใช่ว่าไม่ต้องรอกำแพงอาคมข้างนอกสลายไปแล้วหรอกหรือ”
ฉินซียิ้ม เอ่ยว่า “เจ้าคิดเรียบง่ายเกินไปแล้ว ตอนนั้นพวกเราเผชิญกับภัยอันตรายมากมาย ตอนที่หาพบสถานที่แห่งนั้นล้วนมีบาดแผลบนร่าง บาดแผลของบิดาเจ้าสาหัสเป็นพิเศษ แทบจะเอาชีวิตไม่รอด รอจนโอสถของพวกเราค่อย ๆ กินจนหมด บาดแผลของเขาก็ยังไม่หายดี……” เขาหยุดชะงักไปแล้วพูดต่อว่า “บาดแผลของข้าเล็กน้อย นับว่าไม่มีปัญหาใหญ่ แต่ถึงจะพบกำแพงอาคมตำแหน่งนั้นที่ค่อยข้างจะอ่อนแอ พวกเราก็ไม่มีระดับการฝึกตนเพียงพอ ตามการคำนวณของข้า อย่างน้อยต้องมีระดับการฝึกตนจิตวิญญาณใหม่จึงจะสามารถ อีกอย่าง กำแพงอาคมของภูเขามารพิเศษเป็นอย่างยิ่ง หากมิใช่เพราะอ่อนแรงลงจากกำลังข้างใน ถึงจะถูกทำลาย กำแพงอาคมก็จะฟื้นฟูตัวเอง ข้าก็เคยคิดเช่นนี้ แต่หลังจากออกไปก็พบว่ากำแพงอาคมภายในดูอ่อนแออยู่บ้าง หากเป็นภายนอกกลับแข็งแกร่งกว่ามาก”
“เช่นนั้น….ภายหลังเกิดอะไรขึ้น”
“วิชาที่ข้าฝึกฝนมีชื่อเรียกว่าวิชาสังสารวัฏสามวิญญาณ์ สามวิญญาณ์คือปราณของสุดหยาง สุดอิน เป็นกลางสามวิญญาณ์ ความหมายของสังสารวัฏกลับเป็นศาสตร์ลับประเภทหนึ่ง” ฉินซีพูดช้า ๆ “หากสามารถดูดซับพลังวิญญาณอย่างเพียงพอ ข้าจะสามารถทะลุระดับชั้นได้ชั่วคราวไปถึงระดับการฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ แต่ระดับจิตวิญญาณใหม่ประเภทนี้เป็นเพียงภาพลวง เพียงสามารถคงอยู่ได้ในระยะเวลาที่สั้นมาก ผลที่ตามมาภายหลังยิ่งร้ายแรง จะทำให้ข้าถอยไปถึงระดับหลอมรวมพลังวิญญาณในพริบตา”
“……..” ที่แท้เป็นเช่นนี้ โม่เทียนเกอรู้แจ้งทันควัน มิน่าเล่าบิดาสามารถช่วยเหลือเขาไปจากภูเขามาร มิน่าเล่าเขาจึงสูญเสียพลังปราณมากมายแล้วกลายเป็นศิษย์ระดับหลอมรวมพลังวิญญาณ ตอนอยู่สำนักอวิ๋นอู้เกรงว่าเขาตกไปถึงระดับหลอมรวมพลังวิญญาณจริง ๆ กระมัง
ฉินซีพูดต่อว่า “บิดาเจ้าทราบเรื่องนี้ คิดอยู่สองวัน บอกกับข้าว่า อาการบาดเจ็บของเขาอย่างไรก็ไม่หายแล้ว เช่นนี้แล้วเขายินดีจะใช้พลังปราณทั้งร่างช่วยข้าหลุดจากการกุมขัง แต่ข้าต้องสัญญากับเขาว่าจะดูแลทายาทแทนเขา ข้าตกลง อีกทั้งสาบานด้วยคำสัตย์หัวใจมาร” ในความมืด สายตาของเขากวาดมองมา เอ่ยเสียงแผ่วว่า “ในเวลานั้น เดิมทีข้ามิได้ใส่ใจเลย แค่เรื่องราวเล็ก ๆ หนึ่งเรื่อง แต่ว่า…..ข้ากลับคาดไม่ถึงว่า จะเป็นเจ้า…..”
คำพูดของเขาเพียงพูดถึงตรงนี้ แต่กลับเพียงพอจะทำให้คนจินตนาการไปวุ่นวาย จะเป็นนาง….อะไร? คำพูดนี้ของเขาสรุปว่ามีความหมายอะไร
ความมืดและความเงียบทำให้นางเกือบจะโผล่งถามออกไปแล้ว แต่ในพริบตาถัดมา ปราณปีศาจก้อนนั้นก็ค่อย ๆ กระจัดกระจายออกไป แสงสว่างทิ่มแทงเข้ามาใหม่อีกครั้ง
เขาหันหน้าไป น้ำเสียงกลับสู่ความเรียบเย็น “เอาล่ะ พวกเราไปต่อเถอะ”
…………………………………
คิดไม่ถึงเลยจ้าว่าจะเป็นน้อง ส่วนอิน้องก็ยังหน้ามึนต่อไป อิพี่หยอดอ้อมซะไกลอย่างนี้เมื่อไหร่มันจะรู้เรื่องกันวะคะ 5555
ตอนที่ 281 – อินทรียักษ์