หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 283 – ระบาย
ตอนที่ 283 – ระบาย
นางต้องกำลังฝันไป ไม่แน่ว่าพอตื่นขึ้นมาจะพบว่าตนเองฝึกตนอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนแล้วเผลอหลับไป
แต่ว่า ฝึกตนแล้วจะเผลอหลับหรือ ในฐานะผู้ฝึกตนก่อเกิดตานคนหนึ่ง ฝึกตนแล้วจะเผลอหลับหรือ?!
เช่นนั้นก็เป็นห้วงมายา ต้องเป็นห้วงมายา…..
สะกดจิตตัวเองอยู่เป็นนาน แต่ลืมตาขึ้นมา สิ่งที่เห็นยังเป็นผนังหิน รวมทั้งใบหน้านั้น
นางไม่ได้ฝันไป
นางจึงพังทลายแล้ว ออกแรงผลักคนคนนี้ที่อยู่ข้างกาย ไม่สนเสียงที่เขากระแทกใส่ผนังหิน ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน กระแทกนิดกระแทกหน่อยก็ไม่ตายหรอก ควานหาสิ่งของข้างกายคิดจะขวางใส่เขา แต่รอบบริเวณโล่งโจ้ง ไหนเลยจะมีสิ่งของ? นางล้วงมือเข้ากระเป๋าเอกภพ ไม่สนว่าคว้าอะไรได้ก็ล้วนขว้างออกไป
“เทียนเกอ!”
นางไม่หยุด ยังคงหยิบสิ่งของแล้วขวางออกไปอย่างไม่คิดชีวิต ถ้าไม่ขวางนางคงทนไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว
“อึก!” ข้างหูได้ยินเสียงเจ็บปวดต่ำ ๆ นางจึงได้หยุดลง หอบหายใจมองดูคนที่ผลักอย่างไรก็ยังอยู่ใกล้แค่เอื้อม
พอเห็นนางหยุดลง ฉินซีก็ลดแขนเสื้อที่ปิดบังใบหน้า พูดอย่างจนใจว่า “ข้า….กระแทกถูกบาดแผลแล้ว”
โม่เทียนเกอสงบลงมาหน่อย แล้วจึงคิดถึงบาดแผลเลือดเนื้อเลอะเลือนบนหลังของเขาที่ยังไม่ได้ดูแลขึ้นมาอีก นางสีหน้าเย็นชา เอ่ยว่า “หันไป”
“…..” ชะงักไป เสื้อผ้าเสียดสี เขาหันร่างไปอย่างเชื่อฟัง
“ถอดเสื้อผ้า!”
ถึงแม้จะรู้ว่าความหมายที่นางพูดประโยคนี้คือให้ถอดมารักษาบาดแผล แต่ฉินซียังอดไม่ได้ที่จะคิดลึก จากนั้นปลดเข็มขัด ถอดชุดชั้นนอก
เบื้องหลัง โม่เทียนเกอดึงชุดชั้นนอกของเขาออกหมดอย่างหยาบคายมาก อาศัยแสงตามธรรมชาติที่สลัว ๆ มองดูบาดแผลของเขา
กรงเล็บของอินทรีหัวยักษ์นั้นแหลมคมถึงสิบส่วน การข่วนนี้สร้างบาดแผลบนแผ่นหลังที่ลึกยิ่ง เมื่อครู่ก็กระแทกถูกผนังหินอีก เลือดที่เดิมทีแข็งตัวไปแล้วไหลซึมอีกครั้ง
โม่เทียนเกอล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเอกภพ คุ้ยไปคุ้ยมาก็ยังหาสิ่งของที่ตนเองต้องหารไม่เจอ เมื่อคิดได้ว่าเมื่อครู่ขว้างขวดใส่โอสถไปมากมายก็ได้แต่ก้มหน้าลงค้นหารอบบริเวณ ในที่สุดก็หาขวดหยกใบหนึ่งพบอย่างยากเย็น แกะจุกขวดออก เทยาน้ำเย็นเยียบลงกลางฝ่ามือแล้วตบลงไปบนบาดแผลของเขาตรง ๆ ด้วยจิตใจอยากแก้แค้น
เขาไม่ได้ร้องออกมา แต่กล้ามเนื้อใกล้บาดแผลถูกกระตุ้นจนสั่นระริก ทำให้นางได้รับความสุขของการแก้แค้น
แก้แค้นนี้ไปแล้วอารมณ์ก็ดีมาก ลำดับถัดไปใช้ยาน้ำชะล้างบาดแผลของเขาอย่างระเอียด โรยยาผงลงไปอีก ร่ายเวทเล็กรักษาแผล ทำให้บาดแผลดูไปไม่น่ากลัวขนาดนั้นแล้ว สุดท้ายใช้กระบี่บินเล็ก ๆ ตัดชุดที่เขาถอดออกมา หยิบมาพันบาดแผล
ทำทุกสิ่งนี้เสร็จ โม่เทียนเกอรู้สึกว่าไม่ถูกต้องอีกแล้ว
พื้นที่คับแคบ บุรุษกึ่งเปลือยอยู่ข้างกาย แถมก่อนหน้านี้ไม่นานบุรุษผู้นี้ยังทำเรื่องอย่างนั้นกับนางด้วย!
ดังนั้นนางคิดแล้วพูดว่า “ใส่เสื้อผ้า!”
เขาแตะจมูก หันข้างไปพูดอย่างผู้บริสุทธิ์ว่า “เสื้อผ้าถูกเจ้าฉีกไปแล้ว”
“…….” โม่เทียนเกอชะงักไป ไฟโกรธแค้นอดลุกโชนขึ้นมาอีกไม่ได้ แต่พอคิดถึงบาดแผลของเขาก็ฝืนกลืนความโกรธนี้ลงไป เอ่ยเสียงต่ำอย่างโมโหว่า “ท่านมีอยู่ชุดเดียวหรือ”
แน่นอนว่าไม่มีทาง พวกเขามิใช่ปุถุชน กระเป๋าเอกภพสามารถบรรจุสิ่งของได้มากมายขนาดนั้น จะไม่ใส่เสื้อผ้าลงไปสักหลายชุดได้อย่างไร
ฉินซีขยับ คลำหาเสื้อผ้าออกมาจากกระเป๋าเอกภพ จากนั้นพูดว่า “แต่เจ้ามัดจนเป็นอย่างนี้ ข้าใส่ไม่ได้……”
“…….” โม่เทียนเกอถลึงตาใส่เขา “ให้ข้า!”
ฉวยเสื้อผ้าของเขามาสวมให้เขาอย่างหยาบคายอยู่บ้าง ผิวเนื้อเปลือยเปล่าถูกสัมผัสโดยไม่ได้ตั้งใจอยู่ตลอด เริ่มแรกในใจนางเต็มไปด้วยเปลวเพลิงไร้นาม เต็มไปด้วยจิตใจโกรธแค้น ถึงท้ายที่สุดกลับกลายเป็นความอิหลักอิเหลื่อ
มีชีวิตอยู่แปดสิบกว่าปี อายุในปัจจุบันนี้ถ้าเป็นปุถุชนก็คือยายเฒ่าแล้ว แต่นางกลับเป็นผู้ฝึกตนที่ก้มหน้าก้มตาฝึกหนัก ไม่เคยประสบกับเรื่องอย่างนี้เลย คิดย้อนแปดสิบกว่าปีที่ผ่านมา มีแค่ตอนเป็นเด็กที่มักจะได้เห็นเด็กผู้ชายพวกนั้นว่ายน้ำในแม่น้ำข้างหมู่บ้าน แต่ว่าพวกนั้นล้วนเป็นเด็กน้อย…….
โชคดีที่ขั้นตอนนี้ไม่ได้ยาวนานเลย เสื้อผ้าของเขาสวมใส่เสร็จอย่างรวดเร็ว สุดท้ายใส่เข็มขัด
“เสร็จแล้ว!” นางพูด อยากจะถอยไป
แต่พริตาถัดมาเอวก็ถูกคนจับเอาไว้ หนีไม่พ้นต้องล้มลงไปข้างหน้าทันที พอดีถูกเขากอดเอาไว้เต็มอ้อมแขน
นางดิ้นรนจะลุกขึ้น แขนของเขากลับรัดแน่นเข้ามา ทำให้การดิ้นรนของนางไร้ที่ทางให้ออกแรงโดยสิ้นเชิง เขาสูงกว่านางหนึ่งช่วงศีรษะเต็ม ๆ กอดมาอย่างนี้ นางแม้แต่ศีรษะก็ดิ้นรนให้เงยขึ้นไม่ได้ ทั้งตัวฝังอยู่ในอ้อมกอดของเขา ความโกรธที่เดิมจางหายไปแล้วปะทุขึ้นอีกครั้ง นางจึงอ้าปากงับหน้าอกของเขาอย่างรุนแรง
การกัดอย่างนี้เพียงแค่เรียกเสียงหายใจแรง ๆ จากเขาคำเดียว นางจึงไม่กัดต่อ อ้าปากออกมา น้ำตาที่เคยนึกว่าไม่มีอีกต่อไปหยดลงมาทีละเล็กละน้อย
สรุปว่านี่มันเรื่องอะไรกัน สรุปว่าเขาคิดจะทำอะไร บางทีก็เฉยชาต่อนางขนาดนั้น บางทีก็เป็นอย่างนี้อีก! ดีจนนางอดไม่ได้ที่จะเข้าใจผิดตลอด ถ้อยคำกลับทำให้คนเย็นยะเยือก พักหนึ่งเป็นฉินซี อีกพักหนึ่งเป็นฉินโส่วจิ้ง…… นางยอมรับว่าเขาเป็นฉินโส่วจิ้ง เอาความรู้สึกที่มีต่อฉินซีนั้นฝังอยู่ในห้วงลึกของจิตใจ แต่ในฐานะฉินโส่วจิ้งเขากลับ…..
“ฉินโส่วจิ้ง สรุปว่าท่านจะเอาอย่างไรกันแน่” นางเช็ดน้ำตาที่หยดลงมาก ให้ตนเองเอ่ยถามออกมาอย่างสงบนิ่ง “ท่านมิใช่พูดว่าไม่ได้หวังครอบครองข้าหรอกหรือ ตอนนี้คืออะไร”
เขาเงียบไปนานมาก มือกลับอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย ผ่านไปพักหนึ่งจึงกล่าวช้า ๆ ว่า “ข้า….ข้าอยากถามเจ้า คำพูดนั้นของเจ้าหมายความว่าอะไร” เขาดึงเอวนางเข้ามา ช้อนศีรษะของนางขึ้น ไม่ยอมให้นางหลบหนีสักนิด “ข้าคือฉินซี แล้วก็เป็นฉินโส่วจิ้ง ความหมายตรงไหนที่ไม่เหมือนกัน”
“……”
“ทำไมไม่พูด” เขาถามย้ำ “ข้ายุติการกักตนเพื่อเจ้า ออกไปหายาข้างนอกเพื่อเจ้า สุดท้ายเกือบจะเสียไปครึ่งชีวิต เพราะอะไรเจ้ากลับมอบประโยคอย่างนั้นให้ข้า”
“……”
“ไม่ตอบหรือ” ริมฝีปากของเขากดลงมา อ้าปากกัดของนาง ทีละนิด ๆ คล้ายจุมพิตคล้ายกัด จากนั้นถามลอดไรฟันของนางว่า “ข้าจะเอาอย่างไร เจ้าทำไมไม่ถาม เจ้าอยากให้ข้าเอาอย่างไร”
“ข้า….” ครั้งนี้กลับเป็นเขาที่ไม่ให้นางตอบ เอวถูกเขารัดแน่น มิใช่จุมพิตประเล้าประโลมทีละนิดอย่างเมื่อครู่ ทว่าแทบจะเป็นการขบเคี้ยวและกลืนกิน
เขาไม่เคยรู้เลยว่าตนเองเป็นคนที่รุนแรงอย่างนี้ แต่ในขณะนี้ จิตส่วนลึกของเขาเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะทำลายนาง ไม่อยากให้นางหนีไป ไม่อยากให้นางพูดคำพูดที่ทำร้ายคนพวกนั้น ไม่อยากเห็นแววตาเหินห่างของนาง จะขังนางไว้ข้างกาย ให้นางไม่สามารถขยับเขยื้อน แล้วก็ไม่มีทางใช้แววตาที่คล้ายจะไม่ตั้งใจแต่เมินเฉยอย่างนั้นมาทำร้ายเขา
ชุดเครื่องแบบของโรงเรียนตามหลักแล้วฉีกไม่ขาด แต่ไม่รู้ว่าเขาใช้วิชาอะไร แทบจะถูกฉีกขาดไปทั้งตัว พื้นที่คับแคบ แม้แต่ดิ้นรนยังทำไม่ได้ อีกอย่างเขาใช้แรงรัดเอวของนางกำข้อมือของนางเสียแน่นขนาดนั้น
มือเย็น ๆ สำรวจเข้าไปจากชายเสื้อ ลูบไปตลอดทางจนสุดท้ายจับผิวหนังอันเรียบลื่น พาให้คนเจ็บปวดไม่สบาย แต่ดันพูดออกมาไม่ได้ จุมพิตของเขาไม่เคยหยุดลงเลย
ลมหายใจปั่นป่วน พื้นที่เล็กแคบ ชักนำความรู้สึกอึดอัดรัดรึง ความเร่าร้อนอันมาอย่างกะทันหันคล้ายกับเปลวไฟที่ลุกโชนขึ้นมา แล้วก็คล้ายกับสายน้ำที่พวกเขาดำดิ่งลงไป
โม่เทียนเกอดิ้นรนจะผุดขึ้นมาจากในสายน้ำประเภทนี้ ถึงแม้ความรู้สึกเช่นนี้จะทำให้คนลุ่มหลง แต่นางกลับรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าควรจะหยุด ดังนั้นมือที่ดิ้นหลุดได้ในที่สุดจึงสะบัดออกไปแรง ๆ ตบใส่หน้าเขาดัง “เพี๊ยะ”
ความสงบ ความเงียบ
“ปล่อยข้า” นางกดน้ำเสียงพูดขึ้นมา
ฉินซีเงียบไปนานมาก สุดท้ายยังคงปล่อย “ขอโทษ”
คำขอโทษของเขากลับทำให้โม่เทียนเกอระงับอารมณ์ไม่อยู่แล้ว นางคว้าคอเสื้อของเขาอย่างกะทันหัน รั้งเขาแน่นแทบตาย “ขอโทษอะไร ท่านรู้สึกว่าท่านมีอะไรที่ต้องขอโทษ”
“ข้าขอโทษสำหรับการกระทำของข้า” น้ำเสียงของเขากลับคืนสู้ความสงบนิ่งในที่สุด ถัดไปกลับเอ่ยว่า “แต่สิ่งที่ข้าพูดไม่มีคำหลอกลวง ข้าไม่ต้องขอโทษเพื่อสิ่งนี้”
“…….”
เขาพูดต่อว่า “ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ สรุปว่าเจ้าเป็นสตรีเยี่ยงไรกันแน่ ปกติคล้ายบุรุษที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าความรู้สึกกลับขี้ขลาดหดหัว แล้วยังทำเรื่องที่ทำร้ายคนพูดคำพูดที่ทำร้ายคนตลอดเลย”
“ข้าก็ไม่รู้ว่าท่านเป็นบุรุษเยี่ยงไร เดี๋ยวพูดอย่างนี้ เดี๋ยวทำอย่างนั้น!” โม่เทียนเกอถูกคำพูดของเขาพัดจนไฟแค้นลุกโหมจนแทบจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่ “ท่านบอกว่าท่านทำเพื่อข้าหรือ แต่สามสิบกว่าปี ท่านหลบเลี่ยงไม่ยอมพบ ไม่เคยคิดที่จะสารภาพตัวตนของท่านออกมาให้ข้าฟัง ถึงแม้ข้ารู้แล้ว ท่านก็ไม่มีคำอธิบายอันใด! ใช่ ข้ารู้แต่แรกว่าท่านคือฉินโส่วจิ้ง ข้าก็มิได้ใส่ใจต่อการหลอกลวงอะไร แต่ท่านสักคำก็ไม่มีให้ คือไม่เห็นค่ากันเลยใช่หรือไม่ คือรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายเลยสักนิดใช่หรือไม่”
“ข้า…..”
“ไม่อนญาตให้ท่านพูด!” นางพ่นลมหายใจออกมา ผลักเขาไปข้างหลัง กำคอเสื้อของเขาต่อไป “ปีนั้น ท่านรู้ดีว่าข้าแอบเกิดความชอบพอต่อฉินซือเกอ ท่านรักษาระยะห่าง ข้าไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นข้าก็ไม่หลงละเมอ ข้าก็เป็นผู้ฝึกตน ข้าก็อยากเดินบนมหามรรคาเซียน ความรู้สึกอะไรข้าก็สามารถควบคุมได้ อดทนได้ แต่ว่า แต่ว่า….. ท่านเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ตลอด เวลาทีดีก็ดีต่อข้าถึงขีดสุด ผ่านไปพักหนึ่งก็หลบเลี่ยงไม่ยอมพบ การก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจท่านไปช่วยชีวิตข้า ข้ารู้หรือไม่ว่าข้ามีความซาบซึ้งเพียงไร ข้าคิดว่าท่านจะมีความรู้สึกชอบพอข้านิด ๆ แล้วใช่หรือไม่ ข้าจะสามารถคาดหวังสักหน่อยได้หรือไม่ แต่ว่าพอออกมา ท่านก็ใช้ทัศนคติเช่นนั้นต่อข้า ใช่ ข้ารู้ ระดับการฝึกตนของข้าห่างจากท่านมากเกินไป สำหรับท่านข้าเป็นเพียงผู้ฝึกตนเล็ก ๆ ไม่มีค่าให้ท่านมองสักแวบ แต่ถ้าท่านไม่เห็นหัวข้า เพราะอะไรถึงได้ใส่ใจข้าขนาดนั้นอ่อนโยนขนาดนั้นอีกเล่า!”
นางก้มหน้าลง ควบคุมมุมปากที่สั่นเทาของตนเอง ได้แต่ทำเช่นนี้ไม่ให้เขาเห็น “ข้าเดาว่าท่านก็คือฉินโส่วจิ้ง ข้ารู้ว่าตนเองขี้ระแวงมาก แต่ข้าก็รู้ว่าหากท่านมีเจตนาเลวร้ายอะไรก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติต่อข้าเช่นนั้นเลย ดังนั้นข้าบอกกับตัวเองว่าบางทีท่านอาจจะมีเหตุผลของท่าน ในเมื่อท่านไม่พูด ข้าก็ยังจะถือว่าท่านคือฉินซือเกอ ยังคงปฏิบัติต่อท่านเหมือนแต่ก่อน แต่ผลลัพธ์เล่า การก่อจลาจลของสัตว์ปีศาจยุติ ข้าเก็บชีวิตกลับคืนมา ได้พบท่านอีกครั้งอย่างไม่ง่ายดายเลย ท่านกลับทำเป็นไม่เห็นข้า! ท่านดูแคลนข้า!”
“ข้ามิได้ดูแคลนเจ้านะ ข้าไม่เคยพูดเลยว่า……”
“แต่ทัศนคติของท่านก็คืออย่างนี้!” นางใช้เสียงที่ดังกว่าหยุดเขา “เห็นข้าเดินไปหาท่าน ท่านกลับมองก็ไม่มอง หมุนตัวเดินไปแล้ว! ใช่ ระดับการฝึกตนของข้าแย่มาก ข้ากลายเป็นซือเม่ยของท่านทำให้ท่านเสียหน้ามากหรือ แต่เริ่มแรกเป็นท่านที่ให้ซือฟุรับข้าเป็นศิษย์นะ!”
“ไม่ใช่……”
“อย่าปฏิเสธ!” นางพูดเสียงดัง ถึงขนาดที่สติแตกอยู่บ้าง “เวลานั้นข้าก็เข้าใจแล้ว ท่านมิใช่ฉินซือเกอ ท่านคือฉินโส่วจิ้ง ‘ผู้อาวุโส’ ที่เมตตาต่อข้าแต่กลับอยู่ห่างจากข้านับหมื่นแม่น้ำพันขุนเขาอันแสนสูงส่ง!”
“เจ้า…..”
“ท่านบอกว่าข้าทำร้ายคนหรือ ฉินโส่วจิ้ง อาจารย์เต๋าโส่วจิ้ง โส่วจิ้งซือเกอ ท่านอาศัยอะไรมานึกว่าท่านตอนที่ไม่ชอบก็สามารถหันหน้าไปแต่พอท่านนึกอยากขึ้นมาก็สามารถหันหน้ากลับมาเห็นข้าได้เลยกันหรือ ข้าอยากจะถามหน่อยว่าท่านเห็นข้าเป็นอะไร เดี๋ยวก็เย็นชาไร้อารมณ์ เดี๋ยวก็อบอุ่นอ่อนโยน! เวลานั้นท่านหันหลังไปเลย สามสิบห้าปีหลบเลี่ยงไม่ยอมพบ ท่านจะให้ข้าคิดอย่างไร ข้าไม่อยากจะคิดว่าความรักได้รับการตอบสนองอีกแล้ว!”
…………………………………
ในที่สุดก็เปิดปากกันจนได้สักที จากที่เข้าใจผิดนี่สองร้อยตอนได้แล้วมั้งน่ะ
ช่วงต้นตอนแปลได้ค่อนข้างช้า แต่ท้ายตอนนี่พิมพ์รัว ๆ เลยค่ะ น้องด่าอิพี่มันมาก 10/10
ส่วนตอนหน้าก็ถึงคราวของพี่ฉินซีบ้างแล้วค่ะ