หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 285 – คนโง่สองคน
ตอนที่ 285 – คนโง่สองคน
ฉินซีตะลึง คว้ามือของนางกลับ “อะไรคือบอกว่าข้าถูกหลอก”
โม่เทียนเกอยิ้มเย็น “เจ้าคนแก่แต่ตัวสองคนนั่น ตอนนั้นที่พวกเขาจากไปไม่ได้คิดที่จะมาเจอข้าอีกเลย ที่ท่านพูดว่าเตาหลอมอะไรนั่น…..จะเป็นไปได้อย่างไร!”
“…….” ถ้าหากผู้เฒ่าสองคนนั้นไม่ได้เตรียมจะกลับมาอีก เช่นนั้นก็ไม่มีทางจับเขาไปเป็นเตาหลอมให้เทียนเกอแล้ว…..
พอเข้าใจจุดนี้ ฉินซีก็แข็งเป็นหินไปทั้งตัว
นั่นนั่นนั่น……หลายปีขนาดนี้ สรุปว่าเขาทำไปเพื่ออะไร?!
“เจ้าแน่ใจหรือ” เขากังขา “พวกเขาไม่ได้เตรียมจะกลับมาจริง ๆ หรือ”
“ข้าแน่ใจ แน่ใจเต็มที่!” โม่เทียนเกอพูดอย่าโกรธ ๆ “เวลานั้นข้าเพิ่งจะสร้างฐานพลัง ผู้ฝึกตนแปลงเทพอย่างพวกเขากักตัวกันเล่น ๆ ก็เป็นพันปีแล้ว ใครจะรู้ว่าตอนที่กลับมาข้ายังจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ มีแต่คนโง่เง่าอย่างท่านถึงเชื่อ!”
“…..” ฉินซีคิด ๆ ดู กลับรู้สึกไม่ถูกต้อง “แต่ว่า….. ถ้าเป็นเช่นนี้ พวกเขาจะเปลี่ยนร่างของข้าเพื่อเหตุใด”
โม่เทียนเกอยิ้มเย็นต่อไป “คนเขาเป็นผู้ฝึกตนแปลงเทพ ว่างจัดรู้สึกเบื่อเลยมาล้อผู้ฝึกตนเล็ก ๆ เล่นไม่ได้หรือ ยังจะบอกว่าข้าขี้ระแวง คนอื่นเขาก็ให้ประโยชน์กับท่านแต่หลอกท่านอย่างไม่เปลืองแรงนะ!”
“….” ก็ได้ เขาถูกหลอกได้สำเร็จแล้ว แถมยังถูกหลอกมาหลายสิบปี ทุกข์ทรมานมาหลายสิบปี ตาเฒ่าสองคนนั้นถ้ารู้เข้าจะต้องภูมิใจมากแน่ ๆ …..
แปลงเทพมาแล้วหลายพันปี พวกเขาเลยเบื่อจนบ้าไปแล้วใช่หรือไม่ เห็นชัด ๆ ว่าให้ผลประโยชน์แก่เขา กลับแกล้งทำท่าว่าวางแผนต่อเขา ไม่ต้องการความสำนึกขอบคุณของเขา กลับอยากให้เขารังเกียจ
เขาเสียเวลาไปหลายสิบปี ว้าวุ่นอยู่กับเรื่องราวประเภทนี้ สรุปว่าทำอะไรอยู่?!
พอเข้าใจจุดนี้ชัดเจนแล้ว ทั้งสองคนล้วนเงียบงันไป คนหนึ่งพูดไม่ออกบอกไม่ถูก คนหนึ่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เนิ่นนานให้หลังจึงได้ยินเสียงของฉินซี “เทียนเกอ”
“อะไร” นางจ้องเขาอย่างดุดัน
“เจ้า….แค่ก ๆ!”
“เจ้าอะไร มีคำพูดก็ยังไม่พูดอีกหรือ”
ฉินซีไม่พูดแล้ว ทว่าเอื้อมมือออกไปดึงชุดคลุมหนึ่งตัวที่เพิ่งจะโยนทิ้งไปมั่ว ๆ มาคลุมบนตัวนาง แล้วยังห่ออย่างตั้งใจ
โม่เทียนเกอเดิมยังไม่รู้ว่าเขาทำอะไร พอเห็นการกระทำของเขาจู่ ๆ ก็พบว่าเสื้อผ้าของตนเองไม่เรียบร้อย ปกเสื้อทั้งผืนถูกฉีกขาด ชั้นในโผล่รำไร…. ตบมือของเขาออกไปทันที ห่อตัวเองขดเป็นก้อนกลม
“……” ไม่ทราบว่าความรู้สึกอย่างนี้ใช่เรียกว่ายังไม่เต็มอิ่มใช่หรือไม่ แต่เขาแน่ใจว่าตนเองผิดหวังมาก รู้แต่แรกก็ไม่เตือนนางแล้ว…..
“มองอะไร!”
“…..” เขายิ้มแล้วเอนเข้าไปใกล้ พูดเสียงเบาว่า “เจ้าหน้าแดงแล้ว”
โม่เทียนเกออึ้งไป มือข้างหนึ่งกำชุดชั้นนอก มือข้างหนึ่งคลำหาสิ่งของอะไรสักอย่างส่ง ๆ ไปทุบเขาอีก
“เทียนเกอ!” ถึงเขาจะเป็นผู้ฝึกตน ทุบไปก็ไม่ตาย แต่ว่า…..นางก็รุนแรงเกินไปแล้วนะ เมื่อก่อนทำไมไม่เห็นค้นพบเลยว่านางเป็นคนเช่นนี้
ถูกทุบหนักเข้าฉินซีก็ทนไม่ไหวแล้ว คว้ามือทั้งคู่ของนางกดแน่นในอ้อมแขน “อย่าขยับมั่วสิ หรือว่าเจ้ายังอยากจะทุบข้าให้ตาย”
“ทุบท่านให้ตายสิดี!” โม่เทียนเกอดิ้นรน “ถ้ารำคาญนักท่านก็ตายให้ข้าดูหน่อย!”
“เจ้า…..” นี่มันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!
“ข้าอะไร ฉินโส่วจิ้ง ท่านปล่อยข้านะ เรื่องในวันนี้ท่านทำเกินไปแล้ว”
“ข้า…..” ก็ได้ เกินเลยไปหน่อย แต่ว่า ถ้าไม่ได้ยืนยันจิตใจของนาง เขาก็จะไม่…..
“ท่านจะปล่อยไม่ปล่อย?!” ดิ้นไม่หลุด ไฟโกรธของนางยิ่งมายิ่งใหญ่โต ออกแรงผลักเขา
การผลักนี้ผลักเขาออกไปได้ แต่เขาถูกนางผลักจนกระแทกผนังหิน ครางออกมาคำหนึ่งทันที จากนั้นนิ่งไปไม่ขยับ
นางดิ้นหลุดแล้ว พอเห็นท่าทางเหงื่อเย็นไหลซึมของเขาก็อดถามมิได้ว่า “ทำไมหรือ”
ผ่านไปพักใหญ่เขาจึงเผยรอยยิ้มฝืน ๆ คิดจะยกมือแต่กลับยกไม่ขึ้น ได้แต่ขมวดคิ้วพูดว่า “แผ่นหลัง…..”
แผ่นหลังของเขามีแผล! คิดถึงตรงนี้แล้ว โม่เทียนเกอก็เสียใจภายหลังอยู่บ้าง แต่สายเกินไปแล้ว ได้แต่ถามว่า “ขยับได้หรือไม่”
เขาส่ายหน้า “รอครู่หนึ่ง” เหงื่อเย็นไหลซึมรอไปครู่หนึ่งแล้ว ความเจ็บปวดก็คล้ายจะจางลงไปบ้าง เขาจึงขยับร่างกาย หันหลังออกมา
โม่เทียนเกอเห็นแผ่นหลังชุดชั้นนอกที่เปลี่ยนใหม่ของเขามีเลือดซึมอีกแล้ว จิตใจสั่นไหว มองไปที่ผนังหินอีกทีก็เปื้อนรอยเลือดมากมาย เห็นได้ชัดว่าการผลักเมื่อครู่นี้ของนางผลักจนบาดแผลของเขาเปิดขึ้นมาเลย
“ถอดเสื้อ” นางพูดหลังจากผ่านไปพักหนึ่ง
ฉินซีฟังแล้วก็จะปลดเข็มขัด แต่มือสั่นอยู่ครึ่งค่อนวันก็ยกไม่ขึ้น ได้แต่มองนางอย่างจนใจพูดว่า “เจ็บเกินไป มือขยับหน่อยยังเจ็บมากเลย”
“……” ชะงักไปพักหนึ่งแล้วโม่เทียนเกอจึงได้ขยับมาข้างหน้า ก้มศีรษะลงปลดเข็มขัดเขา ครั้งนี้ราบรื่นขึ้นมาก แต่กลับอิหลักอิเหลื่อยิ่งกว่าอีก เดิมทีในตอนนั้นนางเพียงคิดจะรักษาบาดแผล ไม่ได้คิดเป็นอื่นเลย คราวนี้ จุมพิตก็จุมพิตไปแล้ว กอดก็กอดไปแล้ว….
ก้มหน้าลงไม่กล้ามองหน้าเขาโดยสิ้นเชิง จนกระทั่งตอนที่เขาถอดเสื้อออกจากแผ่นหลัง ไม่กังวลว่าจะถูกเขาเห็นหน้าจึงได้ผ่อนลมหายใจออกมา จากนั้นตั้งสมาธิรักษาบาดแผลให้เขาอีกครั้ง
แก้ผ้าพันแผลที่เดิมที่รัดแน่น ปากแผลเปิดอีกแล้วตามคาด ยังคงรักษาแล้วพันให้เหมือนเดิม เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาต่อ กระบวนการนี้นางก้มหน้าทำโดยไม่ปริปากสักคำ
รอจนเรื่องทั้งหมดเสร็จสิ้นลงไปแล้ว นางจึงแกล้งทำเป็นจัดระเบียบขวดยาที่ถูกตนเองโยนไปทั่วในถ้ำ
“แค่ก ๆ!” แต่เขาดันไม่ยอมอยู่อย่างสงบ คิดจะดึงดูดความสนใจของนาง
“ทำอะไร ถ้ายังอยากให้แผลหายก็ให้ข้าอยู่สงบ ๆ หน่อย!”
“ข้าไม่….” ข้าพูดสองคำ จากนั้นดึงมือของนางประจบ “เมื่อครู่ยังพูดไม่จบเลย!”
“ท่านยังคิดจะพูดอะไร”
“อืม…..” พอถูกขัดว่าก็ไม่รู้ว่าจะพูดจากตรงไหน เขาลังเลเป็นครึ่งค่อนวัน สุดท้ายพูดว่า “สรุปคือ สามสิบห้าปีนั้นเพียงเป็นข้าที่คิดไม่ได้เอง ดังนั้น….”
“ภายหลัง เจ้ากลับมาในที่สุด เข้าม่านพลังหมื่นปรัชญาแห่งธรรมชาติ ผลกลับได้รับบาดเจ็บที่ห้วงมหรรณพแห่งความรู้….ตอนนั้นข้าจึงตระหนักว่า ไม่ว่าผู้อาวุโสแปลงเทพสองท่านนั้นจะพูดอะไร ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้ามันคงอยู่เสมอมา”
“ความรู้สึก?” โม่เทียนเกอมองเขาอย่างเต็มไปด้วยความกังขา “ท่านมีความรู้สึกอะไรต่อข้ารึ”
“เพราะอะไรเจ้าถึงกังขาว่าเข้าไม่มีความรู้สึกต่อเจ้าเล่า” ฉินซีตะลึง ถามกลับ
“ข้าจะรู้จากตรงไหนว่าท่านมีความรู้สึกต่อข้ารึ” โม่เทียนเกอยิ่งจับต้นชนปลายไม่ถูก “ท่านเคยพูดหรือ มีหรือ”
“….” ก็ได้ ไม่มี “แต่ว่า ข้าแสดงออกมาชัดเจนมากแล้วนะ จริงไหม”
“ชัด? ตรงไหน?”
“ข้า….. ข้ายุติการกักตน ก็เพราะว่าสัมผัสได้ว่าเจ้าเกิดเรื่อง จากนั้นเพื่อให้เจ้าฟื้นขึ้นเร็วหน่อยก็ออกไปเสาะหายา…. ยังมีการพาเจ้ามาภูเขามาร ถ้าหากเป็นคนอื่นข้าก็คร้านจะสนใจ!”
“……”
“เจ้าทำสีหน้าอะไรกัน”
“สีหน้าบอกว่าท่านเป็นคนโง่!” โม่เทียนเกออดไม่อยู่แล้ว ไม่สนว่าบาดแผลของเขาเพิ่งจะมัดเอาไว้ ตบมือของเขาออกไป “ใช่ ท่านทำเรื่องพวกนี้ทำให้ข้ารู้สึกว่าท่านเหมือนจะมีความรู้สึกต่อข้าเสมอเลย แต่ข้าเพิ่งจะคิดอย่างนี้ ท่านก็มาเย็นชาใส่ข้า บอกเป็นนัย ๆ ว่าห้ามข้าหลงไปว่าความรักได้รับการตอบสนอง!”
“ข้า……” ฉินซีอ้าปากค้าง “ข้าไม่ได้หมายความอย่างนี้นะ!”
โม่เทียนเกอยิ้มเย็นต่อ “ข้าไม่สนว่าท่านจะหมายความอย่างนี้รึเปล่า การแสดงออกของท่านก็คือความหมายนี้!”
“……” นางยังไม่หายโกรธ นางกำลังก่อเรื่องอย่างไร้เหตุผล เขาสูดลมหายใจลึก ๆ แล้วพูดว่า “ก็ได้ ตอนนี้ข้าบอกกับเจ้า พวกนี้ล้วนเป็นความเข้าใจผิดของเจ้า ข้า…..อันที่จริงข้าคิดถึงเจ้าทุกวัน ยามฝันก็ยังคิด คิดจนเป็นบ้าแล้ว อย่างนี้เจ้าเข้าใจแล้วหรือยัง”
“…..”
“เจ้าไม่พูดหมายความว่าอะไร” ฉินซีกระวนกระวาย ตลอดชีวิตนี้ยังไม่เคยพูดคำพูดประเภทนี้เลย ภายภาคหน้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะพูดอีก “จะเปลี่ยนใจอีกแล้วใช่หรือไม่”
“อะไรเรียกว่าอีกแล้ว?” โม่เทียนเกอส่งเสียงออกมาในที่สุด
“ไม่ใช่หรอกหรือ” ฉินซีพูดว่าสับสนอยู่บ้าง “เริ่มแรก ข้ารู้สึกได้จริง ๆ ว่าเจ้าเกิดความรู้สึกที่แตกต่างออกไปต่อข้า แต่ตอนนั้นข้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นคนฉลาด รู้จักควบคุมตนเอง ดังนั้นก็เลยไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ภายหลังข้าคิดจนเข้าใจ ออกจากการกักตน แต่เจ้าหันหน้าเดินไปอย่างเย็นชา ซือฟุบอกข้าว่าเจ้าต้องการเวลาในการยอมรับ ดังนั้นข้าก็ไม่ได้ไปกวนเจ้า เพียงให้ตนเองคิดหาวิธีผูกจิตวิญญาณ แต่ว่า สิบกว่าปีผ่านไป เจ้าก็ไม่มาหาข้า แล้วเจ้าก็ก่อเกิดตาน ถ้าหากเจ้ายังมีความรู้สึกต่อข้าจริง ๆ เพราะอะไรถึงสามารถก่อเกิดตานเล่า”
“……”
“เจ้าพูดสิ!”
โม่เทียนเกออดทนไม่ฟาดเขาไปอีกฝ่ามือ กัดฟันพูดว่า “เพราะอะไรข้าจะไม่สามารถก่อเกิดตานเล่า ท่านไม่พูด ข้าในตอนนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านทำเพื่อข้าจริง ๆ ไม่แน่ว่าเพียงเพราะการมอบหมายของบิดาข้า ดังนั้นท่านออกไปเสาะหายาแทนข้า….. เพียงแต่ไม่คาดว่าผลลัพธ์ภายหลังจะร้ายแรงถึงเพียงนี้เท่านั้น”
ฉินซีปากค้างพูดไม่ออก เขาไม่พูด นึกว่าการกระทำของตนเองเพียงพอให้นางเข้าใจแล้ว เผอิญว่านางกลัวเข้าใจผิด ไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเอง ไม่เข้าใจมาโดยตลอด
ผ่านไปพักใหญ่ เขาจึงถามต่อว่า “เช่นนั้นเจ้าเล่า สรุปว่าเจ้าคิดอย่างไร”
“ข้าจะสามารถคิดอย่างไรได้เล่า ท่านไม่ต้องการ ข้าก็ไม่กล้าเรียกร้อง ท่านมุ่งมั่นจะผูกจิตวิญญาณ เช่นนั้นข้าเหตุใดจะต้องลุ่มหลง”
“ข้าผูกจิตวิญญาณไม่ได้เพราะเจ้าเลยนะ เจ้ายังไม่กล้าจะเรียกร้องรึ?!” ฉินซีอดไม่อยู่ ต้องถามออกไป
“เจ้าก็ไม่เคยบอกข้า!” ฉินซีพูด “ยังมาพูดว่าข้าเป็นคนโง่ ไม่เห็นว่าเจ้าจะฉลาดที่ตรงไหน! ถ้าไม่ใช่ว่าเจ้าถึงตายก็ไม่ยอมพูด ข้าจะนึกว่าเจ้าไม่มีความรู้สึกต่อข้าตั้งแต่แรกหรือ พูดว่าข้าไม่ยอมพูดอะไรทั้งนั้น เจ้าไม่แค่ไม่ยอมพูดอะไรทั้งนั้น แถมยังไม่ยอมถามอะไรทั้งนั้นด้วย!”
โม่เทียนเกอไฟโกรธลุกขึ้นมาอีกแล้ว ในเมื่อบนร่างเขาได้รับบาดเจ็บจึงได้แต่เปลี่ยนไฟโกรธเป็นวาจา “เพราะอะไรถึงต้องให้ข้าพูดให้ข้าถามเล่า ท่านคนนี้กลับไปกลับมา วุ่นวายเละเทะ ยังต้องให้ข้าเข้าใจอะไร ๆ หมดเลยหรือ ข้าไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น จะได้สามารถมองออกว่าในสมองวุ่นวายเละเทะของท่านคิดอะไรอยู่!”
“เจ้าไม่มีเหตุผล!”
“ท่านสิไม่มีเหตุผล!”
ทั้งสองคนถลึงตาใส่กันและกัน ถึงอย่างไรก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายผิด ถลึงกันไปสักพัก ฉินซีอ่อนลงก่อน ยื่นมือออกมาดึงแขนเสื้อนางเบา ๆ อ่อนน้ำเสียงลง “ก็ได้ เจ้าว่าใช่ก็ใช่ เช่นนั้นตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่”
“หึ!”
เขายิ้มเอาใจ เบียดมาข้างหน้าคิดจะกอดนาง ถูกฝ่ามือตบกลับก็ยังไม่ยอมแพ้ไปดึงแขนนาง “ข้าเป็นคนโง่ เจ้ามาเป็นคนโง่เป็นเพื่อนข้า สรุปคือคนโง่สองคน อย่างนี้ยุติธรรมแล้วหรือยัง”
“…..”
“ไหน ไม่พูดแปลว่าเจ้าไม่โกรธแล้วนะ”
“….ข้าไม่ใช่คนโง่นะ”
“ได้ เจ้าไม่ใช่ แต่ว่า พวกเราเสียเวลากันมากนานมาก ๆๆๆ แล้วนะ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้อย่าได้เสียเวลาอีกเลยดีหรือไม่”
“…….”
“ไม่พูดแปลว่าเจ้าตกลงแล้ว”
“ข้าไม่…..”
คำพูดที่เหลือถูกเขาปิดเอาไว้ เขาจึงหัวเราะอย่างยินดี “เจ้าตกลงแล้วจริง ๆ”
……………………………………..
ก็ไม่รู้มันคืออะไร ที่แล้วมามันคืออะไร (ใครเกิดทันแปลว่าเรารุ่นเดียวกันค่ะ)
นี่เป็นตอนที่มี !!! เยอะมาก ๆ แล้วประเด็นคือมันไม่อยู่ในแป้นพิมพ์ภาษาไทย! ต้องเปลี่ยนภาษาตลอด แล้วก็ชอบลืมเปลี่ยนกลับพิมพ์ภาษาอังกฤษไปยาวมากแล้วต้องลบพิมพ์ใหม่ ทำให้ตอนนี้เป็นตอนที่แปลนานเป็นพิเศษเลยค่ะ TT
ตอนที่ 286 – ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น