หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 287 – กฎสองข้อ
ตอนที่ 287 – กฎสองข้อ
การทะเลาะที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ทั้งสองคนล้วนรู้สึกอัดอั้นตันใจ โดยเฉพาะพวกเขาล้วนไม่มีประสบการณ์ในการทะเลาะกับคนอื่น ความรู้สึกอัดอั้นตันใจที่เกิดขึ้นมานี้มันชวนไม่สบายใจเกินไปแล้ว
พอดีว่าพื้นที่ของถ้ำภูเขาเล็ก ๆ นี้ใหญ่แล้ว สามารถให้คนหนึ่งคนยึดครองหนึ่งด้านโดยไม่ต้องนั่งติดกัน อยากจะหาเรื่องก็ยังหาไม่ได้
ผ่านไปไม่นานมากฉินซีก็เสียใจภายหลังแล้ว เมื่อครู่ทำไมถึงต้องเปลืองแรงขยายถ้ำภูเขาให้ใหญ่นะ ถ้าหากยังเป็นเหมือนแต่ก่อน เขาเพียงต้องทำหน้าหนาเข้าหา บางทีอาจจะดีกันแล้วก็ได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ใกล้เลย เขาก็ง้อไม่ไหว
เขาไม่เคยทำเรื่องประเภทนี้ ไม่รู้ว่าจะต้องสนิทสนมกับผู้หญิงอย่างไร เพียงรู้สึกว่านางเดี๋ยวก็เป็นอย่างนี้ อีกเดี๋ยวก็เป็นอย่างนั้น พูดอะไรล้วนไม่ฟัง ทำให้เขาไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าควรจะทำอย่างไรดี
แต่เขาก็ไม่รู้สึกว่าตนเองผิด บนโลกนี้คนที่ฝึกตนร่วมสัมพันธ์มีมากตั้งเท่าไหร่ จะเป็นไปได้อย่างไรที่คู่ร่วมฝึกตนร่วมสัมพันธ์ทุก ๆ คู่จะมีความแข็งแกร่งเท่าเทียมกัน มีคนนำหน้ามีคนตามหลังอยู่เสมอ การพึ่งพาคู่ของตนเองมีอะไรไม่ถูกต้อง
คิดอยู่เช่นนี้ เขากลับลืมไปแล้วว่าตนเองเมื่อตอนนั้นเพราะคำว่าเตาหลอมสองคำได้ทำร้ายความภาคภูมิใจในตัวเองจนไม่เหลือชิ้นดีไปหลายสิบปี
โม่เทียนเกอจัดเก็บขวดยาอย่างนิ่งสงบโดยหันหลังให้เขาตลอด ก็ไม่รู้ว่านางไปเอาสิ่งของมากมายขนาดนี้ให้จัดเก็บมาจากที่ไหน เก็บเสร็จไปทีละชิ้น ๆ
จนกระทั่งข้างนอกมีปราณปีศาจอีกก้อนลอยมาปิดแสงที่ทางเข้าอีกแล้ว
“ขอโทษ”
ฉินซีอึ้งไป
โม่เทียนเกอกระแอมคำหนึ่ง อาศัยความมืดและการที่หันหลังให้เขาเรียกความกล้า “ข้ารู้ว่าท่านเจตนาดี แต่ว่า แต่ว่า…..เรื่องบางอย่างไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น อาจบางทีท่านรู้สึกว่านี่ไม่เห็นเป็นไร แต่นี่สำคัญสำหรับข้า”
“…….”
ผ่านไปพักใหญ่ก็ไม่มีการตอบสนอง นางอดเกิดความหงุดหงิดขึ้นในใจมิได้ เรื่องอย่างการทะเลาะเบาะแว้งนางไม่เชี่ยวชาญ และยิ่งรู้สึกไม่มีความสุข
ความหงุดหงิดนี้จึงถูกนางนำไปใส่ไว้ในคำพูด “แน่นอน ท่านต้องรู้สึกว่าความคิดทุกอย่างของตนเองล้วนถูกต้อง ทั้งหมดต้องทำไปตามที่ท่านพูด เช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด”
ข้างหลังมีเสียงลม นางเพิ่งกำลังจะหันหน้าไปก็ถูกคนโอบกอดจากด้านหลัง
“ขอโทษ” เสียงของเขาเบา ๆ แต่กลับชัดเจน
เพียงสองคำก็รู้สึกว่าความโกรธทั้งหมดก่อนหน้านี้ล้วนจางหายไปเหมือนหมอกควัน
คนทั้งสองก็นั่งกอดกันหนึ่งหน้าหนึ่งหลังไปเช่นนี้
“ข้ารู้ว่าเมื่อครู่ข้าหุนหันเกินไป ไม่ควรจะไม่ให้เวลาเจ้าได้ใคร่ครวญ” เขาพูด
“ไม่ต้องทำเช่นนี้” นางกระซิบ ดึงมือเขาออก หันร่างไป มองดูดวงตาทั้งคู่ของเขาในความมืด พูดอย่างจริงจังว่า “เรื่องเมื่อครู่นี้ ข้าขออภัยสำหรับทัศนคติของข้า ข้าก็หุนหันมาก แต่ว่าเรื่องราวยังคงต้องพูดให้ชัดเจน ท่านเห็นด้วยไหม”
“อืม”
“ข้า……” โม่เทียนเกอคิดอยู่พักใหญ่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหน พูดจากตอนเริ่มต้นตรง ๆ ไปเลยว่า “ข้าถือกำเนิดในโลกปุถุชน ถึงจะเป็นเพียงหญิงชาวบ้านสามัญ แต่ข้าใช้แซ่ตามมารดา ตั้งชื่อตามรุ่น มารดาข้าตั้งแต่เริ่มแรกก็เลี้ยงดูข้าดุจดั่งบุตรชาย ตอนยังเล็ก ข้าต้องไปเรียนหนังสืออย่างเด็กผู้ชายเหล่านั้น อีกทั้งต้องเรียนให้ได้ดีกว่าพวกเขา มารดาพูดเสมอว่า บิดาข้าเคยบอกว่าไม่ว่าชายหรือหญิง ลูกของเขาต้องเลี้ยงดูให้ดี ดังนั้นสิ่งที่สามารถให้ข้า นางล้วนมอบให้ข้า และสิ่งที่ข้าสามารถกระทำล้วนต้องทำให้ดีที่สุด”
“…..ภายหลัง นางไปแล้ว ข้าก้าวสู่เส้นทางฝึกเซียน มาถึงคุนอู๋ พบท่าอารอง ท่านอารองบอกว่า อาจบางทีผู้ฝึกตนสตรีคนอื่นสามารถเกียจคร้านได้ แต่ข้าไม่สามารถ ร่างกายของข้าเป็นต้นทุนแล้วก็เป็นเครื่องกดดัน ดังนั้น ข้าไม่เพียงต้องโดดเด่นกว่าผู้ฝึกตนสตรี ยังต้องแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนบุรุษส่วนใหญ่……”
พูดจาอ้อมค้อมนานขนาดนี้ นางแทบจะลืมไปแล้วว่าสิ่งที่ตนเองอยากจะพูดคืออะไร เรื่องบางอย่างนางหวนกลับไประลึกถึงน้อยมากแล้ว เพราะว่าทุกครั้งที่หวนระลึกถึงล้วนเป็นเพียงคนคนเดียว แต่ตอนนี้มีหนึ่งคนคอยฟัง ดังนั้นนางอดไม่ได้ที่จะพูดถึงสิบกว่าปีนั้นความยินดีและโศกเศร้าที่ประสบพบเจอร่วมกับท่านอารอง
“……ข้าเคยชินกับชีวิตเช่นนี้แล้ว และนี่ก็กลายเป็นความเชื่อของตัวข้าเอง มิใช่ว่าข้าไม่ไว้วางใจท่านหรือว่าไม่อยากฟังคำพูดของท่านเลยนะ แต่ทว่า……แต่ทว่านี่มันขัดแย้งกับความเชื่อตั้งหลายปีขนาดนี้ของข้า ท่านอารองบอกว่า ความอารมณ์อ่อนไหวและอ่อนแอเป็นศัตรูฉกาจของผู้ฝึกตนสตรี ดังนั้น เขาเรียกร้องตลอดให้ข้าพัฒนาตนเอง อย่าได้พึ่งพาผู้ใด ถึงแม้มีวันหนึ่งที่ข้าหาพบคนที่สามารถร่วมเดินทางไปกับข้า” นางเงยหน้าขึ้นสบสายตาของเขา “หากในอนาคตข้าไม่ว่าอะไรก็ไม่ต้องทำจริง ๆ นั่นเท่ากับเป็นการปฏิเสธชีวิตแปดสิบกว่าปีก่อนหน้านี้ของข้าแล้ว”
“……”
ปราณปีศาจก้อนนั้นลอยลับไปแล้ว ภายในถ้ำหินสว่างขึ้นมา
ฉินซีไม่ได้พูดจาอยู่นานมาก แต่ก็ไม่ได้ปล่อยนางไปเหมือนกัน
การระลึกความหลังพวกนี้ทำให้เขาคิดถึงสามปีนั้นที่สำนักอวิ๋นอู้ ในสามปีนั้น เขาเริ่มจากความไม่แยแส จากนั้นพบความลับของนาง จนสุดท้ายหมกมุ่น
ตอนที่เพิ่งรู้ความลับของนาง เขาสับสนอยู่บ้าง เพราะว่านางไม่ได้เหมือนกับสตรีที่เขาดูแคลนเหล่านั้น จากนั้นรู้สึกว่า อาจบางทีนางเป็นประเภทที่เขาชื่นชมอย่างเมี่ยวอีซือซูอย่างซู่ซินซือเจี่ย ภายหลังรู้สึกอีกว่านางมีบุคลิกไม่ยอมแพ้ ขยันขันแข็ง ผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่ครอบครองคุณสมบัติเช่นนี้หากมีวาสนาและโชคเพียงพอจะสามารถประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง หลายสิบปีต่อมา มองดูนางเติบโตทีละก้าว…..
แต่ก่อนคิดว่านางสามารถมีบุคลิกที่แข็งแกร่งเช่นนี้ดีจนไม่อาจจะดีกว่านี้อีกแล้วจริง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นคุณสมบัติที่เขาชื่นชม อย่างน้อยนางจะไม่กลายมาเป็นสตรีที่เขารังเกียจ แต่ตอนนี้ ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่เหมือนเดิม เขากลับไม่รู้สึกเช่นนี้แล้ว
ถ้าพึ่งพาเขาแล้วมันจะอย่างไร หากไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถมอบให้นาง เช่นนั้นอยู่ร่วมกับเขาจะมีความหมายอะไร เขารู้สึกสับสนมาก ดังนั้นเขาก็เลยพูดเช่นนี้
โม่เทียนเกอเบิกตาโต หมุนตัวไปถลึงตาใส่เขา “หรือท่านรู้สึกว่ามอบอะไรให้ข้าจึงจะมีความหมายสำหรับข้าหรือ”
ฉินซีก็เบิกดวงตาทั้งคู่ “หรือว่าไม่ใช่หรือ”
“……” โม่เทียนเกอใบ้กินไปชั่วขณะ ตอนนี้นางจึงได้ค้นพบว่า การสื่อสารระหว่างพวกเขามันมีปัญหามาก
“อย่างไรล่ะ เจ้าพูดสิ!”
นางคิด ๆ ดู ถามเขาว่า “หากพวกเราสองคนสลับที่กันล่ะ”
“หืม?” เขาไม่เข้าใจว่าคำพูดนี้หมายความว่าอะไร
นางเอ่ยอีกว่า “หากว่า……เพศของพวกเราสลับกัน ท่านเป็นสตรีล่ะ”
“……” สมมติฐานนี้ทำเอาฉินซีหน้าดำทะมึน “ข้าเหมือนสตรีตรงไหน”
โม่เทียนเกอแค่ปัดมือของเขา เอนไปพิงผนังหินกอดอกจ้องมองเขา “ที่จริงท่านไม่ได้เห็นค่าสตรีนักเลย ใช่หรือไม่”
“……ใช่” ถึงจะรู้ว่าปฏิเสธดีกว่า แต่เขายังเลือกที่จะยอมรับอย่างซื่อสัตย์
“เช่นนั้นท่านดูแคลนข้าหรือ”
“ย่อมมิใช่!” เขารีบอธิบาย “หากข้าดูแคลนเจ้า ตอนอยู่ที่สำนักอวิ๋นอู้ก็จะไม่พูดคุยกับเจ้าแล้ว ข้ารู้แต่แรกว่าเจ้าเป็นสตรี แต่ว่า……”
เห็นท่าทางนี้ของเขา โม่เทียนเกอกลับยิ้ม “ท่านร้อนรนอะไร ข้าไม่ได้ว่าอะไรท่านเลย”
เขาถอนหายใจ รู้สึกว่าตนเองคล้ายจะอธิบายไม่ได้
โม่เทียนเกอมองเขา พูดอีกว่า “ท่านดูสิ ที่จริงท่านมีอคติระดับหนึ่งต่อสตรี ก็คือเพราะว่าคนบางคนไม่รักความก้าวหน้า หากข้าเป็นอย่างสตรีที่ไม่รักความก้าวหน้าพวกนั้น ท่านยังจะปฏิบัติต่อข้าแตกต่างออกไปไหม”
“……ไม่”
“เช่นนั้นก็จบแล้ว” นางเอ่ยโดยกระชับ “สาเหตุที่ท่านปฏิบัติต่อข้าแตกต่างออกไปมิใช่เพราะว่าบุคลิกอย่างนี้ของข้าหรือ หากว่า……หากว่าพวกเราอยู่ร่วมกัน ภายหลังข้าพึ่งพาท่าน เช่นนั้นเวลานานไปอาจบางทีท่านจะรู้สึกว่าข้าน่ารำคาญแล้ว”
“……จะเป็นไปได้อย่างไร!” เขาปฏิเสธตามสัญชาตญาณ เพียงแต่ตัวเองก็บอกเหตุผลไม่ได้ “อันนี้…….”
“ไม่ต้องอันนี้อันนั้นเล้ว ข้ามิได้จะทำให้ท่านอิหลักอิเหลื่อ” โม่เทียนเกอจับมือของเขา พูดอย่างจริงจังว่า “อันที่จริง ออกมาครั้งนี้ข้าจึงได้ค้นพบอีกด้านหนึ่งของท่าน”
“อะไร” เขากระวนกระวายอยู่บ้าง
“พวกเรามาสมมติกัน” นางใคร่ครวญคำพูดอย่างระมัดระวัง “สมมติข้าอยู่ร่วมกับท่าน ท่านจะดูแลเรื่องราวทั้งหมดเลย ถูกหรือไม่”
“…….นี่มีอะไรไม่ถูกต้องหรือ”
นางไม่ได้ตอบ พูดต่อว่า “เรื่องราวทั้งหมด ท่านจะทำ ความรับผิดชอบทั้งหมด ท่านจะแบกรับ ปัญหาทั้งหมด ท่านจะแก้ไข จะเป็นอย่างนี้หรือไม่”
“……” เขาตอบไม่ออก
ไม่ต้องฟังคำตอบของเขา เห็นสีหน้าที่แบกความรู้สึกผิดเอาไว้ โม่เทียนเกอก็รู้คำตอบของเขาแล้ว
“ข้ามิได้จะบอกว่าท่านเป็นอย่างนี้ไม่ดีเลยนะ” นางพูด “หากพูดจากมุมมองของปุถุชน ท่านเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ จะทำอะไรเพื่อคนที่ตนเองชอบแทนที่จะสั่งการให้คนอื่นทำอะไร” ก็อย่างบุรุษชาวบ้านเหล่านั้นในหมู่บ้านสกุลโม่ที่ควบคุมภรรยาให้ปรนนิบัติพวกเขาเสมอ
“แต่ว่า พวกเราเป็นผู้ฝึกตน ข้ามิใช่หญิงสาวปุถุชน ติดตามอยู่ข้างกายท่านเช่นนี้ ข้าจะไม่มีคุณค่าของการคงอยู่แล้ว” พอพูดเรื่องพวกนี้จบ นางก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรแล้ว จึงถามว่า “อย่างนี้ ท่านเข้าใจไหม”
“……” ฉินซียังคงเงียบงัน ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
จนกระทั่งภายหลังเนิ่นนาน เขาจึงพูดว่า “ข้าคิดว่า…..ข้าคงจะเข้าใจความหมายของเจ้าแล้ว คือเจ้าอยากพูดว่า ข้าเป็นอย่างนี้จะเปลี่ยนเจ้าไปเป็นพวกที่อะไร ๆ ก็ไม่ทำทั้งนั้น เป็นเพียงสตรีที่พึ่งพาคนอื่น?” ก็อย่างพวกเมี่ยวอีซือซูและซู่ซินซือเจี่ย เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าพวกนางจะยืนอยู่ข้างหลังบุรุษ คาดว่า……เทียนเกอก็ทำไม่ได้
“ประมาณนั้นล่ะ……” ที่จริงนางอยากพูดว่าบุคลิกของเขาเข้มแข็งเกินไป พอดีว่าบุคลิกของนางก็แข็งมาก หากอยู่ร่วมกันเช่นนี้จะต้องเกิดความขัดแย้ง แต่ถ้าพูดอย่างนี้เขาก็จะกระวนกระวายอีกรึเปล่า
“ได้……” เขาพูดอย่างจริงจัง “ข้าจะพยายามเปลี่ยนแปลงเท่าที่ทำได้ จะไม่เก็บเรื่องทั้งหมดเอาไว้ ให้โอกาสเจ้าได้เติบโต ให้เจ้าสามารถพึงพากำลังของตนเองก้าวไปข้างหน้า อย่างนี้พอไหม”
นางยิ้ม ไม่พูดอะไรทั้งนั้น กลับขยับเข้าไปช้า ๆ กางแขนทั้งคู่กอดเขาด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก
เขาจึงยิ้ม แต่กลับเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “แต่ว่า ข้าก็มีข้อเรียกร้องต่อเจ้า”
“หืม?”
“ข้อหนึ่ง….”
นางออกเสียงขัด “ท่านยังจะมีกี่ข้อ”
“ข้าเพิ่งจะเริ่มพูดเองนะ!” เขาไม่พอใจ
“ได้ ท่านพูดก่อน”
“ข้อหนึ่ง ภายหลังมีเรื่องอันใดล้วนห้ามคิดแก้ไขด้วยการจากไป”
“ตกลงหรือไม่ตกลง” เขาเร่ง
“ได้” โม่เทียนเกอไม่ได้ลังเลนานเกินไป ข้อเรียกร้องนี้ไม่ได้เกินเลยไปสักนิด หากสามารถอยู่ร่วมกันอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ย่อมไม่มีอะไรที่ไม่สามารถแก้ไข
“ข้อสอง เจ้าสามารถลองเรียกร้องต่อข้าสักหน่อย”
“เอ๊ะ?” นี่มันคือเงื่อนไขอะไร
เมื่อเห็นความกังขาของนาง ฉินซีก็ยิ้ม “ถึงข้าจะชื่นชมสตรีที่พัฒนาตัวเอง แต่ว่า เจ้าแข็งแกร่งเกินไปข้าก็จะไม่มีคุณค่าของการคงอยู่แล้ว ดังนั้น เรื่องบางอย่างที่สามารถพึ่งพาข้าก็พึ่งพาข้าเถอะ”
“……”
นางไม่ได้ตอบคำอยู่พักใหญ่ เขาจึงกระวนกระวายอยู่บ้าง “ไม่ดีหรือ”
“ได้ ถอยกันคนละก้าว” ไม่สามารถให้เขาล่าถอยในเรื่องอะไร ๆ อยู่เสมอ ถ้าเป็นเช่นนี้จะต่างอะไรกับการเรียกร้องไม่รู้จักจบจักสิ้นเล่า นางเป็นคนที่ยุติธรรมมาก “แต่ว่า ไม่มีข้อสามแล้วนะ”
ฉินซียิ้ม กอดนางแน่น “ไม่มีแล้ว”
“อืม” โม่เทียนเกอกลับยื่นนิ้วออกมาพูดว่า “ท่านมีข้อเรียกร้องสองข้อ ของข้าก็สามารถปรับหน่อย พวกเรามาสร้างกฎสองข้อกัน”
“เอ๊ะ?” อันนี้…..ก็ต้องเหมือนกันหรือ จะยุติธรรมเกินไปรึเปล่า
นางไม่สนใจ พูดเองเออเองว่า “ข้อหนึ่ง ต้องเชื่อมั่นในตัวข้า ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์อันใด ข้าพูดอะไรก็ต้องเชื่อ ขอเพียงท่านทำได้ ข้าก็จะเชื่อมั่นในตัวท่านเหมือนกัน เชื่อมั่นอย่างสิ้นเชิง”
“ได้” เขาแทบไม่ได้ลังเล
“ข้อสอง ให้โอกาสข้า ให้ข้าเติบโตด้วยตนเอง จนกว่าจะสามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่าน”
“ไม่มีปัญหา”
“ข้อสาม……”
“เจ้ามิใช่พูดว่ากฎสองข้อหรือ”
“ข้าพูดเล่น……”
……………………………..
ตอนที่ 288 – แผ่นดินไหวภูเขาสะเทือน