หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 290 – เรื่องของการฝึกตน
ตอนที่ 290 – เรื่องของการฝึกตน
โม่เทียนเกอกับฉินซีสองคนผลัดกันนั่งสมาธิ เหลือหนึ่งคนไว้คุ้มกัน แสดงออกมาชัด ๆ ว่าไม่ไว้วางใจจิ่งสิงจื่อ จิ่งสิงจื่อเบื่อหน่ายก็เลยพูดว่าจะไปดูรอบ ๆ
รอจนเงาร่างของเขาหายลับไป ฉินซีที่กำลังอยู่ในสมาธิจู่ ๆ ก็ลืมตาขึ้นมา เอ่ยว่า “เด็กนี่ก็ไม่ซื่อสัตย์”
ถึงแม้ตลอดเวลามานี้ ทัศนคติของฉินซีจะชัดเจนมาก ก็คือไม่ชอบจิ่งสิงจื่อ แต่ระหว่างที่พูดคุยกลับมีท่าทางคุ้นเคยกับเขาอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่นประโยคนี้ หากเป็นคนไม่คุ้นเคย เขาไม่เคยใช้คำเรียกขาน “เด็ก” นี้เลย
โม่เทียนเกอถามว่า “เขากับท่านมีมิตรภาพอะไรกันหรือ ข้ารู้สึกอยู่ตลอดว่าพวกท่านสองคนถึงจะไม่ได้พูดกันเยอะ กลับมีความเข้าใจต่อกันและกันมาก”
ฉินซียิ้ม เอ่ยว่า “ย่อมเข้าใจ ข้ากับเขารู้จักกันมาหนึ่งร้อยกว่าปีแล้ว เทียบกับพวกคูมู่ยังเร็วกว่า”
“อ้อ? เป็นเพราะเหตุใด”
ฉินซีไม่ได้ตอบทันที กลับมาถามนางอย่างยิ้มแย้มว่า “เจ้าเดา?”
โม่เทียนเกอคิดดู “เดิมท่านเคยบอกว่า เขาอยู่ใต้สังกัดของผู้อาวุโสกระบี่ฉงกวงสำนักกู่เจี้ยน โชคร้ายซือฟุเสียไปเร็ว ค่อนข้างมีชีวิตไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง คิดว่าตอนที่ซือฟุเขายังอยู่ เขาก็เป็นอภิสิทธิ์ชนแห่งสรวงสวรรค์สินะ”
ฉินซีพยักหน้า “ไม่ผิด”
โม่เทียนเกอกล่าวต่อว่า “ดูจากอายุเขาเหมือนจะเทียบเคียงกับท่านได้ คิดว่าก็ห่างกันไม่เกินร้อยปี พวกท่านสองคนในเมื่ออายุไล่เลี่ย แล้วก็เป็นศิษย์เอกของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สำนักใหญ่เหมือนกัน จะพูดว่าเป็นคนประเภทเดียวกันก็ไม่เกินไป หรือว่าจะรู้จักกันเพราะเหตุนี้”
ฉินซีเพียงแค่ยิ้ม ดึงตัวนางมานั่งข้างกายตนเอง
“สรุปว่าข้าเดาถูกรึเปล่า”
“ถูกครึ่งเดียว” ฉินซีหยุดลง กล่าวกับนางช้า ๆ ว่า “อันที่จริงตอนที่ข้ากับเขารู้จักกันไม่ได้รู้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายเลย”
“หรือว่าพวกท่านสองคนรู้จักกันตอนท่องเที่ยวภายนอกหรือ”
“อืม ตอนนั้นข้าเพิ่งจะสร้างฐานพลังขั้นกลาง เขาก็เหมือนกัน”
“เร็วขนาดนี้เชียวหรือ” โม่เทียนเกอประหลาดใจอยู่บ้าง สร้างฐานพลังขั้นกลาง เช่นนั้นเขามิใช่ว่าแค่สามสิบสี่สิบปีหรือ
ฉินซียิ้ม มือซ้ายกางออก แสงทองบาดนัยน์ตา กระบี่อัคนีสามพลังหยางปรากฏขึ้นในมือเขา เขาทอดมองกระบี่เล่มนี้ เอ่ยอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์ว่า “พริบตาเดียว หนึ่งร้อยห้าสิบกว่าปีแล้ว ปีนั้นได้รับวิธีหลอมกระบี่นี้กับวิชาเวทที่เข้าคู่กันร่วมกับเขา แม้แต่ลูกประคำวิญญาณพลังหยางก็เป็นสิ่งที่พบเจอด้วยกันในครั้งนั้น”
“อะไรนะ”
มองท่าทางไม่อยากเชื่อของโม่เทียนเกอ ฉินซีเก็บกระบี่ พูดช้า ๆ ว่า “ตอนนั้นข้าเข้าสู่สร้างฐานพลังขั้นกลางยังไม่นาน มีครั้งหนึ่งที่อยู่ภายนอก บังเอิญโชคดีเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่าหลางซานกับคนอื่น…… สถานที่นี้พิสดารมาก รอบ ๆ ภูเขานี้ไม่ได้ขาดเส้นเลือดวิญญาณชั้นยอดที่ดีที่สุดเลย มันกลับไม่มีพลังวิญญาณสักนิด”
“ไม่มีพลังวิญญาณ?” โม่เทียนเกอสมองแล่นวาบ ถามว่า “หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับลูกประคำวิญญาณพลังหยาง”
ฉินซียิ้มแล้วพยักหน้า “มิผิด ตำนานตอนนั้นบอกว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ที่นี่มีถ้ำพำนักของมนุษย์เซียนโบราณกาล ดังนั้นผู้คนที่มาเสาะหาสมบัติมากยิ่งนัก เดิมทีข้าไม่ได้เชื่อถือข่าวลือเช่นนี้มากนัก แต่คิดอีกที ที่นี่ก็มีความพิสดารอยู่บ้างจริง ๆ ก็เลยตามไปด้วยกันกับคนอื่น ใครจะรู้ว่าบังเอิญแท้ พอพวกเราไป ในหลางซานนี้ก็มีถ้ำพำนักของมนุษย์เซียนปรากฏขึ้นมาจริง ๆ ทันใดนั้นหลางซานแทบจะกลายเป็นขุมนรก ผู้ฝึกตนระดับต่ำกรูกันเข้ามา ผู้ฝึกตนระดับสูงก็ปรากฏตัวเรื่อย ๆ……”
เขาเหม่อลอยไปชั่วครู่จึงได้กล่าวต่อไปว่า “ตอนนั้นคนที่ตายมากมายนัก สุดท้ายย่อมเป็นผู้ฝึกตนระดับสูงเหล่านั้นที่ยึดความได้เปรียบ เอาถ้ำพำนักไปครอง ข้าในตอนนั้นระดับการฝึกตนยังต่ำอยู่ ย่อมไม่ไปแย่งชิงกับพวกเขา เพียงส่งข้อความลับให้ซือฟุ บ่งบอกสถานการณ์ที่นี่แก่ท่าน จากนั้นบังเอิญเจอจิ่งสิงจื่อ เขาก็เป็นเหมือนข้า โชคดีหนีรอดออกมา…… พวกเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกันแล้วก็ตกอยู่ในความลำบากเหมือนกัน ย่อมจะร่วมมือกันตามธรรมชาติ”
“ภายหลังเล่า ในเมื่อท่านได้รับวิธีหลอมสร้างกระบี่อัคนีสามพลังหยางกับลูกประคำวิญญาณพลังหยาง คิดว่าจิ่งสิงจื่อก็จะต้องมีผลประโยชน์อะไรสินะ”
“อืม” ฉินซีพูดอย่างเรียบเฉย “กระบี่เล่มนั้นในมือเขาเป็นกระบี่ผู้ฝึกตนโบราณ ทรงพลังอย่างยิ่งยวด ก็เป็นโชคดีของพวกเรา ในหลางซานนั้นที่แท้ซ่อนสำนักผู้ฝึกตนโบราณแห่งหนึ่งเอาไว้ ถ้ำพำนักมนุษย์เซียนนั้นไม่นับว่าเป็นอะไรเลย ทรัพย์สมบัติแท้จริงกลับถูกพวกเราพบเจอ สำนักผู้ฝึกตนโบราณนี้คล้ายว่าสุดท้ายจะล้างสำนักไป หลงเหลือทรัพย์สมบัติมากมาย ข้าเดาว่า การล้างสำนักที่ว่านี้ของพวกเขาอาจจะเป็นเพราะการคงอยู่ของลูกประคำวิญญาณพลังหยาง เส้นเลือดวิญญาณของทั้งภูเขาล้วนถูกดูดกลืนไป สำนักนี้ย่อมคงอยู่ไม่ได้”
โม่เทียนเกอทอดถอนใจ “พูดอย่างนี้ พวกท่านสองคนก็เป็นผู้ชนะใหญ่สุดในการเดินทางนี้แล้ว”
ฉินซียิ้ม “นี่กลับไม่ถึงตาของพวกเรา พวกเรารักษาชีวิตเอาไว้ได้อย่างไม่ง่ายดายเลย ภายหลังซือฟุในที่สุดก็มาถึง ผู้อาวุโสกระบี่ฉงกวงก็บังเอิญมาด้วย พวกเราขณะนี้จึงได้รู้ตัวตนของอีกฝ่าย สุดท้ายสมบัติในหลางซานนั้นถูกสำนักใหญ่หลายสำนักแบ่งกันไป ผลประโยชน์ที่ข้ากับจิ่งสิงจื่อได้รับไม่นับว่าเป็นอะไร”
นี่มันเป็นสำนักโบราณหนึ่งสำนักเต็ม ๆ ไม่รู้ว่ามีสมบัติมากน้อยเท่าไร คิดว่าเมื่อเทียบกับทรัพย์สมบัติของเจ็ดสำนักใหญ่มีแต่มากไม่มีน้อยกว่า ถึงแม้ว่ามีมากมายที่ไม่สามารถใช้ได้แล้ว นั่นก็เป็นขุมทรัพย์มหาศาล
“แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีความรู้สึกที่ดีอะไรต่อคนผู้นี้จริง ๆ เขาน่าเชื่อถือว่าพวกคูมู่มาก แต่ว่า หลังจากผู้อาวุโสกระบี่ฉงกวงสิ้นชีพ เขาได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมมากมาย ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ยิ่ง นิสัยใจคอนี้กลับมิใช่สิ่งที่ข้าชมชอบ”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “อีกอย่างบุคลิกเหลาะแหละของเขาไม่ใช่คนเส้นทางเดียวกันกับพวกเราเลย”
ได้ยินคำพูดนี้ของนางแล้ว ฉินซียิ้มออกมา กุมมือของนางแน่น ๆ
ตลอดทางมานี้จิ่งสิงจื่อพูดจาหยอกล้อนางอย่างเห็นได้ชัด ถึงเขาจะไม่เก็บมาใส่ใจ แต่ก็รู้สึกอึดอัดมากมาโดยตลอด ตอนนี้นางพูดเช่นนี้ รู้สึกได้ว่าก้อนหินที่มีอยู่ในใจหายวับไปแล้ว
ทั้งสองคนกำลังเพลิดเพลินกับความสงบสุขช่วงสั้น ๆ อย่างเงียบ ๆ โม่เทียนเกอจู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่า “พลังวิญญาณของท่านฟื้นฟูแล้วหรือ”
ฉินซีพยักหน้า “ข้ามีลูกประคำวิญญาณพลังหยางที่ตัว การฟื้นฟูพลังวิญญาณเร็วมาก ไม่เป็นไรแต่แรกแล้ว”
โม่เทียนเกอชะงักไป ตระหนักในทันใดว่า พูดเช่นนี้คือเมื่อครู่เขาจงใจให้จิ่งสิงจื่อจากไป คิดจะพูดจากันโดยหลีกเลี่บงเขาสินะ?
คิดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอรู้สึกว่าบนใบหน้ามีความร้อนขึ้นมานิดหน่อย กระแอมคำหนึ่ง เอ่ยว่า “เช่นนั้นพวกเรา……”
“เดี๋ยวค่อยพูด” ฉินซีเอ่ย “ข้าเพิ่งจะพูดว่าเด็กนี่ไม่ซื่อสัตย์ ไม่ได้พูดเรื่อยเปื่อยหรอกนะ”
โม่เทียนเกอตะลึงไป “ท่านดูอะไรออกหรือ”
ฉินซีร้องหึ เอ่ยว่า “ด้วยนิสัยของเขา หากไม่มีผลประโยชน์ที่แน่นอนเป็นไปไม่ได้เลยที่จะติดตามพวกเรามาซากโบราณสถานเหล่าเซียน ข้ากล้ายืนยันว่าเป้าหมายของเขาเดิมทีก็คือที่นี่!”
โม่เทียนเกอไม่รู้นิสัยของจิ่งสิงจื่อสักนิด พูดอะไรไม่ได้ แต่ฉินซีไม่เคยเป็นคนพูดโดยไม่คิด ในเมื่อเขาพูดออกมาจากปากจะต้องมีเหตุผลของเขา “ถ้าเป็นเช่นนี้ เขาจะทำให้พวกเราติดร่างแหหรือไม่”
ฉินซีส่ายหน้า “ดูไปก่อนเถอะ ข้ากับเขาถึงจะไม่ใช่สหาย แต่ถึงอย่างไรก็มีมิตรภาพกันมาหนึ่งร้อยกว่าปีแล้ว เขาคนนี้ถึงจะเห็นแก่ประโยชน์ แต่ก็จะไม่แทงข้างหลัง อย่างมากที่สุดก็แจ้งพวกเราให้วัดดวงเอาเอง”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “ท่านเชื่อเขา ข้าเชื่อท่าน”
ได้ยินคำพูดนี้แล้ว ฉินซียิ้มออกมา เอ่ยเสียงเบาว่า “รอหลังจากพวกเรากลับไปก็กราบเรียนซือฟุ…… ดีหรือไม่”
ความหมายในคำพูดเขา โม่เทียนเกอย่อมฟังออก แต่นางกลับลังเลอยู่บ้าง “อันนี้……ค่อยว่ากันเถอะ”
ฉินซีตะลึงลาน “เพราะอะไร” นางมิใช่ตกลงแล้วหรือ
โม่เทียนเกอหันเหสายตาหลบเลี่ยงเขา “พวกเรากลับไป ท่านควรจะกักตนผูกจิตวิญญาณแล้วรึเปล่า”
นี่แทบจะเป็นเรื่องแน่นอน เขาเคยพูดว่าที่เขาผูกจิตวิญญาณาล้มเหลวสามครั้งเป็นเพราะในใจประหวัดถึงนาง คิดหาหนทางจนหมดแรงยังไม่สามารถกำจัดออกไปได้ ตอนนี้ในเมื่อความรักมั่นคงแล้ว ด้วยนิสัยของเขาย่อมพอกลับไปก็จะผูกจิตวิญญาณ
“แน่นอน” ฉินซีกล่าวตามคาด “รอพวกเราเก็บกระดูกของบิดาเจ้ากลับมาก็สามารถกลับไปแล้ว ตอนนี้เรื่องราวพร้อมสรรพ การผูกจิตวิญญาณไม่มีอะไรให้กังวลแล้ว”
“……”
เห็นนางไม่พูดไม่จา ฉินซีสีหน้าค่อย ๆ หนักอึ้ง “เทียนเกอ สรุปว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ ทำไมข้ารู้สึกว่ายังไม่เข้าใจเจ้าเลย เจ้าไม่เต็มใจจะพึ่งพาข้าจนเกินไป ข้าลองเอาใจเขามาใส่ใจเราก็สามารถเข้าใจได้ แต่พวกเรามาถึงตอนนี้แล้ว…… หรือว่าเจ้ายังไม่คิดที่จะฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับข้า”
โม่เทียนเกออึ้งงันไปพักหนึ่งจึงเอ่ยว่า “ข้าเพียงรู้สึกว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา ท่านต้องผูกจิตวิญญาณ ย่อมไม่สามารถแบ่งแยกจิตใจ ส่วนข้า……ก็ต้องใช้เวลาสักพักปรับตัวเข้ากับเรื่องของการก่อเกิดตาน ยังคงค่อยเป็นค่อยไปเถิด”
“……” ฉินซีไม่พูดไม่จา แต่สายตากลับบ่งบอกว่าไม่ยินดี ผ่านไปพักหนึ่ง เขาเอ่ยว่า “เดิมทีข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะเอ่ยถึงการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ก่อนผูกจิตวิญญาณ แต่ว่า…… ตอนนี้กลับไม่คิดจะรอแล้ว”
“เพราะอะไร” โม่เทียนเกออดถามมิได้ “พวกเราเป็นอย่างในตอนนี้ไม่ดีหรือ”
นางถามเร็วเกินไป คล้ายกับว่าไม่เต็มใจเลย ดังนั้นสีหน้าของฉินซีจึงดูไม่ดีแล้ว เขาสงบจิตใจลงแล้วจึงถามว่า “เช่นนั้น…… หลังจากพวกเรากลับไป เจ้ายินดีจะย้ายมาที่ถ้ำพำนักของข้าไหม”
โม่เทียนเกอตะลึงไป “ท่านต้องกักตนผูกจิตวิญญาณ ช่วงเวลานี้ข้าก็อาจจะกักตน อันนี้ ไม่จำเป็นกระมัง?”
ฉินซีหัวเราะอย่างที่เจือด้วยการเยาะเย้ยตนเอง “เจ้าดูสิ…… เจ้าข่มกลั้นขนาดนี้เสมอเลย ทำให้ข้าเกิดภาพลวงประการหนึ่งว่าความรู้สึกของเจ้าไม่ได้มากมายขนาดนั้น บางครั้งข้ายังรู้สึกประหลาดใจว่าทำไมถึงมีสตรีอย่างเจ้า นิ่งสงบเสียจนทำให้คนรู้สึกว่าไร้อารมณ์”
เห็นได้ชัดว่านี่มิใช่คำชม ถึงขนาดที่ว่านำเสียงของเขาแฝงการต่อว่าเอาไว้ด้วย มนุษย์เราแปลกประหลาดเช่นนี้เสมอ เขาหวังว่าจะมีสตรีที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการฝึกตนของเขา เงียบสงบและมีเหตุผล แต่นางเงียบสงบและมีเหตุผลเกินไปกลับทำให้เขารู้สึกไม่ยินยอม รู้สึกเสมอว่าตนเองไม่ได้มีความสำคัญขนาดนั้นในใจของนาง
โม่เทียนเกอไม่ได้ปฏิเสธ นางเงียบไปพักหนึ่ง กล่าวช้า ๆ ว่า “ข้า……คิดมาแต่แรกว่า พวกเราเป็นผู้ฝึกตน ย่อมไม่มีทางเหมือนกับปุถุชน ถึงพวกเราจะอยู่ร่วมกันแล้วอย่างไรเล่า ชีวิตอันยาวนานของผู้ฝึกตนเกินครึ่งล้วนจะต้องกักตน เวลาที่อยู่ร่วมกันอย่างแท้จริงมีมากน้อยเพียงใด อาจบางทียังไม่สู้คู่ครองปุถุชน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จำเป็นอันใดจะต้องรีบร้อนในระยะเวลาสั้น ๆ”
“ถูก ที่เจ้าพูดไม่ผิดเลย แต่ว่า มีหนทางหนึ่งที่สามารถแก้ปัญหา”
โม่เทียนเกอไม่เข้าใจ “หนทางอะไร”
“พวกเราฝึกวิชาเวทประเภทเดียวกัน” ฉินซีพูด “ร่างกายของพวกเรา ฝึกตนร่วมสัมพันธ์เดิมก็ดีกว่าคนอื่นอยู่แล้ว หากสามารถฝึกวิชาเวทประเภทเดียวกัน พัฒนาการจะต้องน่าทึ่ง”
โม่เทียนเกอตะลึงงัน “ท่านจะบอกว่าให้ละทิ้งวิชาเวทในตอนนี้แล้วฝึกวิชาเวทฝึกตนร่วมสัมพันธ์หรือ”
“อืม”
พอได้รับคำยืนยัน โม่เทียนเกอก็เงียบไปอีกครั้ง
วิชาเวทฝึกตนร่วมสัมพันธ์ นั่นเป็นวิชาเวทที่คู่ผู้ฝึกตนร่วมสัมพันธ์จะฝึกร่วมกัน สำนักฝึกตนร่วมสัมพันธ์อันมีชื่อเสียงที่สุดของเทียนจี๋คือสำนักปี้อวิ๋นในเจ็ดสำนักใหญ่ ศิษย์ของสำนักปี้อวิ๋นกว่าครึ่งฝึกวิชาเวทฝึกตนร่วมสัมพันธ์ จะต้องให้ทั้งบุรุษสตรีฝึกตนร่วมสัมพันธ์จึงจะสามารถบังเกิดผลลัพธ์อันน่ามหัศจรรย์
แต่พวกเขาไม่ใช่อย่างนั้น นางกับฉินซีต่างคนต่างมีวิชาเวทพิเศษเฉพาะ ศาสตร์ซู่หนี่ต้นกำเนิดของนาง วิชาสังสารวัฏสามวิญญาณ์และศาสตร์หยางบริสุทธิ์ของเขาล้วนไปถึงขอบเขตระดับหนึ่งแล้ว อีกทั้งเข้ากับร่างกายของแต่ละคนถึงสิบส่วน ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ของพวกเขา ยามปกติต่างคนต่างฝึกตน บางครั้ง……บางครั้งอยู่ร่วมกัน เพียงพอที่จะก่อวัฏจักรอินหยางแล้ว หากละทิ้งไปกลับน่าเสียดาย
“นี่…… พวกเราไม่มีวิชาเวทที่เหมาะสม อีกฝ่าย ถ้าจะทำเช่นนี้ รากวิญญาณต้นกำเนิดของข้าไยมิใช่ไร้ความหมาย?”
“ไม่เป็นอย่างนั้นหรอก” ฉินซีเอ่ยอย่างหนักแน่น “เจ้าเพียงบอกมาว่าตกลงหรือไม่ ถ้าหากเจ้าตกลง เรื่องพวกนี้ข้าจะแก้ปัญหาเอง”
…………………………