หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 293 – จิตวิญญาณใหม่ต่อสู้
ตอนที่ 293 – จิตวิญญาณใหม่ต่อสู้
“ตาแก่ซงเฟิง” ติงหลวนใบหน้าเจือด้วยรอยยิ้มบาง ๆ น้ำเสียงกลับดูแคลน “ท่านที่หน้าตาคนก็ไม่ใช่คนผีก็ไม่ใช่ผีนี่ หากข้าเป็นท่านจะต้องหลบซ่อนตัวไม่พบปะผู้คนไปนานแล้ว ท่านดันยังจะภาคภูมิใจอะไรอยู่ได้ ไม่กลัวผู้ฝึกตนทั่วหล้าจะหัวเราะเสียบ้าง!”
ติงหลวนนี้ดูสุภาพอ่อนโยน คำพูดคำจากลับไม่เกรงใจอย่างยิ่ง ถึงซงเฟิงซ่างเหรินจะถูกคนด่าทอจนชิน ขณะนี้ก็ยังโกรธขึ้นมา หัวเราะเสียงเย็นว่า “ผู้ฝึกตนทั่วหล้าจะหัวเราะ? พวกผู้หญิงแซ่ติง เจ้าไปลากตัวพวกมันมาด่าให้ข้าฟังหน่อยเป็นไร มาพูดจาไร้สาระอะไรที่นี่!”
“คนที่ชมชอบวาจาไร้สาระมาตลอดคือท่าน ไม่ใช่ข้า” ติงหลวนปากคมเหมือนมีด ยิ้มบาง ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ “ท่านนึกจริง ๆ หรือว่าสหายน้อยเหล่านั้นเห็นท่านเป็นผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งของเทียนจี๋ เปิ่นจั้ว* เคยเห็นคนหลงตัวเองมาแล้ว แต่ไม่เคยเห็นคนหลงตัวเองขนาดท่านมาก่อนเลย ที่ไกล ๆ ไม่ต้องพูด ลองดูเด็กสกุลฉินที่อยู่ตรงหน้านี่ว่าเห็นท่านอยู่ในสายตารึเปล่า!”
ฉินซีได้ยินประโยคนี้แล้วในใจแอบยิ้มอย่างขมขื่น ถึงเขาจะผูกความแค้นกับซงเฟิงซ่างเหรินแต่แรก แต่ก็ไม่ได้เย่อหยิ่งเสียจนเชื่อว่าอาศัยกำลังของตนเองจะสามารถหลบหนีจากใต้ตาใต้จมูกของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายได้ ตอนนี้กำลังอยากจะอาศัยความช่วยเหลือของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สามท่านที่ตรงนี้ลดระดับการคงอยู่ของตนเองลงต่ำ ผู้อาวุโสติงท่านนี้ก็ช่างดีนัก ลากเขาออกมาดึงดูดความสนใจของซงเฟิงซ่างเหรินขึ้นมาอีก
แต่เขาก็กล่าวโทษติงหลวนไม่ได้ ติงหลวนเห็นแก่ประมุขเต๋าจิ้งเหอคุ้มครองเขาสักนิดสักหน่อยเป็นการเอ็นดูเขาแล้ว
ร่างที่หลบซ่อนอยู่ในปราณมืดของซงเฟิงซ่างเหรินเห็นได้ไม่ชัดเจน สายตากลับเหลือบมองมาอย่างดุดัน จากนั้นเอ่ยว่า “หญิงแซ่ติง พูดไร้สาระให้น้อยหน่อย ในเมื่อพวกเจ้าล้วนไม่ยอมปล่อย เช่นนั้นก็อย่าได้โทษว่าเหล่าฟูโหดร้าย!”
ว่าแล้วคนทั้งคนก็หลอมรวมเข้าไปในปราณมืด โจมตีไปทางทั้งสามคนอย่างกะทันหัน
ถึงวาจาจะดูแคลนอยู่ทุกคำ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการจู่โจมสังหารของซงเฟิงซ่างเหริน ทั้งสามคนกลับไม่กล้าดูเบา ติงหลวนเฟิ่งเซียวสองคนถอยร่างไปพร้อมกัน ใช้ทักษะเคลื่อนย้ายในพริบตา นำอาวุธเวทออก อาวุธเวทของพวกเขาสองสามีภรรยาถึงกับล้วนเป็นเครื่องดนตรี ติงหลวนโอบพิณ เฟิ่งเซียวกำขลุ่ยเซียว ถักทอตาข่ายแห่งเสียงดนตรีอันลึกซึ้งสะท้านสะเทือนออกมาในพริบตา
ปราณมืดของซงเฟิงซ่างเหรินดูแล้วโหดเหี้ยมแต่กลับถูกตาข่ายดนตรีนี้หยุดเอาไว้
พรตเต๋าจี้เห็นดังนั้นก็ยิ้มบาง ๆ หยิบน้ำเต้าสุราใบใหญ่ออกมาจากอกเสื้อ จิบอึกหนึ่งอย่างเอื่อยเฉื่อย ทันใดนั้นอ้าปากออกมา สุราดีในปากดุจดั่งลูกศร พ่นไปทางปราณมืดของซงเฟิงซ่างเหริน
ซงเฟิงซ่างเหรินเก็บปราณมืดเข้าร่างแล้วถอยไปอย่างกะทันหัน ถึงคำพูดของเขาจะจองหอง ฝีมือดุร้าย แต่กลับไม่ได้เป็นคนที่ทะนงตนอย่างผิด ๆ ปากพูดว่าไม่เห็นหัวคู่เซียนหลวนเฟิ่ง ในใจกลับกระจ่างแจ้ง ระดับการฝึกตนของสามีภรรยาคู่นี้ล้วนไม่เลว อีกทั้งการสอดประสานก็ค่อนข้างรู้ใจกัน ความสามารถในการต่อสู้ไม่ต่างจากผู้ฝึกตนขั้นปลาย เขาไม่สามารถดูเบาได้เด็ดขาด
อย่าว่าแต่ด้านข้างยังมีพรตเต๋าจี้อีกคน พรตเต๋าจี้นี้ค่อนข้างไม่ชอบพูด ถึงขนาดมีคนพูดว่าเขาแทบจะเป็นคนใบ้แล้ว แต่พอลงมือขึ้นมากลับแหลมคมไร้ที่เปรียบ มักจะซุ่มอยู่ในที่มืดไร้สุ้มไร้เสียง ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวคนก็โดนโจมตีไปแล้ว
ดังนั้นถึงน้ำสียงของเขาจะจองหอง ในใจกลับไม่กล้าประมาท ระมัดระวังเป็นที่สุด
แต่ในเมื่อลงมือไปแล้วก็ไม่มีเหตุผลให้หยุด พอเห็นซงเฟิงซ่างเหรินถอยไป ติงหลวนเฟิ่งเซียวฉวยจังหวะขึ้นหน้า เสียงขลุ่ยเซียวแปรเปลี่ยน เสียงพิณดังติง ๆ เสียงดนตรีซึ่งเดิมทีเป็นดั่งฟ้าเหลืองดินหนาอันสูงใหญ่กลายเป็นกังวานเร่าร้อนจนสั่นสะเทือนจิตวิญญาณมนุษย์
ฉินซีถูกเสียงพิณและขลุ่ยเซียวนี้กระตุ้นขึ้นมา รู้สึกเพียงพลังวิญญาณในร่างปั่นป่วนจนแทบจะควบคุมไม่อยู่ รีบสงบจิตใจทันที ทุ่มเทจิตสมาธิทั้งหมดชักนำพลังวิญญาณกลับไป
“หึ! ทักษะพื้น ๆ!” ซงเฟิงซ่างเหรินร้องหึอย่างเย็นชา วัตถุสีดำชิ้นหนึ่งจู่ ๆ ลอยออกมาจากในปราณมืด รวดเร็วยิ่งนัก กระแทกใส่หลวนเฟิ่งสองคนอย่างกะทันหัน
วัตถุสีดำนี้พอหลุดจากระยะปราณมืดของซงเฟิงซ่างเหรินก็ขยายใหญ่ขึ้นทันที พริบตาเดียวก็กลายเป็นดั่งยอดเขาเล็ก ๆ กดหลวนเฟิ่งสองคนลงไปโดยพลัน
สามีภรรยาหลวนเฟิ่งเห็นดังนี้แล้ว เสียงดนตรีเปลี่ยนไปกลายเป็นเรียบง่ายลึกซึ้งสะท้านสะเทือนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับไม่ได้ขวางกั้นได้ง่ายดายขนาดนั้นแล้ว ซงเฟิงซ่างเหรินหัวเราะเสียงเหี้ยม ยอดเขาเล็ก ๆ ทลายตาข่ายดนตรี ใช้แรงพันจุน** กดทับพวกเขาสองคน
ติงหลวนเฟิ่งเซียวสีหน้าเคร่งขรึมไร้ที่เปรียบ สองสามีภรรยาเหลือบมองกันและกัน หยุดเล่นเครื่องดนตรี ต่างคนต่างโยนพิณและขลุ่ยเซียวในมือออกไป มองเห็นว่าตัวอาวุธเวทสองชิ้นนี้กักเก็บพลังวิญญาณที่ลึกล้ำยิ่งเอาไว้ ภายใต้การพลังวิญญาณสนับสนุนของทั้งสองคน จู่ ๆ ก็ระเบิดแสงวิญญาณบาดตาออกมา
ฉินซีรู้สึกเพียงว่าตาพร่าไร้ที่เปรียบ อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นป้องกันแสงวิญญาณ
เขามิใช่เคยเห็นการต่อสู้ของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เป็นครั้งแรก มีซือฟุจิตวิญญาณใหม่ซึ่งมีความแข็งแกร่งเหนือสามัญผู้หนึ่ง สายตาของเขาเดิมก็สูงส่งอยู่แล้ว แต่เมื่อเห็นการต่อสู้ของหลายคนนี้ยังคงมีความรู้สึกว่าไม่อาจจ้องมอง ระดับจิตวิญญาณใหม่ถึงอย่างไรก็คือระดับจิตวิญญาณใหม่ ถึงเขาจะห่างจากจิตวิญญาณใหม่เพียงระยะแค่หนึ่งก้าว ความแข็งแกร่งกลับห่างชั้นไม่รู้เท่าไหร่ ถ้าหากตอนนี้เขาผูกจิตวิญญาณแล้ว ถึงแม้จะเป็นเพียงจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้น เมื่อเผชิญหน้ากับคนเหล่านี้ก็จะมิใช่ว่าไร้กำลังต่อกรสักนิดอย่างสิ้นเชิง
การต่อสู้ของซงเฟิงซ่างเหรินกับติงหลวนเฟิ่งเซียวสองสามีภรรยาดุเดือด ด้านข้างกลับยังมีพรตเต๋าจี้ที่ไร้สุ้มไร้เสียงอยู่คนหนึ่ง
พรตเต๋าจี้นี้ดูไปแล้วอายุเพียงยี่สิบต้น ๆ หน้าตาก็บอบบาง ลือกันว่าตอนเขาเดินอยู่ภายนอกมักจะถูกคนถือเป็นศิษย์ตัวเล็ก ๆ ระดับหลอมรวมพลังวิญญาณที่ไม่เข้าใจเรื่องราวทางโลก แต่หากลงมือขึ้นมาความดุดันของเขาไม่ได้ด้อยกว่าซงเฟิงซ่างเหรินเลย หลายปีมานี้ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกตนที่มีตาแต่ไร้แววมากน้อยเท่าไรถูกรูปลักษณ์ภายนอกที่ไร้พิษภัยของเขาหลอกลวงจนตายอยู่ในเงื้อมมือของเขา
ท่ามกลางแสงวิญญาณของการต่อสู้ระหว่างซงเฟิงซ่างเหรินกับติงหลวนเฟิ่งเซียวสองสามีภรรยา ฉินซีมองความเคลื่อนไหวของพวกเขาได้ไม่ชัดเจนแล้ว แต่เขารู้ว่าขณะนี้เป็นจังหวะที่ดีที่สุด ดังนั้นเขาล้วงเครื่องรางหยกหนึ่งชิ้นออกมาจากในกระเป๋าเอกภพเงียบ ๆ ดีดปลายนิ้ว เครื่องรางหยกไฟลุกท่วมและพุ่งขึ้นฟ้าภายใต้การปิดบังของแสงวิญญาณที่แผ่คลุมนภา
โชคดีที่ครั้งนี้ในที่สุดก็ส่งออกไปได้อย่างราบรื่น
เครื่องรางหยกหายลับไปในน่านฟ้า การต่อสู้จู่ ๆ ก็หยุดชะงัก ซงเฟิงซ่างเหรินพอเก็บปราณมืดบนร่างกลับมาก็ร้องหึเสียงเย็นชา “ฉินโส่วจิ้ง เจ้าทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ”
ฉินซียิ้มบาง ๆ เขารู้ว่าถึงตอนนี้จะไม่ได้เก็บกวาดเขา แต่ตาแก่ผู้นี้จะไม่ปล่อยให้เขาจากไปอย่างง่ายดายเป็นอันขาด
“ไม่มีอะไร ผู้เยาว์เพียงแจ้งต่อท่านอาจารย์สักคำว่าที่นี่มีเรื่องสนุกสนานให้ชมดู”
ซงเฟิงซ่างเหรินไม่ส่งเสียงไปชั่วขณะ ปราณมืดบนร่างกลับปั่นป่วนไม่หยุดหย่อน คล้ายกับว่าท่ามกลางเค้าพายุนี้เป็นไปได้ที่จะลงมือใส่ฉินซีทุกขณะ
เขาเพ่งสมาธิไปที่ร่างฉินซี ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สามคนไหนเลยจะปลดปล่อยโอกาสนี้ ได้ยินเพียงเสียงติงหลวนกรีดร้องคำหนึ่ง มือหนึ่งโอบพิณ มือหนึ่งกุมสายพิณแน่น ดึงเข้าและปล่อยออกฉับพลัน สายพิณส่งเสียงร้องอึงอลดัง “เจิ้ง” ออกมากะทันหัน เสียงวิญญาณกระจายออกมาทันที เฟิ่งเซียวหมุนนิ้วมือคว้าขลุ่ยเซียวหยกแล้วนำมาวางแนบริมฝีปากเป่าออกมาอย่างผ่อนคลาย
สองสามีภรรยานี้ หนึ่งจู่โจมหนึ่งป้องกัน หนึ่งตึงหนึ่งผ่อน การสอดประสานดั่งภูษาสวรรค์ไร้ตะเข็บ ถึงซงเฟิงซ่างเหรินจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งของเทียนจี๋ก็ไม่กล้าดูเบา เห็นเพียงว่าปราณมืดบนร่างของเขายิ่งมายิ่งเข้มข้นจนคล้ายกับน้ำหมึก แล้วจู่ ๆ ก็กระจายออกไป
ปราณมืดทั่วร่างซงเฟิงซ่างเหรินได้ชื่อว่าปราณแห่งปีศาจแรกเริ่ม ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มนี้หากขับเคลื่อนขึ้นมาก็เป็นดั่งวายุทิพย์อัศนีคลั่ง พลังอำนาจน่าตระหนก ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มอันขุ่นคลั่กจนเป็นเหมือนสสารควบแน่นเป็นดาบยาวหนึ่งเล่มฟันอย่างดุดันไปทางสามีภรรยาหลวนเฟิ่งในพริบตา
แต่ในชั่วพริบตานี้ มีดยาวสีดำจู่ ๆ ก็เปลี่ยนทิศทางฟันไปทางด้านขวาหลัง
“อ้าก –” เสียงร้องอันอเนจอนาถนี้คือพรตเต๋าจี้ผู้นั้น เขาเพิ่งจะหลบซ่อนอยู่ที่ด้านหลังของซงเฟิงซ่างเหรินเงียบ ๆ
ได้ยินเสียงของของพรตเต๋าจี้เต็มหู ความคิดแรกสุดของฉินซีกลับกลายเป็นว่า คนผู้นี้ไม่ได้โง่เขลาจริง ๆ จากนั้นคิดอีกว่า ซงเฟิงซ่างเหรินไม่เสียทีที่เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย เขาที่เป็นผู้ชมด้านข้างยังมองไม่ออก ในระหว่างการต่อสู้เขากลับสามารถใช้แผนซ้อนแผน โห่ร้องบูรพาจู่โจมประจิม
“หึ!” ซงเฟิงซ่างเหรินร้องหึเสียงเย็นชา “นักพรตหน้าเหม็น นึกจริง ๆ หรือว่าจะไม่มีคนพบเห็น?!”
บนใบหน้าบอบบางไร้พิษภัยของพรตเต๋าจี้ปรากฏแววโหดเหี้ยมขึ้นในพริบตา ไม่สนใจดาบแห่งปราณมืดที่จมลึกในหัวไหล่ สะบัดมือทั้งคู่อย่างกะทันหัน สิ่งของอันเล็กกะจิริดหนึ่งชิ้นตีแสกหน้าซงเฟิงซ่างเหริน ซงเฟิงซ่างเหรินกำลังจะหลบ แต่ระยะห่างของคนทั้งสองใกล้กันเกินไป เขาหลบไม่พ้น ถูกโจมตีเข้าไปเต็ม ๆ
สิ่งของนี้พอตกไปบนร่างซงเฟิงซ่างเหรินก็ส่งเสียงระเบิดดัง “ตูม” ดังลั่นทันที
“อ้าก!” เสียงนี้กลับเป็นของซงเฟิงซ่างเหริน
ครั้งนี้กลายเป็นพรตเต๋าจี้หัวเราะเสียงเย็นแล้ว เขาคว้าดาบแห่งปราณมืดที่ฟันเข้าหัวไหล่ออกมาแล้วโยนทิ้ง ส่งเสียงแหบ ๆ ว่า “ตาแก่ซงเฟิง รสชาติของอัสนีสวรรค์คำรณเป็นอย่างไร”
ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มบนร่างซงเฟิงซ่างเหรินกึ่งควบแน่นกึ่งกระจายตัว คล้ายกับว่าได้รับความเสียหายไม่เบา
ติงหลวนเฟิ่งเซียวสบตากัน ลงมือออกมาทั้งคู่
เห็นอยู่กับตาว่าซงเฟิงซ่างเหรินกำลังจะต้องฝืนรับการโจมตีประสานงานของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สามคน แต่กลับเห็นเงามืดไหววูบ ซงเฟิงซ่างเหรินออกจากที่เดิมในพริบตา ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ ปราณมืดก่อตัวครอบคลุมทั่วร่างอีกครั้ง
“เด็กน้อยไม่รู้ความ!” ซงเฟิงซ่างเหรินร้องหึเสียงเย็นชา “นึกจริง ๆ หรือว่าเหล่าฟูได้รับการโจมตีนี้แล้วจะปล่อยให้เจ้าเชือดเฉือนได้ตามใจชอบ”
ขณะนี้เขาลอยอยู่กลางอากาศ ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มไม่ได้จางหายไปสักครึ่งส่วน คล้ายกับว่าไม่เคยได้รับความเสียหายเลย
ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ล้วนตะลึงไป ใบหน้าเจือด้วยความประหลาดใจ
“สหายเต๋าจี้” ติงหลวนเอ่ยเสียงค่อย “นี่คือ……”
พรตเต๋าจี้ก็รู้สึกเหลือเชื่อ อารมณ์บนใบหน้าแปรเปลี่ยนไม่หยุดนิ่ง จับจ้องซงเฟิงซ่างเหรินเอ่ยว่า “เป็นไปไม่ได้ เขากำลังกล่าวข่มขวัญ! พลังของอัศนีสวรรค์คำรณนี้สหายเต๋าทั้งสองก็ทราบอยู่ ตาแก่นี่ฝืนรับไปหนึ่งเม็ด ถ้าจะบอกว่าไม่เป็นไร ข้าไม่เชื่อเด็ดขาด!”
เฟิ่งเซียวสีหน้าเปลี่ยนกลับไปกลับมาพักหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “สหายเต๋าจิ้งกล่าวมิผิด หลวนเม่ย พวกเราอย่างได้ถูกเขาหลอก!”
ติงหลวนได้ยินสามีพูดเช่นนี้ก็ไม่ได้กังขา เก็บพิณกลับมา เตรียมพร้อมลงมือ
ในขณะนี้จู่ ๆ กลับเห็นแสงหลบหนีหลายสายทะยานผ่านน่านฟ้าตรงมาทางด้านนี้
ผู้มาก็แบ่งเป็นสองกลุ่ม แยกย้ายมาจากสองทิศทาง
“นั่นมัน…… พรตเฒ่าฝูหลิง!” เฟิ่งเซียวพึมพำขึ้นมาเมื่อคนหนึ่งกลุ่มค่อย ๆ มองเห็นได้ชัดเจน
พรตเต๋าจี้สีหน้ามืดครึ้ม “ร้อยกว่าปีก่อน ข้ากับพรตเฒ่านี้มีเรื่องกันนิดหน่อย เกรงว่าเขาจะ……”
ติงหลวนเฟิ่งเซียวเงียบงันไม่ส่งเสียง พรตเฒ่าฝูหลิงอันที่จริงแล้วควรจะเรียกว่าผู้อาวุโสกระบี่ฝูหลิง เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสกระบี่จิตวิญญาณใหม่ของสำนักกู่เจี้ยน เดิมเขาเรียนเต๋าก่อนเข้าสำนัก ดังนั้นสวมชุดนักพรตเต๋าโลกปุถุชนมาโดยตลอด พวกเขาเหล่านี้ก็เลยล้วนเรียกเป็นพรตเฒ่า
ถึงแม้พวกเขาเหล่านี้ล้วนมาจากเจ็ดสำนักใหญ่ เพื่อเห็นแก่มิตรภาพระหว่างสำนักของกันและกันจะไว้หน้ากันอยู่สองส่วน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผลประโยชน์ก็พูดไม่ง่ายแล้ว
คนอีกกลุ่มก็บินมาใกล้แล้วในขณะนี้ หัวคิ้วของพรตเต๋าจี้ยิ่งขมวดแน่น “ฉินจิ้งเหอ……”
ติงหลวนเฟิ่งเซียวสองคนสบตากัน แววตาลึกลับอยู่บ้าง ว่ากันตามหลักเหตุผล ฉินจิ้งเหอกับพวกเขายังมีความสัมพันธ์กันไม่เลว แต่ปัญหาคือสาเหตุที่พวกเขากับซงเฟิงซ่างเหรินปะทะกันก็คือเพื่อแย่งชิงสมบัติ เมื่ออยู่ต่อหน้าสมบัติใครจะรู้ว่าจะลงมือช่วงชิงหรือไม่
ขณะนี้สายตาของเฟิ่งเซียวเหลือบไปที่ฉินซีซึ่งอยู่ด้านข้างอย่างไร้ร่องรอย ติงหลวนพยักหน้าอย่างลับ ๆ
เฟิ่งเซียวจู่ ๆ ก็เคลื่อนร่างวูบมาถึงข้างกายฉินซีในพริบตา ยิ้มบางเอ่ยว่า “เด็กน้อยสกุลฉิน ช่วยพวกข้าสักเรื่องเถอะนะ!”
ถึงฉินซีจะตื่นตัวมากอยู่ตลอด แต่เฟิ่งเซียวถึงอย่างไรก็เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลาง เขาเพิ่งจะเรียกกระบี่อัคนีสามพลังหยางออกมา กระหม่อมก็ถูกเฟิ่งเซียนกดฝ่ามือลงไปแล้ว
………………………..
* เปิ่นจั้ว (本座) คำเรียกตัวเองแบบสูงส่งของพวกเซียน มีคำที่มีความหมายคล้ายกันอีกคำคือ เปิ่นจุน (本尊)
** น้ำหนัก 1 จุนเท่ากับ 30 จิน เท่ากับ 15 กิโลกรัม (1 จินเท่ากับ 0.5 กิโลกรัม เป็นหน่วยน้ำหนักที่มาตรฐานที่สุดสำหรับจีน) จุนเป็นหน่วยวัดน้ำหนักที่ใหญ่ที่สุดของจีนแล้วค่ะ เช่นเดียวกับหน่วยจำนวน “หมื่น”
หลวน จากชื่อติงหลวน และ เฟิ่ง จากเฟิ่งเซียว เป็นชื่อนกในตำนานจีนค่ะ เท่าที่อ่านดูนกหลวนและนกเฟิ่งมันก็คือ “นกหงสา” ตัวเดียวกันนั่นแหละค่ะ แค่มันมีหลายชื่อเรียก ทั้งนี้ ศัพท์คำว่าหลวนเฟิ่งมีความหมายสื่อถึงสามีภรรยาด้วยตัวของคำศัพท์เองด้วยค่ะ (รวมทั้งสามารถแปลได้เป็นผู้ทรงคุณธรรม, กษัตริย์, หรือ สาวงาม….แหม ความหมายเยอะจริง)
ตอนที่ 294 – สารสกัดหยกเพลิงประกาย