หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 296 – เนี่ยอู๋ชาง
ตอนที่ 296 – เนี่ยอู๋ชาง
ที่พิธีฉลองผูกจิตวิญญาณของประมุขเต๋าเสวียนอิน สตรีนางนี้ยังอยู่สร้างฐานพลังขั้นปลาย หลังจากซงเฟิงซ่างเหรินปรากฏตัว นางได้หายตัวไปอย่างไม่อาจอธิบาย ก็ไม่รู้ว่าใช้วิชาอะไร คิดไม่ถึงว่าห้าสิบกว่าปีให้หลังจะได้เห็นนางอีกครั้งอย่างไม่คาดหมาย อีกทั้งนางก็เลื่อนระดับเป็นก่อเกิดตานแล้ว
นี่ก็ไม่น่าประหลาด ปีนั้นก็อยู่สร้างฐานพลังขั้นปลายแล้ว หากนางเป็นศิษย์เป็นหลานศิษย์ของซงเฟิงซ่างเหรินจริง ๆ เวลาห้าสิบกว่าปีเพียงพอให้เลื่อนระดับเป็นก่อเกิดตานขั้นต้น นี่ก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก โม่เทียนเกอเองตอนนั้นยังเป็นเพียงสร้างฐานพลังขั้นกลาง ปัจจุบันนี้ก็เลื่อนระดับเป็นก่อเกิดตานแล้ว
นางบอกเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ ให้กับจิ่งสิงจื่อหนึ่งรอบ จิ่งสิงจื่อชะงักไป ไม่ได้พูดจา ถึงเขาจะดีกับคนงาม จิตใจกลับโหดร้าย เทียบกันแล้วถึงขนาดที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าฉินซี อย่างน้อยฉินซีหากตอบรับที่จะแบกใครก็ไม่มีพูดจาไร้สาระอีก ไม่เหมือนเขา ตลอดทางมานี้เอาอกเอาใจนางไม่หยุด แต่ใจจริงไม่เคยเห็นนางเป็นพวกพ้องเลย
แต่สตรีนางนี้ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน สถานการณ์ตรงหน้านี้ คนมากขึ้นหนึ่งคนเป็นเรื่องดีเสมอ ไม่รู้ว่าจิ่งสิงจื่อจะตัดสินใจอย่างไร
โม่เทียนเกอหันหน้าไปมองสตรีนางนี้ พบว่าวรยุทธ์ของนางเทียบกับห้าสิบกว่าปีก่อนร้ายกาจขึ้นมาก ก็ใช่ การฝึกยุทธ์กับการฝึกกระบี่นั้นเหมือนกัน วิชาต่อสู้จะเหนือกว่าผู้ฝึกตนสามัญ ระดับการฝึกตนยิ่งสูง ความได้เปรียบเช่นนี้ยิ่งน่ากลัว ถึงสตรีนางนี้จะมีเพียงระดับก่อเกิดตานขั้นต้น แต่ดูพลังในการลงมือของนางแล้ว เปรียบกับผู้ฝึกตนก่อเกิดตานขั้นกลางสามัญก็ไม่ด้อยกว่า หรือแม้กระทั่งแกร่งกว่าหน่อยด้วยซ้ำ
จิตใจโม่เทียนเกอยุ่งเหยิง หากร่วมมือกับสตรีนางนี้จะเป็นกำลังช่วยเหลือที่ดี แต่หากแตกหักกันขึ้นมา…… ในหมอกหนานี้มันอันตรายทุกแห่งหนจริง ๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดจิ่งสิงจื่อส่งเสียงลับมาว่า “หากสามารถร่วมมือกับนางก็ร่วมมือเถอะ”
โม่เทียนเกอเพียงพยักหน้า ไม่ว่าจะอย่างไร ในตอนนี้เวลานี้ นางเลือกจะเชื่อจิ่งสิงจื่อ
“กูเหนี่ยงท่านนี้!” จิ่งสิงจื่อเอ่ยเสียงดัง “จ้ายเซี่ยนผู้ฝึกตนสำนักกู่เจี้ยน มิทราบว่ากูเหนี่ยงเป็นศิษย์สูงส่งของซงเฟิงซ่างเหรินหรือไม่”
ประโยคนี้พอหลุดจากปาก ร่างชุดดำนั้นก็ชะงักร่างไปครู่หนึ่ง หันศีรษะมา กวาดมองพวกเขาสองคนอย่างระแวงเต็มที
จิ่งสิงจื่อเผยรอยยิ้มบางเบา กล่าวกับนางว่า “กูเหนียงอย่าได้กังวล เราสองคนไร้เจตนาร้าย หมอกหนานี้พิสดารจริง ๆ ท่านกับข้าติดอยู่ที่นี่ด้วยกัน อยากจะร่วมมือหรือไม่”
สตรีนางนี้จับจ้องพวกเขาครู่ใหญ่ แต่ไม่เอ่ยวาจา
จิ่งสิงจื่อเอ่ยอีกว่า “ในภูเขามารอันตรายทุกแห่งหน ถึงกูเหนียงจะทักษะสูงขวัญกล้าหาญ แต่ถึงที่สุดแล้วก็เป็นคนเดียวโดดเดี่ยว ผู้ช่วยมากขึ้นก็จะมีเส้นทางล่าถอยมากขึ้น”
ตอนที่กล่าวคำพูดพวกนี้ สีหน้าของจิ่งสิงจื่อจริงใจถึงสิบส่วน สตรีนางนี้มองดูเขาแล้วมองดูโม่เทียนเกอที่อยู่ข้างหลังเขาต่อต้านการโจมตีของหนูลายทอง สีหน้าอันหวาดระแวงค่อย ๆ อ่อนลง ริมฝีปากไม่เปิดขึ้นแต่ส่งเสียงแหบ ๆ ออกมาแล้วว่า “หากว่าร่วมมือจะเป็นอย่างไร”
ได้ยินคำพูดนี้ จิ่งสิงจื่อยิ้มเอ่ยว่า “ย่อมจะร่วมมือกันคุ้มครองตนเอง เสาะหาทางออก”
“เสาะหาทางออก?” สตรีนางนี้บิดมุมปาก ยิ้มออกมาเล็กน้อย เพียงแต่ดูไปแล้วกลับเหมือนการเย้ยหยัน “พวกท่านหาเจอแล้วหรือ”
“เปล่า” จิ่งสิงจื่อเอ่ยตามจริง “แต่ว่าพวกเราสามคนเทียบกับหนึ่งคนย่อมปลอดภัยกว่าหน่อย”
โม่เทียนเกอมิอาจไม่ยอมรับว่าสีหน้าของจิ่งสิงจื่อผู้นี้ตอนที่จริงจังมีพลังโน้มน้าวอยู่บ้างจริง ๆ ภายใต้การจับจ้องของเขา สตรีนางนี้ค่อย ๆ กลายเป็นไม่ได้เย็นชาขนาดนั้นแล้ว นางเอ่ยว่า “ข้าจะไว้ใจพวกท่านได้อย่างไร”
จิ่งสิงจื่อยิ้มเอ่ย่า “ในหมอกหนานี้สังหารท่านแล้วมีประโยชน์อะไร อีกอย่าง กูเหนียงในเมื่อสามรถมาถึงซากโบราณสถานเหล่าเซียนคิดว่าต้องมีวิธีการที่เหนือคน ถึงจะแตกหักกันก็มีวิธีการหลบหนีหรือเปล่า”
เขาพูดประโยคเหล่านี้จบ สตรีนางนี้ตกอยู่ในห้วงคิด เหม่อไปวูบเดียว หนูลายทองที่อยู่เบื้องหน้านางจู่ ๆ ก็คลั่งขึ้นมา เห็นเพียงแสงกระบี่วูบขึ้น กระบี่บินของจิ่งสิงจื่อโบกสะบัดอย่างลื่นไหล แสงกระบี่ไปถึงที่ใด เนื้อเลือดสาดกระจาย หนูลายทองฝูงนั้นตายคาที่
หลังจากหนูลายทองพวกนี้ตายลง หนูลายทองตัวอื่นที่ล้อมโจมตีพวกเขาก็คลั่งขึ้นมาเหมือนกัน ทั้งสามคนไม่กล้าเลิ่นเล่อ ร่วมแรงร่วมใจสังหารหนูลายทองที่คลั่งขึ้นมาพวกนี้ไปทีละตัวทันที
เดิมทีจิ่งสิงจื่อกับโม่เทียนเกอสองคน เนื่องจากว่าอาวุธเวทของโม่เทียนเกอไม่เหมาะมือ พลังในการสังหารไม่เพียงพอ สตรีนางนี้กลับเป็นผู้ฝึกยุทธ์ การฆ่าอสูรมารเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนสามัญเร็วกว่ามาก ภายใต้การร่วมมือกันของทั้งสามคน หนูลายทองค่อย ๆ ยิ่งมายิ่งน้อย เวลากว่าครึ่งชั่วยามให้หลังหนูลายทองพวกนี้ในที่สุดก็ถูกฆ่าไปจนหมด
ทั้งสามคนร่วมมือกันล้างอสูรอันที่จริงก็เป็นการตั้งพันธมิตรขึ้นมาแล้ว หลังจากฆ่าเสร็จ ทั้งสามคนต่างเหน็ดเหนื่อย โม่เทียนเกอยืนนิ่งไม่ขยับ เสี่ยวหั่วนอนลงดื้อ ๆ แล้วห้อยลิ้นออกมา
ทั้งสามคนนั่งลงบนพื้นด้วยท่วงท่าต่าง ๆ กันหอบหายใจปรับลมหายใจ ผ่านไปพักหนึ่งจึงได้หายใจราบรื่นในที่สุด
จิ่งสิงจื่อยิ้มเอ่ยกับสตรีนางนี้ว่า “ไม่ทราบนามไพเราะของกูเหนียง?”
สตรีนางนี้เกิดความลังเลวูบขึ้นมาในแววตา ตอบว่า “เนี่ยอู๋ชาง (无伤)”
จิ่งสิงจื่อตะลึง “อู่ฉาง? (妩裳) อู่ (แปลว่าเอาใจ) จากเปี่ยมเสน่ห์? ฉาง (แปลว่าชุด) จากชุดสายรุ้ง?”
“มิใช่” นางสีหน้าเย็นชา ไม่สั่นไหวสักนิด “อู๋ (แปลว่าไร้/ไม่มี) จากมีไม่มี ชาง (แปลว่าแผล) จากบาดเจ็บ”
“……” จิ่งสิงจื่อคิดอย่างหนัก แต่ไม่เคยได้ยินชื่ออย่างนี้เลย ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรไปพักหนึ่ง อู๋ชาง นี่ไม่เหมือนกับนามของสตรีจริง ๆ ผ่านไปครึ่งค่อนวัน เขาได้แต่เอ่ยชมว่า “นามที่พิเศษนัก”
สตรีที่เรียกตนเองว่าเนี่ยอู๋ชางใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันนั้นอีกแล้ว ไม่ได้ตอบวาจา
“จ้ายเซี่ยจิ่งสิงจื่อ”
ได้ยินจิ่งสิงจื่อแนะนำตนเอง เนี่ยอู๋ชางผู้นี้เพียงพยักหน้า หันไปทางโม่เทียนเกอ กล่าวว่า “สหายเต๋าโม่ ไม่พบกันเสียนาน ยังจดจำข้าได้หรือไม่”
โม่เทียนเกอผงกศีรษะ ทั้งไม่สนิทสนมแล้วก็ไม่หมางเมิน ตอบไปอย่างชืดชาเช่นเดียวกันว่า “ย่อมจดจำได้ น่าเสียดายที่กระทั่งวันนี้จึงได้รู้ชื่อแซ่ของสหายเต๋า”
ความทรงจำของผู้ฝึกตนดีมากเสมอ พวกนางจดจำกันได้ไม่เหนือความคาดหมายเลย เพียงแต่โม่เทียนเกอมีข้อกังขาในใจ ปีนั้นสตรีนางนี้กับผู้ฝึกตนสามัญไม่ได้แตกต่างกันเลย วันนี้กลับใช้เสียงดัดโดยตลอด น้ำเสียงก็ค่อนข้างพิสดาร ไม่เคยอ้าปากพูดจาตั้งแต่ต้นจนจบ หรือว่าห้าสิบกว่าปีนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลง?
แต่พวกนางเดิมทีก็ไม่มีมิตรภาพอันใด ถึงขนาดที่สามารถพูดได้ว่าเป็นศัตรู เรื่องราวนี้นางก็เพียงแค่เก็บมาคิดในใจเท่านั้น ไม่สะดวกจะถามออกมา
หลังจากพูดอย่างเรียบง่ายหลายประโยค ทั้งสามคนผลัดกันฟื้นฟูพลังวิญญาณ
ผ่านไปพักหนึ่ง จิ่งสิงจื่อนั่งสมาธิเสร็จ ถามเนี่ยอู๋ชางว่า “เนี่ยกูเหนียง ท่านมาถึงที่นี่นานเท่าไหร่แล้ว มีเบาะแสอะไรที่จะออกไปหรือไม่”
เนี่ยอู๋ชางตอบว่า “ประมาณหนึ่งวันแล้ว ที่นี่จิตหยั่งรู้ไร้ประโยชน์ สูญเสียทิศทาง ไม่อาจเสาะหาทางออกได้มาตลอด”
สถานการณ์นี้กับพวกเขาไม่ต่างกันมาก จิ่งสิงจื่อหันหน้าไปมองโม่เทียนเกอ เอ่ยว่า “พวกเราก็เป็นเช่นนี้ แต่พวกเราตลอดทางนี้มีสหายเต๋าชิงเวยทิ้งรอยประทับม่านพลังเอาไว้ ไม่ทราบกูเหนียงเคยพบเห็นหรือไม่”
“แผนผังยันต์ปากั้วนั้นเป็นพวกท่านวาด?” เนี่ยอู๋ชางขมวดคิ้ว
โม่เทียนเกอตอบว่า “มิผิด พูดเช่นนี้ สหายเต๋าเนี่ยเคยพบเจอบนเส้นทางนี้แล้ว?”
เนี่ยอู๋ชางพยักหน้า “เคยพบหลายครั้ง…… น่าเสียดายที่ข้าไม่เชี่ยวชาญด้านแผนผังมากนัก ไม่รู้ว่าสรุปแล้วชี้ทิศทางอย่างไร”
“หลายครั้ง? พวกเราเดินมาตลอดทางก็ทำตามทิศทางของแผนผังยันต์ปากั้ว ถ้าหากสหายเต๋าพบมาหลายครั้ง นั่นแสดงว่าสหายเต๋าเดินวนหลายรอบ”
“……ที่แท้เป็นเช่นนี้” เนี่ยอู๋ชางตะลึง พูดเสียงค่อยหนึ่งประโยค ถามอีกว่า “พูดอย่างนี้ สหายเต๋าทั้งสองยังคงมีหนทางออกไปแล้ว?”
โม่เทียนเกอสีหน้านิ่งเฉย “นี่ยังไม่แน่ ใครก็ไม่รู้ว่าหมอกหนานี้สรุปว่าใหญ่แค่ไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าทิศทางนี้ถูกต้องหรือไม่ ในหมอกหนานี้ จิตหยั่งรู้ยังผิด แผนผังก็ไม่ได้น่าเชื่อถืออย่างสมบูรณ์”
คำกล่าวนี้ไม่ได้โกหก แผนผังเพียงสามารถระบุทิศทาง ไม่สามารถนำไปยังเส้นทางที่ถูกต้อง อีกอย่าง ในเมื่อหมอกหนานี้ส่งผลกระทบต่อจิตหยั่งรู้ มันจะส่งผลกระทบต่อการประเมินอื่น ๆ ด้วยหรือไม่? พวกเขาล้วนไม่ทราบ
ทั้งสามคนเงียบงันไปครู่หนึ่ง จิ่งสิงจื่อเอ่ยว่า “กูเหนียงทั้งสองพลังวิญญาณฟื้นฟูกันหมดแล้วหรือไม่”
“เสร็จแล้ว” ในร่างมีวัฎจักรเล็ก โม่เทียนเกอในขณะนี้ฟื้นฟูพลังวิญญาณได้เร็วเป็นพิเศษ
เนี่ยอู๋ชางก็พยักหน้า
จิ่งสิงจื่อจึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นทั้งสองท่านมีความเห็นอะไรต่อการเดินทางถัดจากนี้”
โม่เทียนเกอไม่ได้ตอบทันที หันศีรษะไปมองเนี่ยอู๋ชาง เนี่ยอู๋ชางก้มหน้าลง ไม่ตอบคำเช่นกัน
เงียบงันไปครู่หนึ่ง จิ่งสิงจื่อเอ่ยอีกว่า “สองท่าน นี่เกี่ยวพันถึงชีวิตของพวกเรา หากมีคำพูดอะไรให้ดีที่สุดคือพูดออกมาตรง ๆ ตอนนี้” ขณะนี้บนใบหน้าเขาไม่มีรอยยิ้ม มองดูพวกนางอย่างเคร่งขรึม
“…… ข้าไม่มีอะไรจะพูด” คนที่พูดก่อนคือโม่เทียนเกอ นางเอ่ยว่าชืดชาว่า “พูดตรง ๆ ความแข็งแกร่งของข้าไม่สู้พวกท่าน เพียงเข้าใจม่านพลังเล็กน้อยเท่านั้น ใช้แผนผังชี้ทิศทางก็คือหนทางที่ข้าสามารถคิดออกมาได้”
จิ่งสิงจื่อและเนี่ยอู๋ชางล้วนไม่ตอบ สงบเงียบกันไปพักหนึ่ง น้ำเสียงแหบต่ำของเนี่ยอู๋ชางดังขึ้นมาว่า “สหายเต๋ามีอสูรวิญญาณขั้นห้าตัวนี้ ความแข็งแกร่งไม่อ่อนแล้ว คำพูดนี้ถ่อมตัวเกินไป”
โม่เทียนเกอยิ้ม ๆ “พูดความจริงเท่านั้น อสูรวิญญาณเทียบกับผู้ฝึกตนห่างชั้นกันเกินไป”
“แต่อาวุธเวทของสหายเต๋าก็ไม่ธรรมดานะ” เนี่ยอู๋ชางเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม รอยยิ้มของนางดูแล้วไม่ใช่รอยยิ้มอย่างเรียบง่ายเลย หลายครั้งก่อนหน้านี้เจือความเย้ยหยันอยู่เสมอ ครั้งนี้กลับเป็นความหมายอื่น
โม่เทียนเกอทำเป็นว่าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “สหายเต๋าเนี่ยชมเกินไป”
เนี่ยอู๋ชางกล่าวต่อไปอีกว่า “สหายเต๋าโม่ ฟังว่า อาจารย์ท่านและซือเกอท่านล้วนมาภูเขามารแล้ว? เหตุใดท่านกลับอยู่คนเดียวเล่า”
โม่เทียนเกอมองนางทีหนึ่ง เอ่ยว่าเรียบเฉยว่า “พวกเขามีเป้าหมายอื่น”
“เช่นนั้นหรือ” เนี่ยอู๋ชางยิ้มอีก รอยยิ้มครั้งนี้ในที่สุดก็มีความรู้สึกอันเปี่ยมเสน่ห์ แต่ดูแล้วอึมครึมอยู่บ้าง “สหายเต๋าโม่…… ติดต่อพวกเขาไม่ได้แล้วสินะ”
คำพูดพอหลุดออกมา โม่เทียนเกอไม่ได้ขยับ กระบี่ของจิ่งสิงจื่อกลับหลุดจากฝักดัง “ชิ้ง” แสงกระบี่เข้าใกล้เนี่ยอู๋ชาง
เนี่ยอู๋ชางกลับไม่ขยับ เงยหน้ายิ้มเล็ก ๆ ไปทางจิ่งสิงจื่อ “สหายเต๋าจิ่ง นี่จะทำอะไร ท่านกับโรงเรียนเสวียนชิงมิได้เกี่ยวข้องกันเลยรึเปล่า”
จิ่งสิงจื่อสายตาดุจน้ำแข็ง เอ่ยเสียงเย็นเยียบว่า “ข้ากับซงเฟิงซ่างเหรินยิ่งไม่เกี่ยวข้องกัน!”
“หึ!” เนี่ยอู๋ชางยังคงเมินกระบี่บินที่อยู่ตรงหน้านางไม่ขยับ เอ่ยว่า “ฟังว่าสหายเต๋าโม่ในปัจจุบันนี้มีนามแห่งเต๋าแล้ว หลายสิบปีก่อนตอนที่แรกพบหน้าสหายเต๋า คิดไม่ถึงจริง ๆ วันนี้จะมาเร็วเยี่ยงนี้ สหายเต๋าไม่เสียทีที่เป็นศิษย์สูงส่งของประมุขเต๋าจิ้งเหอ”
โม่เทียนเกอนั่งไม่ขยับ ยังคงตอบประโยคนั้นไปว่า “สหายเต๋าเนี่ยชมเกินไป”
“พูดตามจริง” เนี่ยอู๋ชางทอดมองโม่เทียนเกอ สีหน้ายิ่งเย็นชา “สำหรับพรสวรรค์ของสหายเต๋าโม่ ข้าไร้ซึ่งความริษยา แต่สำหรับประสบการณ์ของสหายเต๋าโม่กลับริษยาไม่รู้แล้ว”
“……”
“ศิษย์สำนักใหญ่ ซือฟุจิตวิญญาณใหม่ แล้วยังรักศิษย์ดั่งชีวิต…… ชีวิตของสหายเต๋าช่างดีแท้……” พูดถึงตอนจบ สายตาเนี่ยอู๋ชางไม่ได้อยู่ที่โม่เทียนเกอแล้ว ยิ้มอย่างเหม่อลอยอยู่บ้าง
จิ่งสิงจื่อสีหน้าสั่นไหว แสงกระบี่ไหววูบ เก็บกลับมา “สหายเต๋าเนี่ย ท่านพูดสิ่งเหล่านี้สรุปแล้วหมายความว่าอะไร”
…………………………