หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 299 – แผนการต่ำทราม
ตอนที่ 299 – แผนการต่ำทราม
โม่เทียนเกอสูดลมหายใจลึก
นางรู้ว่าโชคของนางไม่เคยจะดีสักเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้เป็นโชคร้ายที่สุดที่เคยมีมาแล้ว!
ซงเฟิงซ่างเหริน ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายอันดับหนึ่งแห่งเทียนจี๋ เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ตนเองได้แต่เป็นมดแมลงที่ยอมให้บี้แต่โดยดีเท่านั้น แต่อันที่จริงแล้วนางไม่ยินยอม เพิ่งจะก้าวเข้าประตูของผู้ฝึกตนขั้นสูง อนาคตยอดเยี่ยม อีกทั้ง…… อีกทั้งใจตรงกันกับฉินซี กำลังเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของนาง นางจะยินยอมสิ้นชีพลงเช่นนี้ได้อย่างไร
“ผู้อาวุโสมีเจตนาอันใด” ความคิดนับไม่ถ้วนวูบผ่านในสมอง สุดท้ายโม่เทียนเกอกลับถามอย่างสงบนิ่ง
เสียงอันอึมครึมเย็นยะเยือกของซงเฟิงซ่างเหรินดังออกมาจากในเมฆดำ สิ่งที่ถามกลับกลายเป็น “ยาโถวน้อย เจ้าเป็นคนที่อยู่ในใจของฉินโส่วจิ้งสินะ?”
โม่เทียนเกอตะลึง นี่…….. ซงเฟิงซ่างเหรินทราบได้อย่างไร?!
ผู้ที่บนใบหน้าปรากฏร่องรอยความประหลาดใจขึ้นมาในเวลาเดียวกันคือเนี่ยอู๋ชาง นางมองโม่เทียนเกอ เต็มไปด้วยความกังขา ลังเลอยู่เป็นนาน สุดท้ายยังคงกล่าวกับซงเฟิงซ่างเหรินอย่างนอบน้อมทว่าระมัดระวังว่า “ซือฟุ นี่……เป็นไปไม่ได้กระมังเจ้าคะ”
“หึ!” ซงเฟิงซ่างเหรินร้องหึเสียงเย็นคำหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ถึงสิบส่วน ลมแรงสายหนึ่งโจมตีใบหน้า “เพี๊ยะ” ตีใส่ใบหน้าเนี่ยอู๋ชางเต็ม ๆ ทิ้งรอยแดงอันสะดุดตาเอาไว้
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ โม่เทียนเกอและจิ่งสิงจื่อล้วนขมวดคิ้วขึ้นมา พวกเขาล้วนคาดไม่ถึงว่า ซงเฟิงซ่างเหรินผู้นี้จะถึงกับใจคอโหดเหี้ยมเยี่ยงนี้ต่อศิษย์ของตนเอง เพียงพูดจาไม่ถูกใจคำเดียวก็ลงไม้ลงมือ
เนี่ยอู๋ชางไม่รู้ว่าถูกตีจนชินหรือว่านิสัยใจคอเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ถูกตีไปคราหนึ่งกลับไม่ร้องสักคำ ไม่แม้แต่จะขยับมือขึ้นมาปิดหน้า เพียงก้มหน้าลงไป
“เจ้ากล้ากังขาเหล่าฟู?!”
เนี่ยอู๋ชางก้มหน้าลงตอบอย่างสงบนิ่งว่า “มิกล้า ศิษย์เพียงรู้สึกประหลาดใจ”
“หึ! เจ้าจะรู้อะไร!” ซงเฟิงซ่างเหรินผู้นี้อยู่ต่อหน้าคนนอกยังคงแสดงความรังเกียจต่อศิษย์ของตนเองโดยไม่มีปิดบังเลยสักนิด น้ำเสียงไร้ความอดทนอย่างที่สุด ถึงแม้จะเป็นต่อโม่เทียนเกอซึ่งเป็นศิษย์ของศัตรูยังไม่เป็นเช่นนี้เลย
โม่เทียนเกอและจิ่งสิงจื่อสบตากัน ทั้งสองคนล้วนขมวดคิ้ว ความสัมพันธ์ของศิษย์อาจารย์คู่นี้…….มันแปลกประหลาดเกินไปหน่อยแล้ว
“ผู้อาวุโส” ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ จิ่งสิงจื่ออ้าปากขึ้นมาถามด้วยน้ำเสียงเคารพว่า “โปรดอภัยที่ผู้เยาว์พูดมาก ด้วยนิสัยของฉินโส่วจิ้งนั่นจะสามารถมีคนในใจได้อย่างไรขอรับ ผู้อาวุโสเข้าใจผิดไปหรือไม่”
คิดไม่ถึงว่าอยู่ต่อหน้าซงเฟิงซ่างเหริน จิ่งสิงจื่อถึงกับจะแก้ตัวให้นาง ถึงไม่แน่ว่าจะมีประโยชน์ โม่เทียนเกอยังคงเกิดความรู้สึกสำนึกบุญคุณหนึ่งส่วน
น่าเสียดาย ซงเฟิงซ่างเหรินไม่เกรงใจสักนิด ร้องหึอย่างเหยียดหยาม กล่าวว่า “เด็กน้อย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับสำนักกู่เจี้ยนเจ้า เจ้ายังคงอย่าได้คิดไปว่าตนเองเฉลียวฉลาดจะดีกว่า หากมิเช่นนั้น เหล่าฟูจะไม่เห็นแก่หน้าตาแก่หยวนอิงแล้ว!”
การสังหารผู้ฝึกตนก่อเกิดตานหนึ่งคนสำหรับซงเฟิงซ่างเหรินแล้วไม่นับเป็นอะไรเลย คาดว่าผู้อาวุโสกระบี่หยวนอิงของสำนักกู่เจี้ยนก็จะไม่ไปหาซงเฟิงซ่างเหรินเพื่อล้างแค้นแทนผู้เยาว์ก่อเกิดตานคนหนึ่ง ถึงผู้เยาว์ก่อเกิดตานผู้นี้จะมีพรสวรรค์สักเท่าใดก็เหมือนกัน จิ่งสิงจื่อในใจทราบกระจ่างชัดถึงที่สุด ได้ยินคำพูดนี้แล้วก็กำหมัด แต่สุดท้ายไม่ได้เอ่ยวาจาอีก
สายตาอันไร้รูปของซงเฟิงซ่างเหรินกลับมาตกอยู่ที่ร่างโม่เทียนเกออีกครั้ง ถึงแม้ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้จะไม่ได้มีร่างกาย แต่โม่เทียนเกอกลับสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจอย่างแท้จริง
“ผู้อาวุโส!” ภายใต้พลังอำนาจเช่นนี้ นางเลือกที่จะเอ่ยปากขึ้นมาก่อน “ผู้อาวุโสสรุปว่ามีคำสั่งสอนใด”
“ศิษย์ของฉินจิ้งเหอ ข้าจะกล้าสั่งสอนอันใดเล่า” ซงเฟิงซ่างเหรินเย้ยหยัน จากนั้นเอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า “เจ้าไม่ต้องหวังให้โชคช่วย ก่อนหน้านี้เหล่าฟูบังเอิญได้พบฉินจิ้งเหอและพวก ซือฟุของเจ้าผู้นั้นพูดกับคนอื่นอย่างชัดเจนว่าฉินโส่วจิ้งมีคนในใจ แล้วก็เป็นศิษย์ของเขาด้วย ฉินโส่วจิ้งนั่นยังพูดอีกว่าพลัดหลงกับเจ้าที่นี่ กระวนกระวายยิ่งนัก คิดว่าคนในใจของเขานอกจากเจ้าก็ไม่มีคนอื่นแล้วสินะ?”
ได้ยินคำพูดของซงเฟิงซ่างเหริน โม่เทียนเกอกลับยินดีขึ้นมาในใจ พูดอย่างนี้ โส่วจิ้งซือเกอกับซือฟุไปรวมตัวกันแล้ว? เช่นนั้นนางก็วางใจแล้ว มีซือฟุอยู่ โส่วจิ้งซือเกอย่อมไม่เป็นไร
คิดถึงตรงนี้ ถึงสถานการณ์ที่อยู่เบื้องหน้าสำหรับนางยังคงสิ้นหวัง อารมณ์ของโม่เทียนเกอกลับดีขึ้นมาแล้ว นางยิ้ม เอ่ยกับซงเฟิงซ่างเหรินว่า “ในเมื่อตกอยู่ในมือของผู้อาวุโส ผู้เยาว์ก็ไม่มีอะไรจะพูด ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสอยากจะจัดการกับผู้เยาว์อย่างไร”
นางผ่อนคลายอย่างผิดปกติ ทำให้ซงเฟิงซ่างเหรินกังขาอยู่บ้าง “เจ้าไม่กลัว?”
“กลัวแล้วอย่างไรเล่า” โม่เทียนเกอกล่าวอย่างชืดชา “กลัวแล้วผู้อาวุโสจะปล่อยข้าหรือไร เรื่องที่เสียแรงโดยเปล่าประโยชน์เช่นนี้ผู้เยาว์ไม่เคยกระทำเลย”
เมฆดำเงียบสงบไปครู่หนึ่ง ภายในมีเสียงหัวเราะของซงเฟิงซ่างเหรินดังออกมาว่า “ฮา ๆๆ ยาโถวน้อยเจ้าน่าสนใจนัก! น่าเสียดายหนอน่าเสียดาย ดันเป็นศิษย์ของเฒ่าเดียรัจฉานฉินจิ้งเหอนั่น!” เสียงเย็นชา หัวเราะชั่วร้าย “ศิษย์ปิดสำนักของฉินจิ้งเหอ คนในใจของฉินโส่วจิ้ง…… หึ ๆ สวรรค์เฒ่าช่วยข้าโดยแท้! หากสังหารเจ้า สองคนนั้นจะต้องเจ็บปวดจนไม่อาจมีชีวิตเลยสินะ?”
น้ำเสียงชั่วร้ายของซงเฟิงซ่างเหรินทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาที่แผ่นหลัง นางตั้งสติ เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสมองข้าสูงไปแล้ว ซือฟุกับซือเกอของผู้เยาว์ล้วนเป็นคนที่จิตเต๋ามั่นคงสิบส่วน หากผู้เยาว์ตายลงด้วยภัยพิบัติ พวกเขาอาจจะเศร้าใจไปพักหนึ่ง แต่สำหรับผู้ฝึกตน สิ่งที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นเส้นทางเซียน จะไม่มีความเปลี่ยนแปลงอันใด”
ประโยคนี้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่คำแก้ตัว มันเป็นความคิดอย่างแท้จริงในใจของนาง หากนางตายลงไป ซือฟุและโส่วจิ้งซือเกอย่อมจะเศร้าใจเพื่อนาง แต่ว่าพวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกตน สำหรับผู้ฝึกตนมีอะไรที่สำคัญยิ่งกว่ามหามรรคาหรือ เรื่องจะเศร้าสักแค่ไหนก็จะผ่านพ้นไป มีเพียงมหามรรคาที่เป็นการแสวงหาอันไร้ขีดจำกัด
คิดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอจู่ ๆ ก็รู้สึกอารมณ์หดหู่อยู่บ้าง อดหัวเราะเยาะตนเองมิได้ หรือว่าสารภาพความรู้สึกของตนเองแล้วนางก็กลายเป็นอารมณ์อ่อนไหวขึ้นมา? นี่มีอะไรพิสดารหรือ พวกเขาเป็นผู้ฝึกตน สำหรับผู้ฝึกตนอาจจะมีเรื่องที่สลักในกระดูกฝังในใจ แต่จะไม่มีเรื่องที่เจ็บปวดจนไม่อาจมีชีวิต
“ซือฟุ!” เนี่ยอู๋ชางที่ยืนอยู่ข้างเมฆดำจู่ ๆ ก็พูดขึ้นมา สายตาจับจ้องโม่เทียนเกอ เอ่ยว่า “ซือฟุอยากสังหารนาง จะให้ศิษย์ลงมือได้หรือไม่”
“สหายเต๋าเนี่ย!” จิ่งสิงจื่ออดสงเสียงออกมามิได้ “ท่าน……”
เนี่ยอู๋ชางกวาดสายตามอง แต่ไม่ได้หยุดอยู่ที่ร่างของจิ่งสิงจื่อมากนัก เพียงทอดมองไปที่เมฆดำอย่างนอบน้อม
ผ่านไปพักหนึ่ง ในเมฆดำมีเสียงของซงเฟิงซ่างเหรินดังออกมาว่า “เจ้าคิดจะประชันกับนางสักรอบหรือ”
เนี่ยอู๋ชางเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “หลายสิบปีก่อนศิษย์มิได้เอาชนะนาง ในใจไม่ยอมรับ ขอให้ซือฟุโปรดอนุญาต!”
โม่เทียนเกออดมองเนี่ยอู๋ชางมิได้ สีหน้าของนางสงบนิ่งมาก ดูไม่ออกว่านางอยากช่วยเหลือตนเองหรือไม่ แต่เรื่องนี้ซงเฟิงซ่างเหรินหากตกลงสำหรับนางแล้วเป็นเรื่องดีแน่นอน เนี่ยอู๋ชางถึงจะร้ายกาจ แต่ตนเองถ่วงเวลากับนางครึ่งชั่วยามไม่เป็นปัญหาเลย ถึงเวลา……
“หึ!” เสียงหึเย็นชาของซงเฟิงซ่างเหรินตีขัดจินตนาการของนาง กลับได้ยินเขาเอ่ยว่า “ใครบอกว่าข้าอยากสังหารนาง”
ได้ยินคำพูดนี้ โม่เทียนเกอสามคนล้วนตะลึงไป เนี่ยอู๋ชางยิ่งตะลึงไปพักใหญ่ เอ่ยอย่างไม่มั่นใจอยู่บ้างว่า “ซือฟุ……ไม่อยากจะสังหารนาง?”
คำพูดของนางเพิ่งเปล่งออกมา ลมแรงสายหนึ่งกวาดผ่านมาอีก ทิ้งรอยแดงไว้บนแก้มขาวนวลของนางอีกครั้ง เสียงหมดความอดทนของซงเฟิงซ่างเหรินดังออกมาว่า “เจ้ากล้าคาดเดาจิตใจของเหล่าฟู?!”
เนี่ยอู๋ชางปิดปาก ก้มหน้าไม่พูดจา
ศิษย์อาจารย์สองคนนี้ไม่มีลักษณะของศิษย์อาจารย์อย่างแท้จริง ในความนอบน้อมที่เนี่ยอู๋ชางมีต่อซงเฟิงซ่างเหรินเป็นความหวาดกลัวมากยิ่งกว่า ส่วนซงเฟิงซ่างเหรินก็ไม่ได้มีความคิดรักถนอมต่อเนี่ยอู๋ชางแม้แต่ครึ่งส่วน แม้กระทั่งสามารถพูดได้ว่าถึงเป็นข้ารับใช้ก็จะไม่ต่ำต้อยถึงเพียงนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูกศิษย์เลย
จู่ ๆ โม่เทียนเกอก็เข้าใจคำพูดนั้นของเนี่ยอู๋ชางตอนที่พบกันแล้ว มีซือฟุเยี่ยงนี้ มิน่าเล่านางจึงริษยาที่ตนเองมีชีวิตที่ดี เทียบกันแล้ว ชีวิตของนางดีมากจนเกินไปจริง ๆ ซือฟุไม่เคยว่านางหนัก ๆ สักคำ ทุกเรื่องราวยิ่งคิดเพื่อนาง
นางไม่มีความเกลียดชังต่อเนี่ยอู๋ชาง เพราะว่าพวกนางเดิมทีก็ยืนอยู่คนละฝั่ง เนี่ยอู๋ชางหันไปหาซือฟุบอกที่อยู่ของนาง ปกติอย่างยิ่ง แน่นอนว่าก็ไม่มีความรัก เพราะเนี่ยอู๋ชางเป็นศัตรูของนาง นางไม่ใช่คนที่จะสิ้นเปลืองความเห็นใจส่งเดช ขณะนี้ เห็นเนี่ยอู๋ชางอยู่เบื้องหน้าซงเฟิงซ่างเหรินไม่มีศักดิ์ศรีแม้แต่ครึ่งส่วน นางเพียงรู้สึกเสียดาย เสียดายที่สตรีผู้ค่อนข้างแข็งกร้าวนางนี้ถึงกับเป็นศิษย์ของซงเฟิงซ่างเหริน
“หึ ๆ! สังหารนางรึ แน่นอนว่าอย่างนี้ฉินจิ้งเหอและฉินโส่วจิ้งจะต้องเจ็บปวดมาก! แต่ก็เหมือนกับว่าไม่ได้น่าสนใจขนาดนั้น…… อืม เหล่าฟูต้องคิดดู จะจัดการอย่างไรกับยาโถวน้อยนี่…… อ้อ มีแล้ว!”เสียงในเมฆดำจู่ ๆ กลายเป็นพิสดารมาก ยินดีปรีดา แล้วก็ทำให้คนรู้สึกขนลุกชัน
โม่เทียนเกอสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันกล้าแกร่งครอบคลุมบนร่างของตนเอง ขยับก็ขยับไม่ได้ ความหวาดกลัวอันทำให้นางตัวสั่นจู่ ๆ ก็ครอบคลุมทั่วร่างของนาง
“ยาโถวเจ้าอันที่จริงแล้วหน้าตาไม่เลวเลยนะ” เสียงในเมฆดำกล่าวขึ้นมา
“……” โม่เทียนเกอจู่ ๆ คิดถึงความเป็นไปได้ประการหนึ่ง เหงื่อเย็นหลั่งออกมาในพริบตา น่าจะไม่ใช่อย่างที่นางคิดจริง ๆ สินะ?
“ชิ ๆ!” เมฆดำสั่นไหว เสียงที่ทำให้คนขนลุกชันอ่อนโยนลง “ยาโถวน้อย จะโทษก็โทษโส่วจิ้งซือเกอของเจ้าเถิด ใครบอกให้เจ้าบังเอิญถูกเขารักเล่า ข้าอยากจะดูนักว่าหลังจากที่คนที่เขารักสูญเสียร่างกาย เขาจะเจ็บปวดอย่างไร…… ฮา ๆๆๆ…… ฉินโส่วจิ้ง เจ้าสังหารศิษย์ข้า ข้าก็จะทำให้เจ้าลิ้มลองว่ากินแมลงวันเข้าไปมันจะเป็นรสชาติอะไร! ฮา ๆๆ!”
ในที่สุดก็ได้ยินประโยคยืนยันนี้ โม่เทียนเกอเพียงรู้สึกหัวสมองด้านช้าในพริบตา แทบจะเสียสติไปแล้ว! ในพริบตานี้ในสมองนี้มีความคิดนับไม่ถ้วนพลิกตลบ สุดท้ายโพล่งออกมาว่า “ท่าน……ท่านที่เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายคนหนึ่งถึงกับทำเรื่องต่ำทราบเยี่ยงนี้?!”
“ต่ำทราม?” เสียงของซงเฟิงซ่างเหรินเย็นยะเยือก “ยาโถว บนโลกฝึกเซียนที่ผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อผู้แข็งแกร่งนี้ ยังจะมีเรื่องสูงส่งอะไรที่ทำไม่ได้ด้วยหรือ”
“……”
“ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่ความคิดนี้ของผู้อาวุโสก็ช่าง……สกปรกเกินไปหน่อยนะ!” จิ่งสิงจื่อมีสีหน้าน่าเกลียดถึงขีดสุด “ผู้อาวุโสกระทำเรื่องเช่นนี้ต่อผู้เยาว์คนหนึ่ง หรือไม่กลัวโลกฝึกเซียนหัวเราะเยาะ?”
“ฮา ๆๆๆ!” ซงเฟิงซ่างเหรินหัวเราะใหญ่ “ข้าจะกลัวหัวเราะเยาะอะไร เด็กน้อย หรือว่าเจ้าฟังไม่ออก? คนที่กังวลควรจะเป็นเจ้าถึงจะถูก!”
จิ่งสิงจื่อตะลึง “……หมายความว่าอะไร”
“หึ!” ซงเฟิงซ่างเหรินรังเกียจที่จะตอบ เมฆดำโผเข้ามา บริเวณโดยรอบของโม่เทียนเกอและจิ่งสิงจื่อเกิดลมกรรโชกขึ้นมาทันใด นำพาปราณอันหนาวเหน็บมากดดันใส่พวกเขา
โม่เทียนเกอไม่อาจสนใจสิ่งอื่น ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวออกมาคลุมรอบตัวในพริบตา หลังจากนั้นนางกดหว่างคิ้วอยากจะเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน
นางไม่ใช่คนที่ไม่เยือกเย็นขนาดนั้น แต่ประโยคที่ซงเฟิงซ่างเหรินเอ่ยถึงทำให้นางสูญเสียสติปัญญาไปแล้ว! เรื่องอย่างนี้…… น่าขยะแขยงเกินไปแล้ว!
แต่ว่า เบื้องหน้าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายคนหนึ่ง นางไหนเลยจะมีเวลาทัน? เพียงรู้สึกชาไปทั้งร่าง สูญเสียสติสัมปชัญญะในทันใด
……………………………….