หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 300 – หาคน
ตอนที่ 300 – หาคน
“ซือฟุ!” ในหมอกหนา ฉินซีจู่ ๆ หยุดชะงัก ขมวดคิ้วขึ้นมา
“ทำไม” ประมุขเต๋าจิ้งเหอถามโพล่งออกมา
ฉินซีสูดดมกลิ่นที่ลอยอยู่ในอากาศ เอ่ยว่า “เทียนเกอ…… อาจจะกำลังส่งข่าว”
“หืม?” ประมุขเต๋าจิ้งเหอหันหน้ามา
ฉินซีดมอีกครั้ง สุดท้ายพยักหน้ายืนยัน “ไม่ผิด เป็นเทียนเกอ!”
ได้ยินเขาพูดอย่างมั่นใจขนาดนี้ ประมุขเต๋าจิ้งเหออยากรู้ขึ้นมา “ระหว่างเจ้ากับเทียนเกอหรือว่าจะมีวิธีการส่งข่าวที่พิเศษอะไร”
ฉินซีเอ่ยว่า “ถือว่าใช่เถอะ ตอนนั้นคิดไม่ถึงว่าจะสามารถใช้ประโยชน์ ซือฟุ ตามกลิ่นนี้ไป เทียนเกอจะต้องอยู่นั่นแน่ ๆ!”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็สูดดม กลิ่นนี้ที่อบอวลอยู่ในอากาศคล้ายกับกลิ่นดอกไม้ใบหญ้าอะไรสักอย่างมาก แต่พอดมดูให้ละเอียดกลับเหมือนจะมีเอกลักษณ์ยิ่ง เจ้าเด็กนี่มั่นใจขนาดนี้ เห็นทีเป็นสิ่งของส่วนตัวของตนเอง
ทั้งสองคนก้าวไปข้างหน้าช้า ๆ ตามกลิ่น ตอนเริ่มแรกยังต้องค่อย ๆ แยกแยะกลิ่น ภายหลังกลิ่นยิ่งมายิ่งแรง ทั้งสองคนยิ่งเดินยิ่งเร็ว
หมอกหนาค่อย ๆ จางหาย เพียงพริบตาทั้งสองคนออกจากระยะของหมอกหนาแล้ว
ประมุขเต๋าจิ้งเหอเอ่ยอย่างทึ่ง ๆ ว่า “ยาโถวนี่ ที่แท้ออกมาแต่แรกแล้ว”
ฉินซีเห็นดังนี้ก็ยินดียิ่งนัก “นางเฉลียวฉลาดมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าคิดวิธีอะไรออกมาได้……”
ขณะที่พูด ทั้งสองคนหยุดลง นี่เป็นสถานที่ซึ่งกลิ่นเข้มแรงที่สุด ในเวลาเดียวกันฉินซีก็พบเห็นขี้เถ้าสีดำหนึ่งกองบนพื้น พิสูจน์ว่ากลิ่นส่งออกมาจากที่นี่จริง ๆ แต่สิ่งที่น่าประหลาดคือรอบบริเวณกลับไร้ผู้คน แผ่ขยายจิตหยั่งรู้ ในระยะหลายสิบลี้ยังไม่มี
“ซือฟุ?” ฉินซีงงงัน “ท่านพบเห็นว่ารอบบริเวณมีคนหรือไม่ขอรับ”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอสั่นศีรษะ “ไม่มี” จิตหยั่งรู้ของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ครอบคลุมได้กว้างไกลเพียงใด แต่สุดขอบเขตของจิตหยั่งรู้ไม่มีการเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณผู้ฝึกตนสักครึ่งส่วน
ประมุขเต๋าจิ้งเหอหันศีรษะมองดูทิศทางที่จากมา พูดว่า “นางจะเข้าไปใหม่หรือไม่”
“น่าจะไม่” ฉินซีขมวดคิ้ว “เทียนเกอหนักแน่นมาโดยตลอด นางส่งข่าวออกมาจากที่นี่ก็ต้องรอพวกเราอยู่ที่นี่จึงจะถูก นอกเสียจากเวลานานเกินไป หรือว่าเกิดอะไรเปลี่ยนแปลง”
“เปลี่ยนแปลง……” ประมุขเต๋าจิ้งเหอสีหน้ามืดครึ้ม สายตากวาดผ่านทิวทัศน์โดยรอบดุจประกายไฟ สีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน “ไม่ดีแล้ว!”
“ทำไมขอรับ” ฉินซีถามอย่างกระวนกระวาย “ซือฟุดูอะไรออกแล้ว?”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่ได้ตอบทันที โบกแขนเสื้อหนึ่งครั้ง พลังวิญญาณสีแดงอ่อนกระจายออกไปครอบคลุมรอบทิศ อย่างช้า ๆ ในสีแดงอ่อนปรากฏสีดำขึ้นมาบางส่วน
ฉินซีก็สีหน้าเปลี่ยนไปแล้ว “นี่คือ……”
“ปราณมาร!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอขมวดคิ้ว “บนซากโบราณสถานเหล่าเซียนไม่มีปราณมารเลย ปราณมารนี้กับปราณมารของภูเขามารก็ไม่เหมือนกันอย่างมาก เหวยซือเพียงเคยเห็นปราณมารชนิดนี้อยู่บนร่างคนคนเดียว”
ไม่ต้องพูดอีกฉินซีก็รู้แล้ว เขาพึมพำกับตัวเอง “ซงเฟิงซ่างเหริน……”
“มิผิด” ประมุขเต๋าจิ้งเหอสีหน้ามืดลง “ซงเฟิงซ่างเหรินเคยมา!”
ฉินซีสีหน้ายิ่งซีดขาว เขาแทบไม่กล้าจินตนาการว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ซงเฟิงซ่างเหรินเคยมา เทียนเกอไม่อยู่นี่ ก่อเกิดตานขั้นต้น ผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งของเทียนจี๋……
“เจ้าอย่าได้กระวนกระวาย!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอปลอบมาคำหนึ่ง ล้วงวัตถุหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ กลับเป็นตะเกียงขนาดเล็กจิ๋ว มีขนาดเพียงฝ่ามือ ในดวงตะเกียงมีแสงตะเกียงสว่างไสว
นี่เป็นตะเกียงจิตวิญญาณขั้นต้นคู่ชีพของโม่เทียนเกอ เป็นประมุขเต๋าจิ้งเหอเอาเลือดสกัดของนางมาทำ ขอเพียงนางยังมีชีวิต ตะเกียงนี้ก็จะสว่างตลอดไป
เห็นแสงตะเกียงสว่างไสว ประมุขเต๋าจิ้งเหอเผยรอยยิ้มออกมา “เจ้าดู ตะเดียงคู่ชีพไม่เป็นไร นางจะต้องไม่เป็นไร รอบบริเวณนี้ก็ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ด้วย ไม่แน่ว่าเทียนเกอหลบหนีไปแล้ว”
“ถูก!” ฉินซีพยักหน้า สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ กระตุ้นตัวเองขึ้นมา “ซือฟุ พวกเราหาอีก เป็นไปได้ว่าเทียนเกอถูกซงเฟิงซ่างเหรินพาไปแล้ว หรือเป็นไปได้ว่านางสมองไว วิ่งหนีไปแล้ว” ถึงอย่างหลังจะมีความเป็นไปได้ต่ำมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีความเป็นไปได้เลยสักนิดหนึ่ง ตะเกียงคู่ชีพสว่างไสวอย่างนี้แปลว่านางยังสบายดี นี่เป็นเรื่องดี รอบบริเวณนี้ก็ไม่มีร่องรอยการลงไม้ลงมือ ซงเฟิงซ่างเหรินอาจจะแค่เอาตัวนางไป
“อืม” เห็นเขายังคงรักษาความสงบนิ่ง ไม่ได้แตกตื่นเสียศูนย์ ประมุขเต๋าจิ้งเหอพึงพอใจแล้ว “ในเมื่อเป็นข่าวที่เทียนเกอส่งมา เช่นนั้นจะติดตามกลิ่นนี้หานางอีกได้หรือไม่”
ฉินซีคิด ๆ ดู “ลองดูก็ได้” อำพันนี้เป็นสิ่งที่เขาได้รับมาในเวลาเดียวกับลูกประคำวิญญาณพลังหยางในอดีต วัตถุแห่งโบราณกาล เดิมทีเขาไม่รู้ว่ามีประโยชน์อันใด มีครั้งหนึ่งที่ใช้ไฟแท้เผาโดยไม่ได้ตั้งใจ พบว่ากลิ่นของมันพิเศษอีกทั้งแพร่กระจายไปไกลยิ่ง จึงคิดว่าวัตถุนี้สามารถส่งข่าว ตอนที่ให้เทียนเกอไม่ได้คิดมากขนาดนั้น เพียงรู้สึกว่าอำพันนั่นดูสวยยิ่ง อีกทั้งมีอยู่น้อยบนโลกหล้า ความในใจคืออยากให้นางชมชอบ ใครจะรู้ว่าเทียนเกอไม่ได้สังเกตสนใจอำพันนี้เลยในสิ่งของที่มีเป็นกอง ๆ ทำให้เขาบื้อใบ้อยู่เป็นนาน ตอนนี้อำพันนี้กลับได้ใช้ประโยชน์ขึ้นมาแล้ว เป็นความยินดีอย่างเหนือคาด
ติดตามกลิ่นนั้นเพื่อหาคนอีกครั้ง เทียบกับเมื่อครู่แล้วยากกว่ามาก กลิ่นยิ่งมายิ่งจางหาย แยกแยะได้ยาก
พวกเขาเสาะหาไม่หยุด แล้วก็หันศีรษะกลับไปไม่หยุด เวลาผ่านไปทีละเล็กละน้อย เห็นว่าตะเกียคู่ชีพของโม่เทียนเกอคล้ายกับจะมีสัญญาณอ่อนกำลังลง อดไม่ได้ที่จะยิ่งมายิ่งร้อนรน สิ่งที่ร้ายแรงที่สุดคือหาไปหามา ทิศทางไปที่เป็นไปได้มากที่สุดของเทียนเกอกลับยังคงเป็นในหมอกหนา
เวลาที่นัดหมายกับประมุขเต๋าหัวเหยียนมาถึงแล้ว ยังคงหาโม่เทียนเกอไม่พบ ประมุขเต๋าจิ้งเหอไร้หนทาง เรียกตัวประมุขเต๋าหัวเหยียน จากนั้นพบกันแล้วค่อยเสาะหาด้วยกัน เมื่อเป็นเช่นนี้พบกับซงเฟิงซ่างเหรินเข้าก็มีกำลังจะต่อสู้
ประมุขเต๋าหัวเหยียนไม่มีความเห็น โม่เทียนเกอมิใช่ศิษย์ทั่วไป ด้วยพรสวรรค์ของนางขอเพียงไม่มีอะไรเหนือความคาดหมายร้อยปีให้หลังจะต้องกลายเป็นเสาหลักรุ่นใหม่ของโรงเรียนเสวียนชิง เขาเป็นถึงประมุขเต๋าจิตวิญญาณใหม่ ย่อมต้องคำนึงถึงสำนักตนเอง เพียงแต่เวลาของพวกเขาก็งวดมากแล้ว ประมุขเต๋าทั้งสองกับผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สองท่านของสำนักเทียนเต้านัดหมายกันจะไปที่วังอวี้เสินของซากโบราณสถานเหล่าเซียน ยังมีเวลาครึ่งวันจะเป็นช่วงเวลานัดหมายของพวกเขา หากคลาดไปกลับอธิบายได้ไม่ง่าย
ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งสามคนรวมตัวกัน ประมุขเต๋าหัวเหยียนถามว่า “จิ้งเหอซือเกอ นี่สรุปว่าเป็นเรื่องอย่างไร เหตุใดชิงเวยถึงถูกซงเฟิงซ่างเหรินจับกุมตัวไปเล่า”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอเอ่ยว่า “เรื่องนี้ภายหลังค่อยพูด หัวเหยียนซือตี้ เวลามีไม่มาก พวกเราไปหาคนก่อนเถอะนะ?”
ประมุขเต๋าหัวเหยียนพยักหน้า ไม่มีคำพูดไร้สาระ “ได้”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอกับประมุขเต๋าหัวเหยียนต่างคนต่างเอาอาวุธเวทบินออกมาพาฉินซีขึ้น ทั้งสามคนหายลับไปในหมอกหนาในพริบตา
โม่เทียนเกอรู้สึกว่าตนเองกำลังฝัน ฝันอันแสนเจ็บปวดแปลกประหลาด
“ซือฟุ!” นางได้ยินเสียงที่คุ้นเคยอยู่บ้าง ขณะนี้เจือไปด้วยความกระสับกระส่าย “อย่างนี้……อย่างนี้จะไม่ค่อย……”
“เพี๊ยะ” เสียงหนัก ๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นมา เสียงแหบชราเอ่ยอย่างโมโหว่า “ทำไม เจ้าเห็นใจนางรึ”
“……ศิษย์มิกล้า”
“หึ! ในเมื่อไม่กล้า ยังไม่ทำอีก!”
“……เจ้าค่ะ”
ถัดไปได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ จากนั้นนางถูกยกขึ้น มีสิ่งของอะไรสักอย่างยัดเข้ามาในปากของนาง…… เป็นสิ่งของที่ลักษณะเหมือนถั่ว นางรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาตามสัญชาตญาณ ไม่ควรจะกลืนสิ่งของพวกนี้ลงไป นางกังวลว่าคนผู้นี้จะบังคับให้นางกลืนลงไป แต่คนผู้นี้เพียงยกคางของนาง มือข้างหนึ่งกดลงบนลำคอของนาง
สิ่งของเหล่านั้นไม่ได้ไหลเข้าไป
แต่ว่า พร้อมกับที่เวลาผันผ่าน สิ่งของพวกนั้นในปากนางคล้ายจะมีน้ำซึมออกมา ค่อย ๆ ไหลเข้าลำคอ หลังจากนั้นไปอีก นางรู้สึกว่าเหตุผลที่หลงเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยก็ไม่มีแล้ว ทั่วร่างกายกลายเป็นร้อนรุ่ม คล้ายกับหลอมละลายอยู่ในเปลวเพลิง…….
ทั้งสามคนบินไป ๆ มา ๆ อยู่พักใหญ่ กลิ่นนั้นยิ่งมายิ่งจางหาย ยังคงหาโม่เทียนเกอไม่พบ
ฉินซีกระวนกระวายไม่รู้แล้ว เขารู้ว่าเรื่องที่ซือฟุกับหัวเหยียนซือซูไปวังอวี้เสินสำคัญมาก หากถึงเวลาแล้วยังเสาะหาเทียนเกอไม่พบ ซือฟุนั้นช่างเถิด หัวเหยียนซือซูจะต้องไม่เต็มใจจะเสียเวลาอีกต่อไป และยิ่งลากนานไป เทียนเกอก็จะยิ่งอันตราย
“ซือฟุ……” เขาหันศีรษะไปพูดเพียงคำเดียว ประมุขเต๋าจิ้งเหอก็ยกมือขึ้นหยุดเขาแล้ว
ประมุขเต๋าจิ้งเหอขณะนี้ก็กระวนกระวายมาก เรื่องของวังอวี้เสินเกี่ยวข้องกับวาสนาที่เขาจะเลื่อนขั้นเป็นจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย แต่ชีวิตของเทียนเกอเขาก็เห็นความสำคัญ สองสิ่งเขาล้วนไม่อยากละทิ้ง แต่หากถึงเวลาเขาก็จำเป็นจะต้องละทิ้งหนึ่งในนั้น
อารมณ์บนใบหน้าประมุขเต๋าจิ้งเหอแปรเปลี่ยนกลับกลายอยู่นาน สุดท้ายตกลงใจ เอ่ยว่า “ไม่ทันกาลแล้ว เช่นนั้นก็ได้แต่เป็นเช่นนี้”
ฉินซีไม่รู้อยู่พักหนึ่งว่าได้แต่เป็นเช่นนี้ที่เขาพูดหมายความว่าอะไร ประมุขเต๋าหัวเหยียนเห็นประมุขเต๋าจิ้งเหอหยิบตะเกียงคู่ชีพดวงหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ สีหน้าแปรเปลี่ยนไป เอ่ยว่า “ซือเกอ นี่…… นี่จะส่งผลต่อความแข็งแกร่งของท่านนะ”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่หวั่นไหว เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ความแข็งแกร่งเล็กน้อยนี้ข้ายังสูญเสียไหว หัวเหยียนซือตี้เจ้าไม่ต้องพูดมากแล้ว” พูดจบ เขากดที่หว่างคิ้ว อยากจะร่ายเวท
“ซือฟุ!” กลับเป็นฉินซีที่หยุดยั้งการกระทำของเขา เขาเอื้อมมือไปปิดตะเกียงชีวิตที่ยังส่องสว่างแต่เทียบกับเมื่อครู่นี้แล้วอ่อนกำลังลงไปหน่อยดวงนั้น เขาเข้าใจแล้วว่าซือฟุคิดจะทำอะไร หมอกหนานี้ปิดกั้นจิตหยั่งรู้ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเลือดสกัดเป็นสิ่งที่มิอาจปิดกั้น ดังนั้นซือฟุคิดจะบังคับเลือดสกัดของตนเองออกมาไปสัมผัสตำแหน่งของเทียนเกอ นี่ไม่ได้อย่างเด็ดขาด ความสำคัญของเลือดสกัดผู้ฝึกตนทุกคนล้วนทราบกระจ่าง หากสูญเสียไป ความแข็งแกร่งจะจะลดลง วันธรรมดายังไม่เป็นไร ขอเพียงใช้เวลาสักหน่อยก็จะสามารถฝึกฝนกลับมา แต่สถานที่ซึ่งประมุขเต๋าจิ้งเหอต้องไปถัดจากนี้กลับไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่จำนวนมากความแข็งแกร่งสูญเสียไปเล็กน้อย ความเป็นไปได้ที่จะเอาชีวิตรอดก็จะน้อยลงเล็กน้อย
สูดลมหายใจเข้าลึก ฉินซีใบหน้าปรากฏความแน่วแน่ “ซือฟุ ให้ข้าเถอะ!”
“เจ้า……” ประมุขเต๋าจิ้งเหอชะงักไป “อีกเดี๋ยวเหวยซืออาจจะพาเจ้าไปด้วยไม่ได้ เจ้าสูญเสียความแข็งแกร่งแล้วจะทำอย่างไรที่ซากโบราณสถานเหล่าเซียน”
ฉินซีเผยรอยยิ้ม เอ่ยอย่างเชื่อมั่นในตนเองว่า “ซือฟุ ท่านยังไม่เชื่อในตัวข้าหรือ แปดสิบกว่าปีก่อน ข้ายังเป็นเพียงก่อเกิดตานขั้นกลางก็เอาชีวิตรอดที่ซากโบราณสถานเหล่าเซียนได้แล้ว อย่าว่าแต่ตอนนี้เลย?”
“……” ประมุขเต๋าจิ้งเหอเผยสีหน้าครุ่นคิด สุดท้ายพยักหน้า “เอาเถิด หากเจ้ามีเรื่องก็เสาะหาสถานที่ปลอดภัยหลบซ่อนให้ดี จากนั้นส่งข่าวให้ซือฟุ อย่าได้เสี่ยงอันตรายเกินไปล่ะ”
“ข้าทำเรื่องราวใด ซือฟุยังไม่วางใจหรือ” ฉินซียิ้ม ๆ พูดจบก็รับตะเกียงจิตวิญญาณขั้นต้นคู่ชีพขของโม่เทียนเกอจากในมือประมุขเต๋าจิ้งเหอ กดหว่างคิ้ว เริ่มร่ายเวท แสงวิญญาณสายหนึ่งปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้วของเขา ไม่นานหลังจากนั้น เลือดสกัดสีแดงเข้มหนึ่งหยดผุดออกมาจากหว่างคิ้ว ฉินซีชักนำเลือดสกัดนี้ค่อย ๆ บินไปทางตะเกียงคู่ชีพอย่างระมัดระวัง ผสมเป็นหนึ่งเดียวกับเลือดสกัดที่ซ่อนอยู่ข้างใน
พริบตานั้น ในสมองของเขาปรากฏความรู้สึกอันแปลกประหลาด ในความพร่าเลือน ทุกสิ่งรอบด้านคล้ายจะอยู่ห่างไกลไปเสียหมด แต่สิ่งของอื่นแจ่มชัดไร้ที่เปรียบ
ตะเกียงจิตวิญญาณขั้นต้นคู่ชีพกะพริบ ลำแสงคล้ายจะกลายเป็นอ่อนกำลังลงไปหน่อย ฉินซีหลังจากความพร่าเลือนในสมองชั่วขณะก็แจ่มใสขึ้นมาในพริบตา มีทิศทางอันชัดเจนแล้ว “ทางนี้”
…………………………………