หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 302 – ไม่มีอะไรทั้งนั้น
ตอนที่ 302 – ไม่มีอะไรทั้งนั้น
ฉินซีไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นมา
เริ่มตั้งแต่แปดสิบกว่าปีก่อน วันนั้นที่เยี่ยไห่ฝากฝังลูกกำพร้า ความปลอดภัยของเทียนเกอก็เป็นความรับผิดชอบของเขาแล้ว
เขาได้รับบาดเจ็บกลับจากภูเขามาร ส่งเยี่ยจิ่งเหวินไปที่โลกปุถุชนรับตัวเด็กหญิงคนนั้น น่าเสียดายที่เยี่ยเจียงอาของนางเลือกที่จะพานางหนีไป
เวลานั้นเขาคิดว่านี่เป็นการเลือกของคนสกุลเยี่ยเอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่นับว่าผิดคำสาบาน เช่นนั้นก็ไม่ต้องใส่ใจมากมายแล้ว ดังนั้นสิบกว่าปีนั้น เขาไม่เคยไปเสาะหาที่อยู่ของพวกเขาสองอาหลานเลย
ภายหลังจากนั้น ได้พบกับนางที่สำนักอวิ๋นอู้ ค้นพบว่านางก็คือเด็กหญิงของปีนั้น สิ่งที่คิดในใจคือสุดท้ายแล้วยังหนีความรับผิดชอบนี้ไม่พ้น ในเมื่อพบเจอแล้ว เห็นแก่เยี่ยไห่ เลี่ยงไม่ได้ที่ภายหลังจะปกป้องนางสักครั้งสองครั้ง จากนั้นพานางกลับโรงเรียนเสวียนชิง ให้ซือฟุรับนางเป็นศิษย์ มองดูนางเติบโตทีละก้าว ตนเองจิตใจสั่นไหวเล็กน้อย……
เทียนเกอในตอนนี้ไม่ได้เป็นเด็กหญิงน้อยของปีนั้นอีกแล้ว นางเป็นผู้ฝึกตนก่อเกิดตานแล้ว เติบโตจนมีกำลังพอสมควรในการปกป้องตนเองแล้ว เขาก็นึกว่าสถานะของตนเองในที่สุดก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ จากผู้ปกป้องนางกลายเป็นคนรักของนาง
แต่เขาจะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าความเป็นจริงจะโหดร้ายเยี่ยงนี้ เขาเพิ่งจะได้เปลี่ยนสถานะ นางที่ปกป้องมาหลายปีขนาดนี้ก็ได้รับความเจ็บปวดแบบนี้
เพราะอะไรถึงเกิดเรื่องอย่างนี้ เขาไม่ต้องคิดมากมายก็เดาสาเหตุออก ซงเฟิงซ่างเหรินในใจมีความแค้นต่อเขาและซือฟุ พอดีได้พบกับเทียนเกอที่อยู่โดดเดี่ยวก็มาแก้แค้นกับตัวของเทียนเกอ หากมิใช่พวกเขา เป็นไปไม่ได้เลยที่ซงเฟิงซ่างเหรินจะมองผู้ฝึกตนก่อเกิดตานตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งมากขึ้นสักแวบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการคิดแผนการที่ชั่วร้ายขนาดนี้ออกมาเลย!
หลายปีขนาดนี้ หลายปีขนาดนี้…… เขารู้สึกมาตลอดว่าตนเองเป็นผู้ปกป้องของนาง แต่คาดไม่ถึงว่าร่างอินบริสุทธิ์ที่กังวลมาตลอดไม่ได้นำพาภัยพิบัติมาให้นาง สุดท้ายกลับเป็นเพราะเขา ทำให้นางประสบกับเรื่องราวเช่นนี้……
“เด็กน้อย เจ้าไม่ต้องโทษตัวเองขนาดนี้”
ได้ยินเสียงของซือฟุ เขายิ้มอย่างปวดร้าว เอ่ยเสียงค่อย ๆ ว่า “ซือฟุ ท่านวางใจ ข้ารู้ว่าควรจะทำอย่างไร”
“โส่วจิ้ง เจ้าไม่ต้องโทษตัวเองจริง ๆ” ประมุขเต๋าหัวเหยียนเอ่ย น้ำเสียงเจือแววยิ้มจาง ๆ “วิญญาณอินของชิงเวยยังอยู่ แสดงว่าเรื่องที่เจ้ากลัวไม่ได้เกิดขึ้น”
ฉินซีเงยหน้าควับ มองประมุขเต๋าหัวเหยียน แล้วก็มองซือฟุของตัวเอง บนใบหน้าของประมุขเต๋าจิตวิญญาณใหม่ทั้งสองล้วนมีรอยยิ้ม ไม่เหมือนกับหลอกลวงเลย
“ซือฟุ?” เขาใช้สายตาขอความช่วยเหลือส่งไปที่ร่างของประมุขเต๋าจิ้งเหอ “หัวเหยียนซือซู……พุดจริงหรือ?!”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอยิ้มออกมา “ย่อมจะจริง ไม่อย่างนั้นข้าฆ่าเจ้าเด็กนี้ไปแต่แรกแล้ว ไหนเลยยังจะถามเจ้า?”
“……” ถูก ด้วยนิสัยรุนแรงของซือฟุ หากศิษย์ของตนเองเกิดเรื่องอย่างนี้จริง ๆ ถึงแม้ว่าจิ่งสิงจื่อก็ถูกวางแผนใส่ ก็จะต้องอยากฆ่าระบายความแค้นจึงจะถูก ยังจะสงบนิ่งเช่นนี้ได้อย่างไร เป็นเขาเองที่พอเห็นฉากตรงหน้าก็แตกตื่น สาเหตุแน่นอนว่าเป็นเพราะว่า…… เทียนเกอปัจจุบันนี้กับเขาระดับชั้นเดียวกัน เขามองไม่ออกว่าวิญญาณอินบนร่างของนางยังอยู่หรือไม่ ซือฟุและหัวเหยียนซือซูกลับมองออก
เมื่อตระหนักถึงจุดนี้ ฉินซีลิงโลดสักพัก แล้วก็กลับมาโกรธอีกสักพัก ตะโกนว่า “ซือฟุ ท่านจงใจ?”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอหัวเราะฮา ๆ เสียงดัง เอ่ยว่าภาคภูมิใจว่า “เด็กน้อย เจ้าจะฉลาดอีกสักแค่ไหน กับเรื่องประเภทนี้สุดท้ายก็อ่อนหัด ซือฟุแค่เห็นก็รู้แล้ว”
ฉินซีอยากจะโมโห แต่ผ่านพ้นความเข้าใจผิดเมื่อครู่นี้มา เขาในขณะนี้ได้รู้ความจริงเพียงรู้สึกยินดีไร้ใดเปรียบ ถึงจะถูกประมุขเต๋าจิ้งเหอหัวเราะเยาะก็ไม่อาจทำสีหน้าโมโหออกมา ใบหน้าจึงบิดเบี้ยว
ประมุขเต๋าหัวเหยียนลูบเคราด้วยรอยยิ้มอยู่ข้าง ๆ รู้สึกว่าน่าสนใจยิ่งนักเช่นกัน แต่ว่าเทียบกับประมุขเต๋าจิ้งเหอแล้วเขามีลักษณะของผู้อาวุโส ยิ้มสักครู่แล้วจึงเอ่ยว่า “จิ้งเหอซือเกอ ในเมื่อชิ่งเวยหาพบแล้ว อีกทั้งไม่เป็นไร พวกเราก็ควรจะไปวังอวี้เสินรวมตัวกับพวกเขาแล้ว”
“อ้อ ใช่” ประมุขเต๋าจิ้งเหอเก็บเสียงหัวเราะ เอ่ยกับฉินซีใบหน้าจริงจังว่า “ซีเอ๋อร์ วังอวี้เสินอันตรายเกินไป เหวยซือไม่สะดวกจะพาพวกเจ้าเดินทางต่อ ในเมื่อเทียนเกอไม่เป็นไร เรื่องราวถัดจากนี้ก็มอบหมายให้เจ้าแล้ว”
“อืม” ฉินซีทราบ การเดินทางไปวังอวี้เสินสำหรับซือฟุแล้วสำคัญมาก ซือฟุติดอยู่ที่จิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางเต็มขั้นมานานหลายดี ขาดที่ไม่มีวาสนาจะเลื่อนขั้น ครานี้ที่มาภูเขามารก็เพราะว่าในวังอวี้เสินของซากโบราณสถานเหล่าเซียนนี้มีสมบัติพิสดาร “ซือฟุ ท่านไปอย่างวางใจเถิด รอจนเทียนเกอฟื้นขึ้นมา พวกเราไปเสาะหาเถ้ากระดูกของบิดานางแล้วก็จะกลับ จะไม่ถ่วงรั้งอยู่ที่นี้ให้มาก”
“เจ้ามีแผนการในใจก็ดี กำแพงอาคมในภูเขามารคราวนี้ไม่เสถียร รั้งอยู่มากนักไม่ดีจริง ๆ” ประมุขเต๋าจิ้งเหอหยุดลง หยิบสิ่งของมากมายออกมาจากอกเสื้ออีกแล้วมอบให้เขา “เวลาไม่มาก เทียนเกอยังไม่ฟื้น ซือฟุก็พาพวกเจ้าออกไปไม่ได้ เส้นทางเมื่อครู่นี้ซือฟุทำสัญลักษณ์ไว้หมดแล้ว เจ้าก้าวตามเข็มทิศก็พอ น่าจะไม่หลงทางอีกแล้ว”
“ขอรับ ซือฟุ” ฉินซีรับสิ่งของเหล่านี้มา ไม่มีคำพูดไร้สาระ เก็บขึ้นมาจนหมด นอกจากเข็มทิศนี้ยังมีอาวุธเวทเครื่องรางหลายชนิด ล้วนเป็นของสะสมของซือฟุ เขาเพิ่งจะใช้เลือดสกัดไป กำลังต้องป้องกันตัว คิด ๆ แล้วเขาถามอีกว่า “ซือฟุ ซงเฟิงซ่างเหรินนั้นก็อยากจะไปที่วังอวี้เสินหรือไม่”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอสีหน้ามืดลง เอ่ยว่า “ใช่เสียแปดส่วน นอกจากวังอวี้เสินยังจะมีสิ่งของอะไรที่สามารถทำให้เขาเห็นอยู่ในสายตา” พูดแล้วหัวเราะอย่างเย็นชา “หึ! ถึงเทียนเกอจะไม่เป็นไร แต่เรื่องนี้ต้องเป็นแผนชั่วของเขาแน่นอน! หากให้ข้าได้พบกับเขาอีกจะต้องตอบแทนเขาให้ได้!”
“จิ้งเหอซือเกอ……” ประมุขเต๋าหัวเหยียนขมวดคิ้วด้วยความกังวลใจอยู่บ้าง “ความแข็งแกร่งของซงเฟิงซ่างเหรินกล้าแข็งโดยแท้ พวกเราสองคนเกรงว่าจะไม่ใช่คู่มือของเขานะ?”
“กลัวอะไร” ประมุขเต๋าจิ้งเหอเอ่ยอย่างเฉยเมย “คนที่คิดจะจัดการเขาต้องไม่ใช่แค่พวกเราเป็นอันขาด ถึงเวลาแล้วก็มีโอกาสให้ฉกฉวยเสมอล่ะ”
ประมุขเต๋าหัวเหยียนไร้คำพูด คิดดูแล้วก็ถอนหายใจพยักหน้า กับซงเฟิงซ่างเหรินเดิมก็มีความแค้น ถึงจะไม่มีเรื่องนี้ก็ต้องปะทะกัน จะมีอะไรให้กลัวกันอีกเล่า
“ซือฟุ ในภูเขามารนี้เดิมก็อันตรายอยู่แล้ว ท่านกับหัวเหยียนซือซูยังคงรักษาชีวิตเอาไว้ก่อนเถิด ส่วนซงเฟิงซ่างเหรินนั่น หึ!” ใบหน้าฉินซีปรากฏเจตนาฆ่าฟันขึ้นมา “หลังจากกลับจากการเดินทางนี้ ข้าจะผูกจิตวิญญาณ ไม่ช้าก็เร็วย่อมมีวันหนึ่งที่จะเก็บกวาดเขา!”
“ดี!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอเอื้อมมือออกมาตบไหล่เขา หัวเราะเสียงดัง “มีความทะเยอทะยาน ไม่เสียทีที่เป็นศิษย์ของข้าฉินจิ้งเหอ! หึ! ความแข็งแกร่งของข้าถึงจะไม่เท่าเขา แต่ศิษย์ของข้ากลับเอาชนะของเขาไปเสียทุกคน!”
ฉินซียิ้มบาง ๆ “ซือฟุ ท่านกับหัวเหยียนซือซูรีบไปเถอะ ยังไม่ไปอีกก็จะไม่ทันแล้ว”
“อืม” ประมุขเต๋าจิ้งเหอกลอกนัยน์ตา เหลือบมองจิ่งสิงจื่อที่ถูดเขาตีจนกลายเป็นบาดเจ็บสาหัส ถามว่า “เจ้าเด็กนี่ล่ะ เจ้าวางแผนจะทำอย่างไร”
ฉินซีกวาดสายตาผ่านจิ่งสิงจื่อที่ถูกประมุขเต๋าจิ้งเหอตีจนกระอักโลหิต เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “มีบางเรื่องที่ยังอยากจะถามเขา”
“ก็ได้” ประมุขเต๋าจิ้งเหอรู้ว่าเขามีแผนการก็ไม่ได้ใส่ใจมากความ สุดท้ายย้ำเตือนหนึ่งประโยคว่า “ออกไปให้เร็วที่สุด อย่าอยู่นาน”
ฉินซีพยักหน้าตอบรับ มองเขากับประมุขเต๋าหัวเหยียนสองคนเอาอาวุธเวทบินออกมา จากไปด้วยกัน
รอจนร่างของประมุขเต๋าจิตวิญญาณใหม่หายลับไป ฉินซีมองดูภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ในใจอดไม่ได้ที่จะเกิดเพลิงไร้นามลุกโชนขึ้นมา ถึงแม้เรื่องราวจะไม่ได้เกิดขึ้นจริง ๆ แต่ฉากตรงหน้าเห็นได้ชัดเจน จิ่งสิงจื่อเอาเปรียบโม่เทียนเกอแน่นอน! คิดถึงจุดนี้ เขาคิดที่จะลงมือต่อจิ่งสิงจื่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!
แต่จิ่งสิงจื่อถึงอย่างไรก็มีมิตรภาพกับเขา เรื่องราวนี้ยังต้องให้เขามอบคำอธิบาย ได้แต่อดกลั้นเอาไว้ก่อน
ก้มหน้าลงมองเทียนเกอ นางยังสลบไสล สัมผัสชีพจรของนางตรวจดูสถานการณ์ เป็นอย่างที่ซือฟุพุดจริง ๆ ไม่ได้รับบาดเจ็บเลย เป็นไปได้มากว่าเพียงเป็นสาเหตุของตัวยาจึงไม่ฟื้นขึ้นมาจนกระทั่งถึงตอนนี้
เขาคิด ๆ แล้วเก็บเสื้อผ้าของเทียนเกอกลับมาก่อน สวมให้นางจนเรียบร้อย จนกระทั่งตอนนี้เขาจึงเข้าใจความหมายของประมุขเต๋าจิ้งเหอ ชุดชั้นนอกของเทียนเกอถึงจะไม่อยู่ แต่ชุดตัวในกลับสวมอย่างเรียบร้อย เห็นได้ชัดว่าไม่ได้รับการล่วงละเมิด ยังเป็นซือฟุที่สายตาแหลมคมจริง ๆ มองแวบเดียวก็ค้นพบจุดสำคัญของเรื่องราว ส่วนเขาพอเห็นฉากเหตุการณ์เบื้องหน้าก็ปั่นป่วนไปหมด
แต่ว่านี่ก็ประหลาดเกินไปแล้ว ถ้าหากซงเฟิงซ่างเหรินวางแผนจะให้เทียนเกอเสียความบริสุทธิ์ เหตุใดกลับโยนนางและจิ่งสิงจื่อเอาไว้ที่นี่ ที่นี่ทั่วทั้งทิวเขาล้วนเป็นหญ้าหอมสวรรค์ สมมติว่าพวกเขาสองคนถูกวางยาจริง ๆ ทำไมสุดท้ายแล้วทั้งสองคนกลับสลบอยู่ที่นี่ เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายอะไรหรือว่าถูกคนอื่นขัดขวาง?
แน่นอนว่าก็อาจจะเป็นไปได้ว่าทุกสิ่งนี้ล้วนผิด จะอย่างไรการที่ซงเฟิงซ่างเหรินสอดมือเข้ามาล้วนเป็นการคาดเดาของพวกเขาเท่านั้น
เพิ่งจะคิดถึงตรงนี้ เขาได้ยินเสียงครางคำหนึ่ง เงยหน้าทอดมอง กลับเป็นจิ่งสิงจื่อขยับมือเท้า ฟื้นแล้ว
จิ่งสิงจื่อรู้สึกปวดศีรษะมาก ทรวงอกยิ่งปวดกว่า เขารู้ว่าตนเองได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่รู้ว่าสรุปแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาหลับตาลงหอบหายใจสักพัก รู้สึกว่าลมหายใจราบรื่นขึ้นมาบ้างจึงได้ลืมตาขึ้นมาอย่างยากเย็น
การลืมตานี้ทำเขาตกใจจนสะดุ้ง
ฉินซีนั่งอยู่ในที่ไม่ห่างไกล กอดโม่เทียนเกอจับจ้องเขาอย่างเย็นยะเยือก สายตาเย็นชา ถึงฉินซีจะไม่เคยเป็นกันเองกับเขา แต่นี่แฝงด้วยความโกรธแค้น
จากนั้นเขาพบว่าบนร่างของตนเองคล้ายกับจะไม่ถูกต้อง พอก้มหน้าลงก็ทำเอาตัวเองตกใจอีกครั้ง เขาถึงกับเปลือยไปครึ่งตัวแล้ว!
“นี่……” อ้าปากขึ้นมา พบว่าเสียงแหบจนแทบไม่เป็นคำ จิ่งสิงจื่อกลืนน้ำลาย แล้วจึงถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ฉินซีหัวเราะเสียงเย็นคำหนึ่ง “ท่านจำไม่ได้หรือ”
น้ำเสียงน้ำให้จิ่งสิงจื่อขมวดคิ้ว มองดูท่าทางครึ่งเปลือยของตนเอง แล้วมองดูท่วงท่าที่เขาปกป้องโม่เทียนเกออีกที ในสมองจู่ ๆ เกิดความทรงจำที่ไม่ปะติดปะต่อวูบผ่าน ตกตะลึงอย่างใหญ่หลวง “ข้า……”
ฉินซีเห็นว่าเขาคล้ายกับจะจดจำอะไรขึ้นมาได้แล้ว ความรู้สึกโกรธแค้นในใจยิ่งรุนแรง สายตาอึมครึมจับจ้องเขา แต่กลับไม่พูดสักคำ
ภายใต้สายตาเช่นนี้ของเขา จิ่งสิงจื่อคิดว่าอยากจะอธิบายอะไรแต่ก็รู้สึกว่าไร้วาจาให้เอื้อนเอ่ย พูดว่าตนเองไร้ทางเลือก? เรื่องราวเกิดขึ้นไปแล้ว เขาก็รู้แต่แรกถึงความหมายที่ซือเม่ยนางนี้มีต่อฉินโส่วจิ้ง พูดพวกนี้ไปแล้วจะมีความหมายอะไรอีกเล่า
ครึ่งค่อนวันให้หลัง เขาเอ่ยว่า “หากท่านคิดจะฆ่าข้า ข้าก็ไร้คำจะพูด”
“พูดอย่างนี้ ท่านก็รู้สึกว่าตนเองสมควรตายหรือ”
“ย่อมมิใช่” จิ่งสิงจื่อเงยหน้าขึ้นเอ่ย “ข้าไม่คิดว่าตนเองทำผิดอะไร เรื่องราวนี้ไม่ใช่สิ่งที่ข้าเต็มใจ ถึงข้าจะชอบคนงาม แต่ไม่สนใจสตรีของผู้อื่น แต่ว่าเรื่องราวได้เกิดขึ้นไปแล้ว ข้าก็ไม่คิดที่จะปัดความรับผิดชอบอะไรหรอก หากท่านอยากสังหารข้าระบายความแค้น ข้าไร้คำจะพูด แน่นอนว่าข้าก็มิใช่ว่าจะไม่ตอบโต้”
“……” เงียบงันไปครู่หนึ่ง ฉินซีเอ่ยว่า “ไม่ใช่สิ่งที่ท่านเต็มใจ?”
“มิผิด พวกเราเจอเข้ากับซงเฟิงซ่างเหริน ในใจเขามีความเคียดแค้นต่อพวกท่านศิษย์อาจารย์ ดังนั้นจึงเอาซือเม่ยท่านมาระบาย เขาเอาพวกเรามาถึงที่นี่ ให้พวกเรากลืนกินถั่วหอมสวรรค์ ดังนั้นจึง……”
เรื่องพวกนี้ที่จิ่งสิงจื่อพูดกับที่พวกเขาคาดเดาตรงกันหมด แต่ว่าฟังจากความหมายในคำพูดของเขาคล้ายจะไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องราวไม่ได้เกิดขึ้นเลย นี่สรุปว่าเป็นเรื่องอันใด ฉินซีสับสนแล้ว
………………………………..
เรื่องนี้ช่างเยิ่นเย้อ ตอนอ่านไม่ได้รู้สึกว่าน้ำเยอะเท่าตอนแปลเลยค่ะ