หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 305 – กำแพงอาคมพังทลาย
ตอนที่ 305 – กำแพงอาคมพังทลาย
หลังจากทำการคารวะอย่างเรียบง่ายกับฉินซี โม่เทียนเกอทลายกระดูก เก็บกระดูกทีละชิ้น ๆ ใส่ลงไปในโถที่เตรียมเอาไว้ เตรียมที่จะนำกลับโลกปุถุชน ฝังร่วมกับมารดา
ตอนที่สร้างฐานพลังแล้วท่องเที่ยว นางเคยคิดจะกลับไปที่หมู่บ้านสกุลโม่ ตอนนั้นเข้าไปในอาณาเขตของอาณาจักรจิ้นแล้ว แต่กลับถูกการเคลื่อนไหวพลังวิญญาณของถ้ำพำนักจื่อเวยดึงดูดไป ปัจจุบันนี้คำนวณแล้วนางไม่เคยกลับไปเลยมาเจ็ดสิบหกปีแล้ว เจ็ดสิบหกปี พวกปู่ย่าลุงอาจะต้องกลายเป็นกระดูกผุตั้งนานแล้ว พวกเทียนจวิ้นก็น่าจะไม่อยู่ในโลกมนุษย์แล้วสินะ? ก็ไม่รู้ว่าหลุมศพของมารดาจะมีคนดูแลหรือไม่……
ผ่านไปสักหน่อย นางเตรียมที่จะกลับหมู่บ้านสกุลโม่อาณาจักรจิ้น เคลื่อนย้ายเถ้ากระดูกของมารดาไป ยังมีเถ้ากระดูกของท่านอารองที่เก็บไว้ข้างกายมาโดยตลอด ล้วนจะนำกลับไปฝังที่สุสานบรรพบุรุษสกุลเยี่ย
เก็บโครงกระดูกของบิดากลับมา โม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้นมองดูถ้ำภูเขาที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในปีนั้นแห่งนี้โดยละเอียด ผนังศิลาถูกเพลิงเซียนสาดส่องจนเป็นสีแดงเข้มช่วงหนึ่ง เพลิงเซียนอยู่ใกล้ ความร้อนกดดันผู้คน
“ปีนั้นพวกท่านซ่อนอยู่ที่นี่หรือ”
ฉินซีนั่งยอง ๆ กระบี่อัคนีสามพลังหยางขุดไปขุดมาอยู่ตรงมุมคล้ายกับว่าเสาะหาอะไรอยู่ ได้ยินเสียงของนางก็ตอบว่า “ตอนที่กำแพงอาคมภูเขามารพังทลายลงในปีนั้น ข้ากับบิดาเจ้าซ่อนอยู่ในยอดเขาว่านเริ่น ภายหลังหลังจากมั่นคงขึ้นมาเล็กน้อย พวกเราค้นพบว่าไร้ทางออก ก็ขึ้นซากโบราณสถานเหล่าเซียน การมาถึงที่นี่กลับเป็นเพราะข้าอยากฝึกฝนทักษะลับ เวลานั้นร่างของบิดาเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส หากทิ้งเขาไว้คนเดียวจะต้องมีชีวิตได้ไม่กี่วัน ตลอดทางเขาเคยลงมือช่วยชีวิตข้า ดังนั้นข้าก็เลยพาเขามา”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้……” ที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการฝึกฝนทักษะเวทสายหยางจริง ๆ ธาตุไฟหยางถึงขีดสุด โดยเฉพาะที่นี่ยังเป็นเพลิงเซียนทั้งหมดเลยด้วย
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินซีผ่อนลมหายใจออกมา ลุกขึ้นยืน “ในที่สุดก็หาเจอแล้ว”
โม่เทียนเกอใคร่รู้ “ท่านหาอะไรอยู่”
ฉินซีเดินกลับมา กางมือออก “นี่ ก็คืออันนี้” ใจกลางฝ่ามือของเขามีก้อนหินดำมันวาวหลายชิ้นวางอยู่
โม่เทียนเกอหยิบขึ้นมาหนึ่งก้อน เพียงรู้สึกถึงความร้อนอันกดดัน นางคิดดูแล้วอุทานออกมาว่า “หรือว่านี่จะเป็นศิลาแก่นอัคคี”
ฉินซีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “มิผิด ก็คือศิลาแก่นอัคคี”
ศิลาแก่นอัคคีที่เรียกกันเป็นหินแร่ซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาจากสถานที่ที่ไฟแท้งอกงามอย่างยิ่ง เรียกขานกันโดยทั่วไปว่าแก่นแท้แห่งอัคคี ตอนแรกสีสันของศิลาแก่นอัคคีเป็นสีแดง พร้อมกับที่ไฟแท้แผดเผาอยู่นานปี สีแดงยิ่งมายิ่งเข้ม จนสุดท้ายก็จะกลายเป็นสีดำ ศิลาแก่นอัคคีหลายก้อนนี้สีดำสนิท เห็นได้ชัดว่าเป็นของชั้นยอด
“นี่ก็คือสิ่งของที่ท่านอยากจะมาเอาหรือ”
“อืม” ฉินซีเอ่ย “ปีนั้นข้าพบศิลาแก่นอัคคีในหลุมไฟแห่งนี้ คิดหาวิธีจนเหน็ดเหนื่อยจึงเอาออกมาจากในเพลิงเซียน แต่เพลิงเซียนยังคงร้อนเกินไป ไม่มีทางเอาออกมา จึงซ่อนเอาไว้ที่นี่”
“พูดเช่นนี้ ปีนั้นท่านก็คิดว่าต้องกลับมาแล้วสิ?”
“นี่ก็ไร้หนทาง ปีนั้นไปอย่างรีบร้อนเกินไป แม้แต่โครงกระดูกของบิดาเจ้ายังไม่ได้นำออกไป ย่อมจะต้องกลับมา”
เอ่ยถึงเรื่องนี้ โม่เทียนเกอคิดถึงวาจาที่เขาเคยพูดอีกครั้ง “จริงสิ ปีนั้นบิดาข้าสรุปว่ารับปากอะไรกับท่าน เพราะอะไรท่านถึงพูดว่า……เรื่องของการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ยกให้ท่านดูแลเป็นหลัก”
ได้ยินคำพูดนี้ ฉินซีกระแอมไอออกมา เบือนหน้าหนี “อันนี้……”
พบว่าสีหน้าเขาแดงอยู่บ้าง โม่เทียนเกอยิ่งอยากรู้ “ทำไม มีอะไรที่พูดไม่ได้”
“……บอกกับเจ้าก็ไม่เป็นไร” ฉินซียิ้ม เอ่ยช้า ๆ ว่า “เรื่องของร่างอินบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะบอกผู้ฝึกตนคนไหนล้วนอาจจะจิตใจสั่นไหว บิดาเจ้าคิดถึงจุดนี้ ดังนั้นจึงพูดประโยคนี้ออกมา ความหมายของประโยคนี้ก็คือ ข้าสามารถเลือกคนฝึกตนร่วมสัมพันธ์แทนเจ้าได้เลย ไม่ว่าจะเป็นใคร”
“คือจะเป็นท่านก็ได้?”
“อันนี้…… บิดาเจ้ามีความหมายอย่างนี้จริง ๆ…… แต่ตอนนั้นข้าไม่มีความคิดนี้ เจ้าเชื่อข้า……”
เห็นเขารีบร้อนปฏิเสธ โม่เทียนเกอก็ยิ้มแล้ว “ข้าไม่ได้ไม่เชื่อท่าน ลนลานอะไร” พูดแล้วถอนหายใจคำหนึ่ง “ข้าเข้าในความหมายของบิดาข้า หากเป็นเช่นนี้ ถึงข้าจะไม่มีอิสระในการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ แต่จะสามารถฝึกตนให้ดี ๆ ได้ตลอด ก็จะมีคนหนุนหลัง…… เปรียบเทียบกันแล้วยังมีอนาคตอยู่เสมอ” สมมติว่าคนที่บิดาฝากฝังมิใช่เขา นี่คงจะเป็นอนาคตของนาง
“มิผิด……” ฉินซีเอ่ย “ข้าก็ไม่ปฏิเสธว่าปีนั้นเคยคิดจริง ๆ หากเจ้ามีร่างอินบริสุทธิ์จริง ๆ อีกทั้งมีรากวิญญาณ หากรับเข้าสำนัก ฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับศิษย์ในสำนัก สำหรับโรงเรียนเสวียนชิงมีผลประโยชน์เสมอ…… แต่เจ้าหนีไปเอง เรื่องนี้ข้าก็เลยไม่คิดแล้ว”
ทั้งสองคนเงียบกันไปชั่วขณะ โม่เทียนเกอยิ้มว่า “ช่างเถอะ ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว เป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้ของพวกเราสำเร็จแล้ว จะออกไปเลยไหม”
“อืม” ฉินซีพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ซือฟุเตือนข้าเป็นพิเศษให้พวกเราเสร็จธุระแล้วก็รีบออกไป บอกว่าครั้งนี้ก็อาจจะมีกำแพงอาคมใหญ่พังทลาย ไม่แน่ว่าความเคลื่อนไหวยังจะรุนแรงกว่าครั้งที่แล้วอีก หากพวกเราติดร่างแหเข้าก็ไม่ดีแล้ว”
โม่เทียนเกอไม่มีความเห็น นางนอกจากถูกป้อนถั่วหอมสวรรค์แล้วไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย ฤทธิ์ยาของถั่วหอมสวรรค์ก็ผ่านไปนานแล้ว ขณะนี้พลังวิญญาณเต็มเปี่ยม ไม่มีเรื่องให้กังวล
“เช่นนั้นพวกเราก็ไปเถอะ ผ่านไปอีกสามวันห้าวันก็จะครึ่งเดือนแล้ว กำแพงอาคมทางเข้าของภูเขรมารจะปรากฏขึ้นเวลาใดก็บอกได้ยาก”
ทั้งสองคนพักผ่อนชั่วครู่ เตรียมสิ่งของทุกอย่างให้เรียบร้อย ออกไปทางเดิม เมื่อเห็นหลุมโพรงที่มีเพลิงเซียนลุกโชนนับไม่ถ้วนบนพื้น โม่เทียนเกอจิตใจสั่นไหว ถามฉินซีว่า “ที่นี่ถึงจะเป็นก้อนหินสามัญก็เกรงว่าล้วนบรรจุไว้ด้วยพลังของเพลิงเซียนสินะ?”
ฉินซีพยักหน้า “มิผิด เจ้าถามสิ่งนี้จะทำอะไร”
โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “เช่นนั้น……ท่านมีหนทางเก็บขึ้นมาสักหน่อยหรือไม่”
ฉินซีมองนางแวบหนึ่ง ไม่พูดจา ขว้างกระบี่อัคนีสามพลังหยางออกไป ตัวกระบี่ส่องแสงบาดนัยน์ตา แสงกระบี่ยิงลงด้านล่างตรง ๆ แล้วยิงกลับขึ้นมาในพริบตา เขายื่นมือออกไป พลังวิญญาณอัคคีกอบก้อนหินขึ้นมาหลายก้อน ส่งต่อให้นาง “เอากล่องหยกมาบรรจุ” เป็นเพียงก้อนหินสามัญ ถึงจะผ่านการเผาผลาญจากเพลิงเซียน การใช้กล่องหยกก็น่าจะสามารถเก็บรักษาไว้ได้
โม่เทียนเกอหยิบกล่องหยกออกมาบรรจุเป็นอย่างดีอย่างเชื่อฟัง แล้วก็ให้เขาใช้กระบี่อัคนีสามพลังหยางเอากลับมาอีกหน่อย จนกระทั่งกล่องหยกเต็มจึงเก็บเข้ากระเป๋าเอกภพ
เมื่อเห็นว่านางเก็บก้อนหินพวกนี้ไปแล้ว ฉินซีจึงถามว่า “เจ้าไม่ได้ฝึกทักษะเวทอัคคี อยากได้ก้อนหินพวกนี้ไปทำอะไร”
โม่เทียนเกอยิ้ม ตบกระเป๋าสัตว์วิญญาณของตนเอง “ท่านลืมแล้ว มีเสี่ยวหั่วนะ!”
“อ้อ!” ฉินซีตระหนักในทันใด สัตว์วิญญาณน้อยตัวนั้นมีไฟแท้ไท่หยางตามธรรมชาติ หากฝึกฝนให้ดี ๆ จะต้องเป็นผู้ช่วยชั้นดีเลย
ฉินซีคิดสักครู่แล้วเอ่ยว่า “สัตว์วิญญาณเจ้ามีเสี่ยวหั่ว ศาสตร์ทักษะเจ้ามีศาสตร์หลอมจิตวิญญาณ หากหลอมสร้างพัดแห่งสวรรค์และโลกาออกมาอีก ทางด้านการต่อสู้น่าจะไม่แพ้ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานขั้นกลางทั่วไปแล้ว หากว่าพัดแห่งสวรรค์และโลกาทรงพลังน่าตระหนก เช่นนั้นกับผู้ฝึกตนขั้นปลายก็สามารถสู้ได้ แต่ว่าทางที่ดีที่สุดเจ้ายังจะต้องฝึกฝนทักษะลับอีกหลายอย่าง การต่อสู้มีตัวแปรเสมอ เก็บกลอุบายรักษาชีวิตเอาไว้บ้าง”
“อืม” เรื่องพวกนี้โม่เทียนเกอก็เคยคิด กลอุบายรักษาชีวิตที่ดีที่สุดของนางก็คือโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน แน่นอนว่าผ่านเรื่องของเริ่นอวี่เฟิงไปนางก็ตระหนักแล้วว่ากลอุบายอันใดล้วนมิอาจพึ่งพาได้อย่างสมบูรณ์ ให้ดีที่สุดต้องตระเตรียมเส้นทางล่าถอยเอาไว้หลาย ๆ เส้น
“น่าเสียดาย การเดินทางนี้พวกเราไม่ได้รับสมบัติอะไรที่มีประโยชน์ต่อเจ้าเลย ไม่อย่างนั้น ระดับการฝึกตนของเจ้าก็สามารถคุยกันได้”
โม่เทียนเกอคิดดูแล้วกลั้นคำพูดเอาไว้ เรื่องระดับการฝึกตนนางไม่ได้เร่งรีบเลยสักนิด มียาฟ้ากระจ่างไร้ขีดจำกัด คุณสมบัติก็ไม่ใช่ชั่ว การฝึกถึงก่อเกิดตานเต็มขั้นเป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็ว ครั้งนี้หาแร่อวี้สุ่ยพันปีพบ แล้วยังมีศิลาเมฆานิ่งอีก นางมีความสุขมากแล้ว
“ซือเกอ ท่านหาศิลาแก่นอัคคีกลับมาได้แล้ว กลับไปแล้วจะกักตัวเลยใช่หรือไม่”
“อืม” ฉินซีผงกศีรษะ ค้นพบอย่างเฉียบคมว่าอารมณ์ของนางซึมเศร้าอยู่บ้าง “ทำไม เจ้าไม่มีความสุขหรือ”
โม่เทียนเกอตะลึงไปครู่หนึ่ง ถอนหายใจ เอ่ยว่า “ข้าคิดว่าครั้งนี้ท่านจะต้องจับการผูกจิตวิญญาณได้อยู่หมัดแล้วใช่หรือไม่ ถึงเวลาระดับการฝึกตนของพวกเราจะยิ่งห่างกันไปอีกระดับชั้นหนึ่ง……”
“นี่มันเกี่ยวข้องอะไรกันหรือ” ฉินซีหัวเราะ “ระหว่างคู่ฝึกตนร่วมสัมพันธ์คู่ไหนบ้างที่ไม่มีระดับการฝึกตนห่างกัน ถึงจะเป็นคู่หลวนเฟิ่ง ระดับการฝึกตนของติงหลวนก็สูงกว่าเฟิ่งเซียวอยู่หน่อย พวกเขามิใช่ว่ายังคงฝึกตนด้วยกันใช้ชีวิตด้วยกันหรือ”
“ถึงจะพูดอย่างนี้……” แต่โม่เทียนเกอรู้สึกมาตลอดว่าความห่างชั้นของระดับการฝึกตนระหว่างพวกเขามันมากเกินไปหน่อย มิใช่ว่าไม่มีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่กับผู้ฝึกตนก่อเกิดตานผูกสัมพันธ์เป็นคู่ครอง เทียบกันแล้ว ในผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่อัตราส่วนของผู้ฝึกตนสตรีเล็กน้อยยิ่ง ผู้ฝึกตนบุรุษจำนวนมากแต่งกับผู้ฝึกตนสตรีก่อเกิดตาน แต่ความสัมพันธ์ในการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาส่วนมากแล้วเป็นผู้น้อย…… แน่นอนว่านางมิได้กังวลใจว่าฉินซีจะเป็นอันใด ถึงวันนี้แล้วนางจะยังไม่เชื่อใจเขาได้อย่างไร เพียงแค่อย่างนี้มิใช่หนทางที่ควรเดิน ผู้ฝึกตนที่ระดับชั้นเดียวกันจะพูดคุยสื่อสารกันได้มากหน่อย แล้วก็สามารถช่วยเหลือกันและกัน เช่นนี้แล้วความสัมพันธ์ก็จะยิ่งมั่นคง
ฉินซีคิดแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นที่ข้าพูดครั้งที่แล้ว พวกเราดัดแปลงวิชาเวทประเภทเดียวกัน เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร”
“อันนี้…… ถือได้ว่าเป็นหนทางที่ดีอย่างหนึ่ง ครั้งที่แล้วท่านมั่นใจถึงสิบส่วน หรือว่ามีการเตรียมการแต่แรกแล้ว”
ฉินซีหัวเราะ “นี่ย่อมแน่นอน”
โม่เทียนเกอใคร่รู้ “ท่านรู้อยู่ว่าร่างกายของพวกเราพิเศษ วิชาเวทที่ฝึกฝนก็พิเศษ วิชาเวทฝึกตนร่วมสัมพันธ์ที่ท่านพูดหรือว่าจะมีประสิทธิภาพอันพิสดารด้วย?”
ฉินซียิ้มทว่าไม่ตอบ ถูกผลักเร่งเข้าก็เพียงเอ่ยว่า “ภายหลังเจ้าก็รู้แล้ว”
ทั้งสองคนพูดกันไปตลอดทาง ถอยกลับไปตามเส้นทางเดิม ครึ่งวันให้หลังในที่สุดก็กลับถึงยอดเขาว่านเริ่น เสียเวลาไปอีกหนึ่งวันจึงลงจากยอดเขาว่านเริ่น
พอหลุดจากระยะของยอดเขาว่านเริ่น ทั้งสองคนล้วนผ่อนลมหายใจ ซากโบราณสถานเหล่าเซียนภยันตรายนานัปการ ข้างล่างจึงปลอดภัยมากแล้ว
แต่ผ่านไปพักหนึ่ง โม่เทียนเกอตกตะลึงแล้ว
“พวกเขานี่คืออะไรน่ะ” นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่ได้พบกับคนกลุ่มหนึ่งต่อสู้กัน ตีกันอย่างไร้เหตุผลสักนิด เลือดเนื้อบินว่อน อเนจอนาถเสียจนนางทนมองไม่ไหว
ฉินซีขทวดคิ้วเอ่ยว่า “เวลาที่กำแพงอาคมของภูเขามารจางหายจะประมาณหนึ่งเดือน ตอนนี้ครึ่งเดือนกว่า ๆ แล้ว คิดว่าคนพวกนี้ที่สามารถหาสมบัติจากภายในได้ล้วนหาเจอแล้ว ที่หาไม่เจอได้แต่ตั้งใจไปตีเอาจากตัวผู้อื่น”
“……” เรื่องพวกนี้โม่เทียนเกอก็เคยได้ยินมามากมาย เพียงแต่ครั้งนี้ คนที่ต่อสู้กันล้วนมีระดับการฝึกตนสูงยิ่ง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นระดับก่อเกิดตาน ที่ระดับสร้างฐานพลังเป็นส่วนน้อยยิ่ง คิดถึงวังอวี้เสินอีกที ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่มากมายขนาดนั้นไปเพื่อสมบัติชิ้นเดียวกัน เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการต่อสู้อันดุเดือด ครั้งนี้ถึงแม้กำแพงอาคมของภูเขามารจะไม่พังทลาย คนที่ตายก็จะไม่น้อย
เป้าหมายที่พวกเขาสองคนเข้าภูเขามารล้วนสำเร็จแล้ว ล้วนไม่คิดที่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ เมื่อใดที่พบเจอการต่อสู้ล้วนหลบเลี่ยงไป เผอิญว่าโชคของพวกเขาไม่เลว บ่อยครั้งได้พบกับการสูญเสียทั้งสองฝ่ายหรือแม้กระทั่งทั้งสองฝ่ายตายหมด ได้กำไรกระเป๋าเอกภพมาไม่น้อยอย่างสบาย ๆ แค่กระเป๋าเอกภพพวกนี้ก็เป็นขุมทรัพย์ที่ใหญ่โตยิ่งแล้ว
เก็บกระเป๋าเอกภพมาอีกกอง โม่เทียนเกอยิ้มจนตาหยีแล้ว “น่าสนใจจริง ๆ พวกเขาตีกันแทบเป็นแทบตายยังไม่สู้พวกเราที่เก็บกำไรสำเร็จรูป”
ฉินซีก็ยิ้ม พูดอวดโอ่โดยไม่ละอายว่า “ถ้าทุก ๆ คนล้วนฉลาดอย่างพวกเราย่อมจะไม่มึกำไรที่พวกเราสามารถหยิบได้ เก็บมาให้หมดเลย ไม่แน่ว่าข้างในจะมีทรัพย์สินมีค่าอะไร”
“อืม” โม่เทียนเกอไม่เกรงใจสักนิด เอากระเป๋าเอกภพเก็บเข้าไปในอกเสื้อทั้งหมด มากขนาดนี้ ไม่แน่ว่าเทียบกับมูลค่าบนตัวนางแล้วยังจะร่ำรวยกว่าอีก
กำลังนับ จู่ ๆ ได้ยินเสียงฟ้าผ่าทึบ ๆ กลางอากาศ
ฉินซีเงยหน้า เห็นเพียงว่าสถานที่ซึ่งพลังวิญญาณและปราณมารผสมผสานกันกลางอากาศลมพัดเมฆครึ้ม ปะทะกันอย่างดุเดือด พลังวิญญาณและปราณมารในภูเขามารปั่นป่วนขึ้นมาในพริบตา
“แย่แล้ว! กำแพงอาคมพังทลายแล้ว!”
……………………………..