หนึ่งเซียนยากเสาะหา - ตอนที่ 308 – สาบานเลือด
ตอนที่ 308 – สาบานเลือด
กระบี่อัคนีสามพลังหยางของฉินซีก็เป็นอาวุธเวทคู่ชีพ ถึงจะใช้กระบวนท่ากระบี่เช่นกัน แต่ไม่ได้เหมือนกับกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่เลย
ผู้ฝึกกระบี่ตอนที่สร้างฐานพลังหรือแม้กระทั่งหลอมรวมพลังวิญญาณก็เลือกกระบี่สายหลักแล้ว ตลอดชีวิตหลังจากนั้นไม่พรากจากกระบี่นี้ กระบี่คู่ชีพผ่านการขัดเกลาในร่างไม่หยุดหย่อน ระดับชั้นก็จะพัฒนาขึ้นไม่หยุด พร้อมกับการเลื่อนขึ้นของระดับการฝึกตน ยิ่งมายิ่งร้ายกาจ จุดนี้คล้ายกันกับอาวุธเวทคู่ชีพ แต่อาวุธเวทคู่ชีพต้องหลังจากก่อเกิดตานแล้วจึงสามารถหลอมสร้าง กระบี่คู่ชีพของผู้ฝึกกระบี่กลับสามารถครอบครอบได้ตั้งแต่หลอมรวมพลังวิญญาณ ก็เพราะเหตุนี้ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกกระบี่จึงมักจะเหนือกว่าผู้ฝึกตนทั่วไป
แน่นอนว่าก็มิใช่จะมีเพียงข้อดี อาวุธเวทคู่ชีพหากมีความเสียหายมักจะส่งผลกระทบต่อตัวของผู้ฝึกตน กระบี่ของผู้ฝึกกระบี่หากเสียหาย ผลลัพธ์จะร้ายแรงยิ่งกว่าผู้ฝึกตนทั่วไป สถานเบาบาดเจ็บสาหัส สถานหนักถึงชีวิต อีกทั้งความสามารถของผู้ฝึกกระบี่ล้วนอยู่ที่กระบี่ หากสูญเสียกระบี่ ถึงจะรักษาชีวิตไว้ได้ ระดับการฝึกตนก็หายไปเกินครึ่งแล้ว
ทว่าฉินซีถึงจะใช้กระบี่อัคนีสามพลังหยางเป็นอาวุธเวท แต่ห่างกันไกลกับระดับการพึ่งพาของผู้ฝึกกระบี่ สิ่งที่แกร่งที่สุดก็มิใช่กระบวนท่ากระบี่ กระบี่อัคนีสามพลังหยางของเขาทรงพลังยิ่ง มักจะทำให้ผู้คนนึกอย่างผิด ๆ ว่ากระบวนท่ากระบี่ของเขาร้ายกาจมาก แต่อันที่จริงแล้ว กระบวนท่าสังหารแท้จริงของเขากลับเป็นไฟแท้สามหยางบนกระบี่
หลังจากอธิบายกับโม่เทียนเกอ กระบี่อัคนีสามพลังหยางบนมือของเขาระเบิดแสงสีแดงอันร้อนแรงออกมา โถมไปทางพัดแห่งสวรรค์และโลกา
โม่เทียนเกอโบกพัดแห่งสวรรค์และโลกา ขุนเขาสายน้ำกลายเป็นสสารจริงแท้ โอบล้อมกระบี่อัคนีสามพลังหยางจนมิด ภายใต้แรงกดดันของขุนเขาสายนั้นอันหนักอึ้ง กระบี่พุ่งซ้ายทะลวงขวา ไม่อาจทะลวงผ่านตั้งแต่ต้นจนจบ ขณะนี้ บนตัวกระบี่จู่ ๆ แสงสีแดงลุกโชนขึ้นมา กลับเป็นฉินซีใช้ศาสตร์กระบี่ ไฟแท้สามหยางสลัดหลุดออกมาจากกระบี่
โม่เทียนเกอลนลานใหญ่ กดตัวกระบี่ให้นิ่งอยู่ภายใต้แรงกดดันของขุนเขาสายน้ำ แต่ไฟแท้สามหยางไม่ว่าจะอย่างไรก็ต่อต้านไม่อยู่แล้ว รู้สึกเพียงว่าปราณร้อนอันกดดันผู้คนแผ่ขยายเต็มแผ่นฟ้า ทั่วทั้งร่างถูกล้อมแล้ว
นางโคจรพลังวิญญาณ เกราะพลังวิญญาณของศาสตร์หนึ่งปราณต้นกำเนิดสว่างเปล่งประกายขึ้นมา แต่ก็ไม่สามารถสกัดกั้นปราณร้อนนี้ได้ เพียงขัดขืนได้ครู่หนึ่ง เกราะพลังวิญญาณก็ถูกเผาผลาญไป
พริบตาที่เกราะแสงพังทลาย ฉินซีสะบัดแขน เก็บกระบี่อัคนีสามพลังหยางกลับ
โม่เทียนเกอยืนอยู่ชั่วครู่ ทำจิตให้สงบนิ่งแล้วก็เก็บพัดแห่งสวรรค์และโลกากลับมาด้วย
ถึงแต่ก่อนจะรู้ว่ากระบี่อัคนีสามพลังหยางของเขาร้ายกาจมาก แต่ไม่รู้ว่าเป็นเวทที่ร้ายกาจขนาดนี้ วิชาของเขาเรียบง่ายมาก แทบจะไม่เรียกเป็นทักษะ แต่ก็เนื่องจากไม่มีทักษะนี่ล่ะจึงทำลายได้ไม่ง่ายดาย เพราะว่านี่เป็นการต่อสู้กันของความแข็งแกร่งต่อความแข็งแกร่ง สู้ไฟแท้สามหยางของเขาไม่ได้เช่นนั้นก็ได้แต่พ่ายแพ้ อาศัยพลังวิญญาณหยางบริสุทธิ์ของเขา ไฟแท้สามหบางหลังจากผ่านการฝึกฝนความสามารถในการทำลายอย่างมากยิ่งกว่าไฟแท้ไท่หยางอีก
“เจ้าอย่าได้หดหู่ไป” ฉินซีเห็นนางไม่พูดจาเนิ่นนานก็ยิ้มเอ่ยว่า “อย่าว่าแต่กระบี่อัคนีสามพลังหยางของข้าบ่มเพาะมาร้อยกว่าปีแล้ว แค่ความห่างชั้นของระดับการฝึกตนของเจ้ากับข้าอย่างเดียว หากข้าแม้แต่ผู้ฝึกตนที่เพิ่งจะก่อเกิดตานยังเอาชนะไม่ได้จะไม่ตกต่ำเกินไปหรือ”
โม่เทียนเกอได้สติกลับมา นางไม่ได้จำเป็นต้องต่อสู้กับฉินซีจนชนะ ทว่าจู่ ๆ ได้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเขา ในใจตกตะลึงพรึงเพริด นี่ก็ทำให้นางตระหนักว่า ขีดจำกัดของความแข็งแกร่งที่ก่อเกิดตานสามารถไปถึงนั้น นางยังห่างไกลอยู่มาก
คิดถึงตรงนี้ นางยิ้ม กำพัดแห่งสวรรค์และโลกาเอ่ยถามว่า “หลังจากทดลองแล้ว ท่านคิดเห็นเช่นไร”
ฉินซีคิดดูแล้วกล่าวว่า “ดูจากปัจจุบันนี้ พัดแห่งสวรรค์และโลกาของเจ้ามีบทบาทจำกัดต่ออาวุธเวทที่เป็นวัตถุแกร่งยิ่ง ภายหลังหากปะทะกับผู้ฝึกกระบี่คิดว่าจะไม่เสียเปรียบ แต่สำหรับทักษะเวท คำว่ากักขังนี้ยังไม่ได้แสดงออกมาเลย”
โม่เทียนเกอก็ทราบ พัดแห่งสวรรค์และโลกาเดิมเป็นอาวุธเวทชนิดหนึ่งที่โม่เหยาชิงจินตนาการขึ้นมา ขาดตัวอย่างจริง จะใช้เวทอย่างไรยังต้องให้ตัวนางเองไปคลำทาง เพียงแต่ว่าคำกักขังนี้ในเมื่อจู่โจมได้ป้องกันได้ก็จะไม่สามารถชัดเจนขึ้นมาไประยะเวลาหนึ่ง
“เอาล่ะ มาลองผลของการโจมตีกันอีก” ฉินซีโบกแขนเสื้อ กระบี่อัคนีสามพลังหยางกลายรูปเป็นแสงกระบี่หลายสาย หมุนวนรอบตัวเขา
โม่เทียนเกอพยักหน้า คลี่พัดแห่งสวรรค์และโลกาเปิดออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่เหมือนกับเมื่อครู่นี้อย่างสิ้นเชิง ไอควันและไอน้ำพรั่งพรูออกมา เพียงพริบตาขุนเขาสายน้ำคล้ายจะมีชีวิตขึ้น แม้แต่บุปผาวิหคภายในล้วนปรากฏขึ้นมาเป็นรูปธรรม
ฉินซีตะลึงไปครู่หนึ่ง เพียงครู่หนึ่งนี้ ฟ้าดินแปรผัน หันหน้ามองรอบทิศ ค้นพบว่าทิวทัศน์รอบด้านเหมือนกันกับขุนเขาสายน้ำบนหน้าพัดแห่งสวรรค์และโลกาไม่ผิดเพี้ยน คล้ายกับว่าตัวเขาเข้าไปในภาพวาด
ถึงจะรู้แต่แรกว่านี่เป็นม่านพลังมายาบนพัดแห่งสวรรค์และโลกา แต่สิ่งที่เห็นที่ได้ยินเบื้องหน้ากับของจริงเหมือนกันไม่มีผิด เขายังคงตกตะลึงอยู่บ้าง อาวุธเวทที่เพิ่งจะหลอมสำเร็จทรงพลังอย่างนี้ช่างเหนือความคาดหมายโดยแท้ คิดถึงตรงนี้ เขาขมวดคิ้ว หันหน้าไปทั้งสี่ทิศ สังเกตดูโดยรอบอย่างละเอียด เสาะหาจุดบกพร่อง
โม่เทียนเกอที่อยู่ข้างนอกม่านพลังมายาเห็นฉินซีที่อยู่ในม่านพลังหมุนตัวสักครู่ เผยรอยยิ้มออกมาคล้ายกับว่าหาอะไรเจอ จากนั้นแสดงม่านพลังกระบี่ แสงสีแดงลุกโชน พลังอำนาจอันทำให้ผู้คนรู้สึกว่าไร้ทางต่อต้านมาถึง
นางรีบร้อนโคจรพลังวิญญาณ พยายามกดการโจมตีตอบโต้ของฉินซีลงไป แต่ความห่างชั้นของระดับการฝึกตนของทั้งสองคนเห็นได้ชัดเจน ไฟแท้สามหยางของฉินซียังแผ่ขยายออกมาอย่างช้า ๆ ในที่สุดกลืนกินขุนเขาสายน้ำเหล่านั้นไปจนสิ้น
การทดสอบครั้งนี้พ่ายแพ้อย่างย่ำแย่ยิ่งกว่าครั้งที่แล้ว ครั้งที่แล้วฉินซีมองเห็น ดังนั้นสามารถเก็บไฟแท้สามหยางกลับมาได้ทันกาล ครั้งนี้ตอนที่เขาทำลายม่านพลังกลับมองเห็นได้ไม่ชัด ไฟแท้สามหยางเผาผลาญออกมา โม่เทียนเกอมิอาจไม่ละทิ้งการกักขัง หลบหนีออกมาจากระยะของไฟแท้สามหยางอย่างอเนจอนาถ
รอจนขุนเขาสายน้ำสลายตัว ฉินซีเก็บกระบี่อัคนีสามพลังหยางกลับมา เห็นโม่เทียนเกอยืนนิ่งอย่างครุ่นคิด ถามยิ้ม ๆ ว่า “เป็นไร โจมตีโดนหรือ”
โม่เทียนเกอหันเหสายตา เอ่ยอย่างเหม่อลอยว่า “มีเพียงอาวุธเวทไม่พอ…….”
ฉินซียิ้ม ไฟแท้สามหยางหายไป คืนสู่ตานเถียน เขาเดินมาใกล้ “มีเพียงอาวุธเวทย่อมไม่พอ พวกเรามิใช่ผู้ฝึกกระบี่ ขอเพียงฝึกกระบี่ก็พอ สิ่งที่พวกเราฝึกคือตนเอง การฝึกตนเองไม่แกร่ง ความแข็งแกร่งก็จะอ่อนแอ อาวุธเวทก็ย่อมจะไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้นแล้ว”
“อืม” โม่เทียนเกอปลุกสติให้ร่าเริงขึ้น คลี่พัดแห่งสวรรค์และโลกา เอ่ยยิ้ม ๆ ว่า “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร อาวุธเวทเช่นนี้แข็งแกร่งอย่างยิ่งแล้ว หากข้าฝึกฝนให้ดี ๆ อนาคตก็ได้แต่ยิ่งมายิ่งแกร่ง”
“เจ้าเข้าใจก็ดี” ในด้านการฝึกตน วิธีคิดของเทียนเกอกับเขาใกล้เคียงกันมาก ด้านอุปนิสัยก็มีส่วนที่คล้ายคลึง ดังนั้นคบหากันได้อย่างมีความสุขมาก ถึงจะมีส่วนอะไรที่ไม่เหมือนกันก็สามารถปรับจูนกันช้า ๆ
ห้าปีนี้ ทั้งสองคนใช้ชีวิตอย่างสันโดษที่นี่ บางครั้งเขาคิดย้อนไปอย่างละเอียดจะรู้สึกว่าวันเวลาช่วงนี้ช่างเหมือนความฝันอันสมบูรณ์แบบ พวกเขาล้วนไม่ได้มีนิสัยรุนแรง ยามคบหากันสงบนิ่งดุจสายน้ำ คล้ายสหาย คล้ายคู่คิด บางคราเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอ่อนโยน เขารู้สึกว่าอย่างนี้เพียงพอแล้ว
แน่นอนว่าพวกเขาก็มิได้ไม่มีความขัดแย้ง เทียนเกออยากแข็งแกร่ง ไม่เต็มใจจะพึ่งพาผู้อื่น เขาอยู่ในความสัมพันธ์นี้มักจะแสดงด้านเป็นผู้นำออกมาโดยไม่รู้ตัว บางคราก็จะมีการโต้เถียง แต่ภายหลังพวกเขาก็จะยอมให้กันและกัน ยอมรับแนวคิดและวิธีกระทำการของอีกฝ่าย
บางครั้งเขาคิดว่านี่ก็คือชีวิตฝึกตนร่วมสำพันธ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในจินตนาการของเขาสินะ? บนเส้นทางชีวิตอันยืดยาวไม่สิ้นสุด หากไม่มีคนเคียงข้าง นึกย้อนขึ้นมาก็รู้สึกว่าเปล่าเปลี่ยวอยู่บ้าง ทว่าหากพัวพันอยู่กับอารมณ์รักใคร่กลับมิใช่ความเต็มใจของเขา เป็นอย่างตอนนี้ ทั้งมีคนเคียงข้าง แล้วก็สามารถพุ่งสมาธิไปที่การฝึกตนช่างเป็นสิ่งที่ดีที่สุดอย่างไม่มีอะไรเทียบเทียมโดยแท้
“ท่านมองอะไร” ถูกแววตาอันอ่อนโยนดุจสายน้ำของเขามองจนขนลุก โม่เทียนเกออดถามมิได้
ฉินซียิ้ม จู่ ๆ ยื่นมือออกไปโอบเอวของนาง กอดแน่น “พวกเรา……ทำคำสาบานเลือดกันเถอะนะ?”
โม่เทียนเกอตะลึงไป “เอ๊ะ?”
นางรู้ว่าสาบานเลือดคืออะไร นี่เป็นคำสัตย์สาบานที่เกิดขึ้นระหว่างคู่เต๋าเสียเป็นส่วนใหญ่ประเภทหนึ่ง คล้ายคลึงกับสัญญาสัตว์วิญญาณ คนสองคนที่ทำสาบานเลือดกันจะไม่สามารถทำร้ายกันและกันได้ตลอดกาล แต่จุดหนึ่งที่มันไม่เหมือนกับสัญญาสัตว์วิญญาณคือหลังจากทำสาบานเลือดแล้ว ระหว่างคนทั้งสองจะมีประสาทสัมผัสประการหนึ่ง แต่ละคนดีหรือร้าย เป็นหรือตาย อีกคนหนึ่งจะทราบอย่างชัดเจน
ฉินซีเอ่ยช้า ๆ ว่า “ข้ารู้…… ว่าเจ้าจะต้องไม่เต็มใจจะติดตามข้าตลอดเวลา เช่นนั้น บางคราเวลาที่แยกจากกัน ระหว่างพวกเรามีสาบานเลือดคงอยู่ ข้าก็สามารถรู้ว่าเจ้าอยู่ดีหรือไม่ดี……”
“……” โม่เทียนเกอพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง นางรู้ว่านี่เป็นการรอมชอมของเขา ยอมรับความเป็นอิสระของนาง
ไม่ได้รับคำตอบของนาง ฉินซีร้องเรียกอีกว่า “เทียนเกอ?”
โม่เทียนเกอพยักหน้า ยิ้มอย่างเจิดจ้า “ดี”
การสาบานเลือดเทียบเคียงได้กับพิธีฝึกตนร่วมสัมพันธ์ ถึงขนาดที่สำคัญยิ่งกว่าพิธีฝึกตนร่วมสัมพันธ์เสียอีก ระหว่างคู่เต๋าฝึกตนร่วมสัมพันธ์จำนวนมากไม่ได้มีการสาบานเลือดเลย เพราะว่าผู้ฝึกเซียนส่วนใหญ่จิตใจหวาดระแวง ไม่กล้าทำคำสัตย์สาบานที่ไม่อาจสลัดทิ้งได้ชั่วชีวิตประเภทนี้อย่างง่ายดาย
ดังนั้น เมื่อได้รับคำตอบรับของโม่เทียนเกอ ฉินซีจึงยินดีจนเก็บอาการไม่อยู่ คิด ๆ แล้วเอ่ยอีกว่า “แต่ก็ไม่สามารถจะทำลวก ๆ เกินไป หรือไม่รอหลังจากกลับไปแล้วกราบเรียนซือฟุ? ไม่ได้ พวกเราก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จึงจะสามารถออกไป……”
โม่เทียนเกอเห็นเขาว้าวุ่นอยู่คนเดียวก็รู้สึกขำ “จำเป็นด้วยหรือ”
“แน่นอน การทำสาบานเลือดควรจะต้องรอบคอบยิ่งกว่าพิธีฝึกตนร่วมสัมพันธ์เสียอีก” ฉินซีสีหน้าเคร่งขรึม
“แต่ว่า ข้ารู้สึกว่าพวกเราสองคนจริงใจก็พอแล้ว……”
“เจ้าพูดอย่างนี้ก็ถูก แต่ว่า……” เขามีสีหน้าละอายใจ “อย่างนี้จะผิดต่อเจ้าเกินไป”
“ผิดอะไรกัน การฝึกตนร่วมสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องของท่านคนเดียวสักหน่อย” โม่เทียนเกอจับนิ้วมือของเขา พูดอย่างจริงจังว่า “พวกเรามิใช่ปุถุชนเสียหน่อย ทำไมจะต้องทำตามกฏเกณฑ์ของปุถุชนเล่า”
ฉินซีตะลึงไป ไม่พูดไม่จา ถึงเขาจะขึ้นเขาไท่คังตั้งแต่เล็ก แต่ถึงอย่างไรก็เติบโตขึ้นมาในวังเจ้าของโลกมนุษย์ วิธีคิดบางอย่างเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีร่องรอยของโลกมนุษย์ อย่างเช่นว่าในความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะเป็นฝ่ายนำอย่างไม่รู้ตัว
ตรงกันข้ามกับโม่เทียนเกอ ถึงนางจะอยู่ที่โลกมนุษย์นานกว่า แต่เดิมทีนางก็เป็นสตรีชนบทสามัญ รู้เห็นไม่มาก เรื่องราวมากมายล้วนเป็นหลังจากมาถึงคุนอู๋แล้วจึงได้รับฟัง วิธีคิดก็ใกล้เคียงผู้ฝึกเซียนยิ่งกว่า
ใคร่ครวญสักพัก ฉินซีตระหนักบางอย่างขึ้นมา เขาคิดอยู่เป็นนาน สุดท้ายเอ่ยว่า “เช่นนั้น พวกเรามาทำพิธีสมรสกันเองเถอะนะ?”
“เอ๊ะ?” พิธีสมรส?
ฉินซียิ้ม ทอดมองนางอย่างอ่อนโยน กล่าวว่า “เจ้าพูดมาก็ถูก ขอเพียงพวกเราสองคนจริงใจก็พอ แต่ว่า ข้ารู้สึกเสมอว่าพิธีฝึกตนร่วมสัมพันธ์ฟังดูเย็นชาอยู่บ้าง คล้ายกับว่าเป็นเพียงเพื่อการฝึกตนเท่านั้น…… ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็มาประกอบพิธีสมรสของทั้งสองคนกันเถอะ ดีหรือไม่”
โม่เทียนเกอจะพูดว่าไม่ดีได้อย่างไร สิ่งที่เขาเต็มใจมอบให้มากยิ่งกว่าที่นางคิดเอาไว้เสียอีก
จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ที่หมู่บ้านสกุลโม่ ป้าสะใภ้ใหญ่อยากให้เทียนเฉี่ยวเรียนงานครัวดูแลบ้านมาตลอด อย่างนี้ภายหลังจึงจะสามารถแต่งให้ครอบครัวดี ๆ นางก็คิดอย่างเลือนรางถึงเรื่องการแต่งงาน แต่ตอนนั้นนางก้าวไปบนเส้นทางเซียนแล้ว รับรู้ถึงการคงอยู่ของโลกฝึกเซียนจากในหนังสือ ก็เลยคิดว่าอนาคตไปที่โลกฝึกเซียนแล้ว นางเพียงจะต้องเสาะหาคนที่ความคิดตรงกันก็พอแล้ว
ภายหลังมาถึงคุนอู๋ ติดตามท่านอารองไปยังสถานที่หลากหลายมากมาย หลีกเลี่ยงชะตาชีวิตของการกลายเป็นเตาหลอม…… นางเพียงมีจิตใจมุ่งมั่นอยู่ที่การกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง แม้แต่สถานะสตรียังไม่กล้าเปิดเผย ไหนเลยจะไปคิดถึงเรื่องของการฝึกตนร่วมสัมพันธ์
หลังจากนั้นไปอีก รู้จักกับเขา ถึงจะแอบมีใจให้ลับ ๆ แต่ในใจกลับบอกตัวเองว่าเรื่องที่ไม่มีความหวังก็ไม่ต้องไปคิดมาก จดจ่ออยู่กับการฝึกตนก็พอ
ทุกสิ่งที่ได้รับในวันนี้เดิมทีเป็นสิ่งที่นางนึกว่าชั่วชีวิตของตนเองจะไม่สามารถได้รับ
“ได้ ล้วนฟังท่าน”
…………………………………